ตอนที่ 329 ฉายแววแต่เด็ก

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 329 ฉายแววแต่เด็ก

ตอนที่ 329 ฉายแววแต่เด็ก

หลังจากที่เย่ไป๋ถูกจับได้ เขาก็นั่งตัวตรง จ้องมองไปข้างหน้า และเอาแต่นิ่งเงียบ

เซี่ยอวี่อยากรู้อยากเห็นมาก หมอเย่ทุ่มเทให้กับพี่ชายของหล่อนถึงขนาดนี้เลยเหรอ?

กระทั่งพี่ใหญ่ของหล่อนมาตัดผม หมออย่างเขายังตามมาดูแลอย่างใกล้ชิด?

หล่อนเห็นว่าเขากำชับกับเซี่ยเซี่ยเกี่ยวกับตำแหน่งฝังเข็มเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าอีกต่อไป อีกอย่างพี่ใหญ่ของหล่อนก็เป็นคนไข้ของหมอแผนจีนเย่ต่างหาก

แต่ทำไมเขาถึงไม่ออกไปสมทบกับเซี่ยไห่และคนอื่น ๆ มานั่งจ๋องอยู่ใกล้หล่อนเพื่ออะไร?

เซี่ยอวี่รู้สึกขัดเขินเล็กน้อยที่ต้องนั่งอยู่แบบนี้ จึงเป็นฝ่ายชวนเขาคุย

“คุณหมอเย่คะ ฉันรบกวนถามหน่อย ตอนนี้อาการของลูกชายเซี่ยหลานเป็นยังไงบ้าง? เขาจะได้สติคืนกลับมาเมื่อไหร่?”

พอกล่าวถึงเสิ่นอวี้หลง ใบหน้าของเย่ไป๋ก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะพูดว่า “ผมบอกไม่ได้หรอกครับ เสิ่นอวี้หลงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง นับตั้งแต่เข้ารับการผ่าตัดก็นอนเป็นเจ้าชายนิทราในโรงพยาบาลมานานครึ่งปี จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลย ตอนนี้คงทำได้แค่รอต่อไปว่าหมอแผนจีนเย่จะมีแนวทางรักษายังไงบ้าง”

“คุณเคยเป็นหมอเจ้าของไข้ของเขามาก่อนเหรอ?”

“ใช่ครับ”

“คุณอายุเท่าไหร่ถึงได้เลื่อนขึ้นมาเป็นรองศาสตราจารย์?” เซี่ยอวี่ถามอย่างสงสัย

ครั้งล่าสุดหล่อนได้ยินเฉินเจียเหอแนะนำว่าตอนนี้หมอเย่เป็นถึงรองศาสตราจารย์ จึงค่อนข้างประหลาดใจมาก

เย่ไป๋ตอบกลับ “อีกไม่นานผมจะอายุสามสิบเอ็ด ถึงตอนนั้นคงจบปริญญาเอกแล้ว”

เซี่ยอวี่ยกนิ้วโป้งให้เขา “ฉายแววเก่งแต่เด็กเลยนี่”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่ไป๋ได้รับการยกย่องว่าเป็นชายหนุ่มที่มีหน่วยก้านดีทั้งยังมีความสามารถ แต่ในเวลานี้อารมณ์ของเขากลับต่างไปจากทุกครั้งเมื่อได้รับคำชมจากหล่อน

ความปลาบปลื้มแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ”

เซี่ยอวี่มองไปที่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังรักษาเสิ่นอวี้หลงไม่หายขาดอยู่ดี”

เย่ไป๋ “!!!”

เซี่ยอวี่แนะนำเขาอย่างไม่จริงจังนัก “บางทีคุณอาจจะต้องพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ของตัวเองเพิ่ม สำหรับแวดวงอาชีพนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่ชื่อเสียงหรือระดับการศึกษา แต่เป็นความสามารถทางวิชาชีพต่างหาก”

เย่ไป๋ถูกสาวสวยสั่งสอน จึงได้แต่นั่งรับฟังอย่างว่าง่ายและตอบกลับอย่างถ่อมตัวว่า “จากนี้ไปผมจะพยายามให้มากขึ้นครับ”

หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “อาพูดถูกค่ะ แล้วคุณคิดเห็นยังไงกับความสามารถทางวิชาชีพของฉันคะ?”

