บทที่ 319 ท่านอย่าไม่ต้องการเสี่ยวเป่าเลยนะเพคะ
บทที่ 319 ท่านอย่าไม่ต้องการเสี่ยวเป่าเลยนะเพคะ
หนานกงสือเยวียนตัวเแข็งทื่อ
เขาลดสายตามองเจ้าตัวน้อยที่กอดขาเขาไว้ก่อนจะยอบตัวลงอุ้มนางขึ้นมา
เสี่ยวเป่าซุกหน้าเข้าหาต้นคอท่านพ่อ ดวงตาที่เคยสดใสบัดนี้กลายเป็นแดงก่ำ
“เสี่ยวเป่าเสียท่านแม่ไปแล้ว ไม่อยากเสียท่านพ่อไปอีกคน”
เสียงเล็ก ๆ สั่นเครือ น่าสงสารราวกับลูกสุนัขตัวน้อยที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง
หนานกงสือเยวียนเม้มปากแน่น ยกมือเรียวลูบหลังนางเบา ๆ
“ได้”
นั่นหมายความว่าเขายอมให้นางไปด้วยแล้ว
หลังจากเตรียมตัวด้วยเวลาอันน้อยนิด หนานกงสือเยวียนก็ออกเดินทางพร้อมกับบุตรสาวและบุตรชายอีกสองคน
ในยามที่หนานกงฉีซิวรู้ว่าเสด็จพ่อจะพาน้องสาวไปด้วย สีหน้าที่เคยอ่อนโยนและใจดีของเขาพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
“ไยเสด็จพ่อถึงตัดสินพระทัยเช่นนี้!”
น้องสาวยังเด็กนัก ที่นั่นทั้งลำบากและน่ากลัว!
เนื่องจากเป็นวาระเร่งด่วน พวกเขาจำต้องเร่งเดินทาง จึงไม่มีผู้ใดนั่งรถม้า
เดิมทีทุกคนล้วนคิดว่าการมีองค์หญิงน้อยร่วมเดินไปด้วยนั้นจะทำให้การเดินทางล่าช้า มีหลายคนรู้สึกว่าฝ่าบาทใคร่ครวญน้อยเกินไป แม้อยากจะตามใจบุตรสาวเพียงใดก็ต้องมีขีดจำกัด!
แต่ปรากฏว่าเป็นพวกเขาที่กังวลกันไปเอง นอกจากองค์หญิงจะไม่ทำให้การเดินทางล้าช้าแล้วนางยังเดินทางได้รวดเร็วกว่าผู้ใดด้วย!
เพราะนางมีตัวช่วย!
แม้เสือจะวิ่งไม่เร็วเท่าม้า ทว่าพวกมันสามารถวิ่งลัดเลาะเข้าไปในป่าได้
เสือตัวใหญ่สองตัวพาเสี่ยวเป่าใช้ทางลัดในป่า ซ้ำยังวิ่งนำหน้าพวกเขาไปเป็นครั้งคราว
อีกทั้งพวกเขายังสามารถออกล่าหาอาหารกันเอง ทุกครั้งที่หยุดพัก ทุกคนจะกินขนมอบแห้งและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพื่อความสะดวก แต่องค์หญิงกับพรรคพวกได้กินไก่ย่าง กระต่ายย่าง…
การค้างแรมในป่านั้นยากลำบาก ทุกคนต่างห่อตัวให้แน่น นอนชิดกันเพื่อความอบอุ่น แต่องค์หญิงน้อยนอนกับเสือขนหนานุ่มสองตัว คนอื่นตื่นเพราะความหนาวเย็น ส่วนนาง… บางครั้งถึงกับตะโกนว่าร้อน
ยามเดินทางบนถนนปกติ องค์หญิงน้อยจะนั่งบนอานหลังเสือ และหลับได้ทุกเมื่อที่นางต้องการ โดยไม่ทำให้การเดินทางล่าช้าเลยสักนิด!