เมื่อกี้นี้เซี่ยอวี่มัวแต่สนใจสนทนากับเย่ไป๋ ทำให้ไม่ได้ดูความคืบหน้าในการตัดผมของหลินเซี่ย

เมื่อเห็นเซี่ยเหลยในกระจก หล่อนก็ลุกขึ้นและเดินไปดูทรงผมของเขาใกล้ ๆ และชมเชยเธอโดยไม่ลังเลว่า “พี่ใหญ่ของฉันหล่อมาก แถมเซี่ยเซี่ยก็ตัดผมได้ดีมากด้วย”

เนื่องจากหมอต้องฝังเข็มบริเวณตำแหน่งต่าง ๆ ด้านหลังศีรษะ หลินเซี่ยจึงตัดผมของเขาให้สั้นเกรียนที่สุด แต่คงเส้นผมไว้ให้ดูไม่ล้านเตียนเหมือนโกน นี่ถือเป็นการท้าทายทักษะการตัดผมครั้งใหญ่

ผมส่วนหน้าไว้ยาวเล็กน้อย สำหรับชายวัยกลางคนที่อายุเท่าเซี่ยเหลยจะช่วยให้ทรงผมนี้ไม่ดูเด็กจนเกินไป อีกทั้งมันยังสอดรับกับบุคลิกของเขา ที่สงบเสงี่ยมและสง่าผ่าเผยในเวลาเดียวกัน

“เป็นยังไงบ้าง? คุณชอบหรือเปล่าคะ?” หลินเซี่ยมองไปที่เซี่ยเหลยและถามอย่างคาดหวัง

เซี่ยเหลยมองดูตัวเองในกระจกแล้วพยักหน้า “ดูดีมาก”

“ค่าตัดผมราคาเท่าไหร่?” เซี่ยเหลยพูดพลางหยิบธนบัตรใบละห้าหยวนออกมาจ่าย

“ฉันไม่คิดแล้วกันค่ะ”

หลินเซี่ยรู้สึกอึดอัดใจที่พ่อของเธอต้องการจ่ายค่าตัดผม

เมื่อเซี่ยอวี่เห็นพี่ใหญ่ของตัวเองกำลังจะควักเงินจ่าย หล่อนก็รีบห้ามเขาเช่นกัน “พี่ใหญ่ เซี่ยเซี่ยและเซี่ยไห่ต่างก็สนิทสนมคุ้นเคยกันดี ฉันเองก็เป็นเพื่อนที่ดีกับหล่อน ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินหรอกค่ะ”

เซี่ยเหลยมีเหตุผลเป็นของตัวเอง “หนุ่มสาวสมัยนี้ทำธุรกิจด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ใหญ่อย่างเราไม่ควรเอาเปรียบหล่อน ต่อให้สนิทกันแค่ไหนก็ไม่ได้”

“ก็ได้ๆ งั้นพี่จ่ายให้ฉัน ไว้พรุ่งนี้ฉันมาทำผมกับหล่อนแล้วค่อยจ่ายรวมกันทีเดียว”

เซี่ยอวี่กลัวว่าหลินเซี่ยจะรู้สึกไม่สบายใจ หล่อนจึงหยิบเงินจากมือของเซี่ยเหลยแล้วยัดใส่ลงไปในกระเป๋าของตัวเอง “ไม่ต้องคิดมาก ฉันเป็นใคร เคยเอาเปรียบคนอื่นเรื่องเงินเมื่อไหร่กัน? ไว้พรุ่งนี้ฉันจะเอาเงินห้าหยวนของพี่จ่ายให้หล่อน เซี่ยเซี่ยยังต้องทอนเงินให้พี่นี่นา ดังนั้นพวกเราอย่าเถียงกันให้ล่าช้าเลย ออกไปกินข้าวกันเถอะ”

ขณะที่พวกเขาพูดกันถึงเรื่องนี้ เฉินเจียเหอก็เพิ่งกลับมาหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า ทุกคนจึงไปที่ร้านอาหารด้วยกัน

ทันทีที่เฉินเจียเหอนั่งลง เขาถึงรู้สึกว่ามีคนหนึ่งที่หายไป

เขามองไปรอบ ๆ นับจำนวนผู้คนแล้วถามเซี่ยไห่ “จวิ้นเฟิงไปไหน?”

เหล่าเซี่ยไม่ยอมโทรไปเรียกเขาให้มาร่วมในโอกาสสำคัญนี้หรอกเหรอ?

เขาเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของสหายเซี่ยเหลยเชียวนะ

“เขามีงานอื่นที่ต้องทำน่ะ”

“ยุ่งอะไรขนาดนั้น? สละเวลาสักสองชั่วโมงมาไม่ได้เลยหรือไง?” เฉินเจียเหอมองดูนาฬิกาในห้องอาหารแล้วก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ด้วยความชื่นชมของถังจวิ้นเฟิงที่มีต่อเซี่ยเหลย ต่อให้เขาต้องขาดงานก็ยอม

เซี่ยไห่ตอบว่า “เขาบอกว่าช่วงนี้ที่สำนักงานตำรวจได้รับแจ้งความเรื่องผู้หญิงหายตัวไปหลายคดี พวกเขาจึงขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันเฝ้าระวังเป็นพิเศษ”

ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีรถไฟ ถังจวิ้นเฟิงมักได้รับผิดชอบคดีที่แปลกประหลาดและสำคัญเร่งด่วนทุกประเภท

หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอก็หันมองหน้ากันพร้อมกัน ทั้งคู่คิดถึงเรื่องเดียวกันคือเรื่องเอ้อร์เลิ่งซื้อภรรยา

เฉินเจียเหอเพิ่งโทรหาโจวเจี้ยนกั๋วเมื่อเช้า โจวเจี้ยนกั๋วบอกว่าเขาจะกลับไปที่หมู่บ้านหลังเลิกงานเพื่อตามหาพ่อของเอ้อร์เลิ่ง แล้วลองคุยให้พวกเขายอมปล่อยผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ว่าในเวลานี้เขากลับไปถึงหมู่บ้านแล้วหรือยัง หรือว่าเจรจาได้เรื่องอย่างไรบ้าง

ตอนนี้ทุกคนกำลังอารมณ์ดี เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยจึงไม่อยากพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อนี้

สิ่งที่หลินเซี่ยคิดคือ หลังมื้ออาหารเย็น เธอจะขอให้เฉินเจียเหอหาทางติดต่อไปทางบ้านเกิดของเขาอีกครั้ง ถ้าน้าของเขาเจรจาเบื้องต้นแล้วไม่สำเร็จ ค่อยติดต่อผ่านหัวหน้าหมู่บ้านหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำเมือง

กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับหญิงสาวที่ถูกค้ามนุษย์

แม้ว่าเอ้อร์เลิ่งจะเป็นผู้ชายที่มีปัญหาทางจิต แต่ร่างกายของเขาก็ยังเป็นผู้ใหญ่

พ่อ แม่ และพี่ชายคนโตของเขาไม่ใช่คนโง่

เธอเคยดูละครโทรทัศน์ที่พ่อแม่สอนลูกชายบ้าใบ้ของตัวเองถึงวิธีปฏิบัติกิจกามตามวิถีของมนุษย์เพื่อสืบเชื้อสายตระกูล

เซี่ยไห่ขอให้พนักงานเสิร์ฟหยิบเมนูมา “มา ทุกคนสั่งกันให้เต็มที่ ฉันสั่งอาหารจานพิเศษที่ต้องใช้เวลาปรุงนานไว้ล่วงหน้าไปหมดแล้ว มาดูกันว่าใครอยากกินอะไรบ้าง เชิญเลือกตามสะดวก พี่สาวราชินีภาพยนตร์ของฉันอยากถือโอกาสนี้ขอบคุณสหายพี่น้องทั้งหลายที่คอยดูแลน้องชายของหล่อนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และยังบอกด้วยว่าจะเลี้ยงอาหารค่ำพวกนายทุกคน ถ้าสั่งน้อยหล่อนจะโกรธเอานะ”

เซี่ยอวี่ “!!!”

หล่อนเหลือบมองเซี่ยไห่ด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ จากนั้นก็เปลี่ยนมาแสดงสีหน้ายิ้มแย้มภายในไม่กี่วินาที มองไปที่ทุกคนและพูดอย่างกล้าหาญว่า “ทุกคนเชิญสั่งตามต้องการได้เลยนะคะ ฉันเป็นเจ้ามือเอง”

เซี่ยไห่ตั้งใจแต่แรกว่าจะมัดมือชกให้เซี่ยอวี่เลี้ยงอาหารเขา ดังนั้นก่อนหน้านี้ตั้งแต่ตอนที่เขามาจองห้องอาหาร จึงสั่งอาหารจานพิเศษที่แพงที่สุดในร้านทั้งหมด ในขณะที่คนอื่น ๆ ระมัดระวังในการสั่งอาหารมากขึ้น ไม่ได้สั่งอาหารอย่างสำราญตามที่เขาแนะนำ

เซี่ยอวี่ยืนกรานที่จะมอบเมนูให้หลินเซี่ย หลินเซี่ยจึงต้องสั่งอาหารสักสองจาน

อาหารถูกยกมาเสิร์ฟ ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยเมนูไก่ เป็ด ปลา เนื้อ และกุ้ง

เซี่ยไห่รู้ดีว่านอกเหนือจากวันที่เขาอยากจะมอบความบันเทิงให้กับสหายพี่น้อง พวกเขาทั้งหลายก็แทบไม่มีโอกาสได้กินอาหารดี ๆ ในภัตตาคารหรูเลย

เงินเดือนของฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ค่อนข้างต่ำ คนหนึ่งต้องเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนอีกคนก็ต้องเก็บเงินไว้เพื่อแต่งงานกับภรรยา

ไม่ต้องพูดถึงหลินจินซานคนซื่อจอมเสนอหน้าคนนี้ ชีวิตของเขาเพิ่งมาดีขึ้นหลังจากที่ได้เจอน้องสาวอย่างหลินเซี่ย

แน่นอนว่ายกเว้นคนที่มาจากสองตระกูลร่ำรวย นั่นคือเฉินเจียเหอและเย่ไป๋

หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว เซี่ยไห่ก็ถามพี่ชายของเขาว่า “พี่ใหญ่ พี่อยากจะพูดอะไรสักสองสามคำไหม?”

“ได้” เซี่ยเหลยรู้ว่าสหายพี่น้องหลายคนต่างก็ตั้งใจมาที่นี่เป็นพิเศษเพื่อรอพบเขา เขาจึงยืนขึ้น หยิบถ้วยชาขึ้นมาและพูดกับทุกคนอย่างจริงใจ

“ขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์สละเวลาแวะมาหาฉัน ถึงแม้ภาระงานของตัวเองจะยุ่งมากก็ตาม ฉันรู้สึกยินดีมาก และขอยกถ้วยชาอวยพรพวกคุณแทนเหล้า รอฉันเปิดร้านอาหารเมื่อไหร่จะลงมือทำอาหารให้ทุกคนกินเอง”

เซี่ยไห่พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “พี่ใหญ่ฉันทำกับข้าวอร่อยมากนะ เจียเหอก็เคยกินฝีมือเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉินเจียเหอพยักหน้า “ใช่ อร่อยทุกอย่าง”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่อีกหน่อยเราจะมีโอกาสได้กินอาหารที่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เข้าครัวเอง วันข้างหน้าถ้าร้านอาหารเปิดเมื่อไหร่ พวกเราจะแวะเวียนมาที่นี่กันบ่อย ๆ ครับ”

ฟางจิ้นเป่าอายุน้อยกว่าเซี่ยเหลยแค่ปีเดียว จึงถือว่าพวกเขาอายุเท่ากัน เนื่องจากเขาเป็นคนง่าย ๆ และมีความเป็นมิตรสูง ทำให้เขากับเซี่ยเหลยพูดคุยกันถูกคออย่างรวดเร็ว บทสนทนาน่าสนใจมาก

อาหารทุกจานน่ารับประทานมาก หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอกำลังจะขอตัวไปรับหู่จือระหว่างมื้อ แต่หลินจินซานหยุดพวกเขาไว้ ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันไปเอง ฉันไปเอง”

หลายวันที่ผ่านมาหลินจินซานไปรับหู่จือบ่อย ๆ หู่จือเองก็มีความสุขกับการที่ลุงไปรับเช่นกัน ทุกครั้งที่เดินผ่านร้านขายของชำเล็ก ๆ ลุงของเขามักซื้อขนมตามใจเขาทุกอย่าง

ตอนอยู่กับพ่อแม่ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้กินหมากฝรั่งด้วยซ้ำ

เมื่อหลินจินซานพาหู่จือกลับมาที่นี่ เขาบอกว่าระหว่างทางบังเอิญเจอกับพ่อของเจียงอวี่เฟยด้วย

หลินเซี่ยถามอย่างอยากรู้ “พี่ไปเจอรองผู้อำนวยการเจียงที่ไหน?”

หลินจินซานตอบกลับ “ที่หน้าทางเข้าโรงเรียนอนุบาลน่ะสิ เขาไปรับเด็กผู้หญิงเป็นเพื่อนพี่สาวคนหนึ่งจากอาคารพักอาศัยของเธอ”

“กับหวังซิ่วฟางเหรอ?” ทันใดนั้นดวงตาของหลินเซี่ยก็สว่างขึ้น ก่อนจะถามต่ออย่างร่าเริง

หลินจินซานพยักหน้า “ใช่ ผู้หญิงคนนั้นจูงมือลูกสาวของหล่อนไว้ไม่ห่างเลย”

หลินเซี่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “พระเจ้าช่วย ความสัมพันธ์ของพวกเขาก้าวหน้าเร็วมากจริงๆ”

ผ่านมาไม่นาน พวกเขาก็เริ่มเปิดตัวไปรับลูกสาวด้วยกันแล้วเหรอ?

เมื่อผู้ใหญ่วัยกลางคนเริ่มตกหลุมรัก พวกเขาไม่สงวนท่าทีเลยจริง ๆ

หลินจินซานถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ถ้าแม่ตกลงคบหาดูใจกับรองผู้อำนวยการโรงงานเจียง ตอนนี้รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงคนนั้นก็คงไปรับหู่จือเหมือนกัน”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เถ้าแก่เซี่ยระวังโดนเล่นงานกลับนะคะ ไปท้าทายคุณราชินีภาพยนตร์ขนาดนั้น

พี่สาวหวังถึงคราวสมหวังเสียทีค่ะ ยินดีด้วยนะคะ

ไหหม่า(海馬)