ด้านหนานกงฉีอิงและหนานกงฉีหลิงนั้นชอบใจเป็นที่สุด “หึ ๆ พวกเจ้ายังกังวลว่าน้องหญิงจะทำให้การเดินทางล้าช้าอยู่อีกหรือไม่! ข้าว่าพวกเจ้าห่วงตัวเองเถิด”
พวกเขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจราวกับพวกเขาอยู่บนหลังเสือเสียเอง
ทุกคน “…”
ขออภัยที่พวกเขาทำให้องค์หญิงน้อยเดินทางล้าช้า
หลายคนพร่ำบ่นว่าอิจฉาในใจนับครั้งไม่ถ้วน
อันที่จริงหนานกงฉีหลิงก็อิจฉาน้องสาวเช่นกัน แต่เขาไม่สามารถทำให้เสือตัวใหญ่สองตัวเชื่องและคอยประกบซ้ายขวาได้อย่างน้องสาว
หลังจากรีบเร่งกันจนแทบไม่หยุดพัก ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองหนานเจียงโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วันบราวนี่ออนไลน์
กองทัพหนานเจียงที่กำลังตกอยู่ในความหดหู่และเสียกำลังใจ เพราะการหายตัวไปของเจิ้นหนานอ๋อง อีกทั้งกองทัพยังพ่ายแพ้มาแล้วสองครั้งติด
การมาถึงของหนานกงสือเยวียนและคนอื่น ๆ ช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารในกองทัพเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะหนานกงสือเยวียน พวกหนานจ้าวจะต้องราบเป็นหน้ากลองด้วยสองพระหัตถ์ของฮ่องเต้พวกเขา!
หลังจากหนานกงสือเยวียนฝากฝังเสี่ยวเป่าไว้ที่จวนเจิ้นหนานอ๋องแล้ว เขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่ค่ายทหารพร้อมกับบุตรชายทั้งสอง เพราะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการและจำต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว จะได้รีบสืบหาเบาะแสการหายตัวไปของเจิ้นหนานอ๋อง
เสี่ยวเป่ารู้ว่าท่านพ่องานยุ่ง นางจึงเป็นเด็กดี ไม่ขอตามไปให้เป็นภาระ
“องค์หญิงเพคะ อากาศข้างนอกเริ่มเย็นลงแล้ว รีบเข้ามาข้างในเถิดเพคะ”
หนานเจียงอากาศชื้นและเต็มไปด้วยสัตว์มีพิษมากมาย ยามนี้เป็นฤดูที่ทุกสิ่งฟื้นคืนชีพ เหล่าสัตว์มีพิษเริ่มออกจากการจำศีล
จึงมีการโรยผงกำมะถันไว้รอบ ๆ จวนเจิ้นหนานอ๋องที่พวกเขาใช้พำนักชั่วคราว เพราะเกรงว่าสัตว์มีพิษจะเข้ามา
“ท่านอาสะใภ้สี่”
คนงามที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้คือพระชายาของท่านอาสี่ บุคลิกดูเป็นคนร่าเริงแจ่มใสมาก
อนุของเจิ้นหนานอ๋องมีไม่มาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างชายาเอกกับอนุนั่นค่อนข้างดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นได้ง่ายนัก ฉะนั้นเหล่าพี่น้องในจวนจึงรักใคร่กลมเกลียวกันมาก
ท่านอาสี่ของนางไม่เพียงแต่มีบุตรชายหลายคนเท่านั้น ทว่ายังรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมอีกหลายคน ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กกำพร้า เป็นบุตรของทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ จวนเจิ้นหนานอ๋องจึงครึกครื้นมาก
ทว่า… นับตั้งแต่เจิ้นหนานอ๋องหายตัวไป ความครึกครื้นก็กลายเป็นความตึงเครียด
ตราบใดที่ยังมีแรงควบม้าและถืออาวุธ บรรดาญาติผู้พี่ก็จะช่วยกันคนละไม้คนละมือออกตามหาท่านอาสี่ของนาง
พระชายาเจิ้นหนานอ๋องและเหล่าอนุล้วนเป็นห่วงท่านอาสี่ของนางเช่นกัน
เสี่ยวเป่าเองก็เป็นห่วงท่านอาสี่มาก รวมถึงท่านพ่อแล้วก็พวกพี่ ๆ ด้วย
เมื่อความมืดโรยตัวปกคลุมทั่วท้องนภา เจ้าตัวน้อยไม่สามารถช่วยสิ่งใดได้นอกจากขอพรใต้แสงจันทร์
“ขอให้ท่านพ่อ ท่านอาสี่ และพวกพี่ ๆ ปลอดภัยด้วยเถิด”
วันนี้นางสี่ขวบแล้ว แต่ท่านพ่อและพี่ชายยุ่งเกินกว่าจะกลับมาหานาง เสี่ยวเป่าผู้มีความกังวลอยู่เต็มเปี่ยมจึงต้องหาวิธีปลอบโยนจิตใจตนเอง
นางได้ข่าวคราวมาว่าหนานจ้าวยกทัพมาโจมตีพวกเขาอีกแล้ว
เสี่ยวเป่าวางจานที่มีขนมอบแห้งและผลไม้ลงแล้วจุดธูปสามดอกอย่างระมัดระวัง เด็กน้อยคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อสวดภาวนาขอพรจากสวรรค์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์
นางขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ตนรู้จัก ยามนี้นางดูเหมือนผู้ศรัทธาตัวน้อยที่มีความเชื่อในเรื่องโชคลางอย่างถึงที่สุด
เพราะนางกำลังขอพรอย่างตั้งใจ จึงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาจากทางด้านหลัง
ทันใดนั้นตัวนางก็ลอยขึ้นกลางอากาศ
ขาสั้นทั้งสองข้างดิ้นไปมา เสี่ยวเป่าร้องโวยวายด้วยความตกใจ แต่แล้วกลิ่นคาวเลือดพลันลอยมาปะทะปลายจมูก
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หยุดดิ้น เพราะได้กลิ่นที่คุ้นเคยปะปนอยู่ด้วย
“ท่านพ่อหรือเพคะ”
หนานกงสือเยวียนวางคางบนหัวเสี่ยวเป่าแล้วส่งเสียงตอบรับ เสียงนั้นแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ท่านพ่อ”
เสี่ยวเป่ารีบกอดตอบ ทั้งตื่นเต้นและดีใจในเวลาเดียวกัน ก่อนจะรีบผละออกจากตัวเขาเพื่อมองหาบาดแผล
“ท่านพ่อบาดเจ็บหรือไม่”
หนานกงสือเยวียน “ไม่เป็นไร ล้วนเป็นเลือดของผู้อื่น”
ทันทีที่ชนะศึก หนานกงสือเยวียนก็รีบรุดกลับมาโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย
ยามนี้เขายังสวมชุดเกราะสีดำ ไอสังหารแผ่ซ่านไม่จางหาย บุรุษร่างสูงยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่อง ดุดันราวกับอสุราผุดขึ้นมาจากขุมนรก
ทว่าเจ้าก้อนแป้งไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้สักนิด กลับกันนางเอาแต่กังวลว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ
เด็กน้อยสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าและความกดดันจากท่าทางกระวนกระวายของท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจึงจูงมือเขาเข้าไปในเรือนที่นางพำนักอยู่ คราวนี้นางเลือกที่จะส่งพลังวิญญาณเข้าไปในร่างกายเขาโดยไม่ปิดบัง
หนานกงสือเยวียนหลุบสายตาลงมองแสงสีเขียวอ่อนบนฝ่ามือเล็ก ๆ ทั้งสองของบุตรสาว
มันน่าทึ่งมาก
ทว่าเขากลับไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ความอบอุ่นไหลวนเวียนในร่างกาย ขจัดความเหนื่อยล้าและอาการบางอย่างในตัวเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
หนานกงสือเยวียนอุ้มบุตรสาวขึ้นมาไว้บนตัก นั่งกอดนางโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอยู่นานสองนาน
เสี่ยวเป่านั่งนิ่งและกอดตอบท่านพ่อ
“อาสี่ของเจ้าถูกมหาปุโรหิตของหนานจ้าวจับตัวไป ข้าต้องไปช่วยเขา”
เสี่ยวเป่ากอดเขาแน่นขึ้นทันที
“ท่านพ่อ”
“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี”
เสี่ยวเป่าเม้มปากแน่น พยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนเขา จากนั้นก็วิ่งไปค้นข้าวของก่อนจะหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมา
ทันทีที่เปิดฝาก็พลันได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ชวนให้ผ่อนคลายจิตใจ
สิ่งที่เสี่ยวเป่านำออกมาคือหินหยกใสสีเขียวอ่อน เป็นหินเรืองแสง มีแสงสีเขียวอ่อนไหลวนเวียนอยู่ข้างใน ยิ่งพอหยิบขึ้นมาจากกล่อง แสงในตัวมันก็ยิ่งเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาในห้อง
นี่คงเป็นพลังวิญญาณของนางกระมัง…
เขาหันมองบุตรสาวอีกครั้ง
จากนั้นเสี่ยวเป่าก็บรรจงวางหินหยกทรงเพชรอันงดงามลงบนมือเขา
“หินก้อนนี้ดูดซับพลังวิญญาณของเสี่ยวเป่าไว้ เสี่ยวเป่าเฝ้าหล่อเลี้ยงมันอยู่นาน เสี่ยวเป่ายกให้ท่านพ่อ มันช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายในตัวท่านพ่อได้”
นางเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ท่านพ่อ ท่านอย่าไม่ต้องการเสี่ยวเป่าเลยนะเพคะ”
สิ่งที่นางกลัวที่สุดหลังจากเปิดเผยตัวตนก็คือ กลัวท่านพ่อจะคิดว่านางเป็นตัวประหลาด และไม่ต้องการนางอีกต่อไป