บทที่ 320 เทพสงครามผู้อาจหาญ

บทที่ 320 เทพสงครามผู้อาจหาญ

หนานกงสือเยวียนอุ้มเด็กน้อยผู้คิดมากขึ้นมาอีกครั้ง พลางลูบหลังพร้อมเอ่ยปลอบโยนนาง “ไม่มีทางไม่ต้องการเจ้า”

พอได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นและเต็มไปด้วยความมั่นใจของท่านพ่อ เสี่ยวเป่าพลันโล่งใจ

จากนั้นนางก็เริ่มเล่าความลับที่ตนปิดไว้ให้ท่านพ่อฟังแต่โดยดี แม้ชาติก่อนนางจะเป็นภูตพฤกษา แต่ชาตินี้นางเป็นบุตรสาวของเขา

ก็แค่… นางอาจจะไม่ได้ดื่มน้ำแกงลืมชาติก่อนมาเกิดใหม่

แม้หนานกงสือเยวียนจะยังรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อ ทว่าเขาก็เปิดใจยอมรับมันได้อย่างรวดเร็ว

“แล้ว… นอกเหนือจากความสามารถในการปลูกพืช ภูตพฤกษาตัวน้อยเช่นเจ้าไม่มีพลังอย่างอื่นไว้ป้องกันตัวเลยหรือ”

เสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่บนตักท่านพ่อในยามนี้ได้แต่ยกนิ้วชี้จิ้มกันอย่างเขินอาย “ไม่มีเพคะ”

“แต่เสี่ยวเป่ามีผู้คุ้มกันนะ!”

เสี่ยวเป่าจับต่อตัวใหญ่บนผม และชี้เสือตัวใหญ่ทั้งสองที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตู

“พวกเขาเก่งกาจมาก!”

เพียงเท่านี้ก็ไม่ถือว่าไร้หนทางป้องกันตัวเสียหน่อย

หนานกงสือเยวียนถึงกับหลุดยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจครั้งแรกในรอบหลายวัน เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา ใจเขาได้แต่แบกรับความรู้สึกหนักอึ้งเอาไว้

ผู้เป็นบิดาอุ้มเจ้าตัวน้อยซึ่งมีชีวิตมาแล้วหลายร้อยปี แต่ยังมีจิตใจบริสุทธิ์ไว้ในอ้อมแขน นางคือบุตรสาวที่น่ารักของเขา

เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าท่านพ่อยิ้มเพราะเหตุใด แต่พอเห็นท่านพ่อยิ้ม นางจึงยิ้มตอบเขาทั้งที่ยังงุนงง

พอได้เปิดเผยตัวตนกับท่านพ่อแล้ว เสี่ยวเป่าก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม จากนี้ไปหากนางมีเรื่องในใจที่มันแปลกไปจากยุคสมัยนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องเก็บงำไว้เพียงผู้เดียวแล้ว

“แล้วท่านอาสี่เล่าเพคะ เราจะช่วยท่านอาสี่ได้อย่างไร”

เขาถูกจับตัวไปนานมากแล้ว เสี่ยวเป่ายังคงเป็นห่วงท่านอาสี่มาก

หนานกงสือเยวียนลูบหัวเล็ก ๆ เพื่อปลอบโยนนาง “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวล พ่อจะจัดการเอง”

หนานกงสือเยวียนยอมรับจี้หินหยกที่เสี่ยวเป่ามอบให้ มันถูกห้อยด้วยด้ายที่ดีที่สุดแล้วสวมไว้ที่คอ

เสี่ยวเป่ากลัวว่าพี่ชายทั้งสองจะตกอยู่ในอันตราย จึงฝากท่านพ่อนำจี้หยกไปให้พวกเขาด้วย

จี้หยกที่นางเฝ้าหล่อเลี้ยงไว้ด้วยพลังวิญญาณจึงเหลือเพียงสองชิ้น

แต่นางไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด จี้หยกพวกนี้นางทำใหม่ได้ แต่หากเกิดอันใดขึ้นกับท่านพ่อและพี่ชาย นางคงต้องเสียใจภายหลัง

ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยนำทัพขับไล่กองทัพหนานจ้าวอย่างห้าวหาญ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

สามวันผ่านไป หนานจ้าวเริ่มโจมตีอีกครั้ง

“นั่นมันตัวอันใดกัน!”

คนบนกำแพงเมืองทอดตามองผู้คนที่มีใบหน้าเน่าเปื่อย เมื่อคนทั้งหลายเห็นกองทัพผีดิบมุ่งตรงเข้ามา ความหวาดกลัวพลันฉายชัดบนใบหน้า

บางคนทนไม่ไหวถึงขั้นอาเจียนออกมา

หนานกงสือเยวียนยืนมอง ‘ศพ’ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ว่าจะโจมตีพวกมันด้วยธนูหรือหน้าไม้ก็ไม่อาจหยุดยั้งพวกมันได้ หนานจ้าวใช้วิธีสกปรกเช่นนี้น่ารังเกียจยิ่งนัก

ไอสังหารฉายชัดในดวงตา

“โจมตีด้วยไฟ”

ในเวลาคับขันเช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นข้อดีของการมีแม่ทัพที่แข็งแกร่ง

ว่ากันว่าหากหนึ่งคนหวาดกลัวก็อาจทำให้คนทั้งกองทัพหวาดกลัวไปด้วย หากแม่ทัพยังหวาดกลัว พวกเขาก็ถึงคราวจบสิ้นแล้ว

เมื่อได้รับประกาศิตจากหนานกงสือเยวียน ลูกศรทั้งหมดจึงถูกห่อด้วยผ้าชุบน้ำมัน และทำการจุดไฟก่อนยิง

ลูกศรเพลิงพุ่งออกไปแผดเผาเหล่าผีดิบ ทว่าพวกมันกลับลุกขึ้นมาทันทีที่ล้มลง

ดูเหมือนว่าไฟจะไม่สามารถทำอันใดผีดิบพวกนี้ได้ พวกมันยังคงเดินต่อไปได้แม้จะมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่บนร่างกาย สุดท้ายก็ตกลงไปในคูเมือง

เมื่อพวกเขาได้เห็นชัด ๆ ว่าผีดิบพวกนี้สวมชุดทหารของต้าเซี่ย

มันก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นให้ชาวต้าเซี่ยอย่างพวกเขา

“หนานจ้าวทำเกินไปแล้ว!”

หากอาณาจักรอื่นรู้ว่าหนานจ้าวใช้ศาสตร์มืดมาสู้เช่นนี้ ยังจะวางใจพวกหนานจ้าวอยู่อีกหรือ

หนานกงสือเยวียนกระตุกยิ้มมุมปาก “ส่งข่าวนี้ไปยังอาณาจักรน้อยใหญ่ แต่หากพวกเขาไม่เชื่อ…”

หนานกงสือเยวียน “เปิดประตูเมือง จัดการศัตรู จำคำข้า ตัดหัวพวกมันให้หมด”บราวนี่ออนไลน์

“พ่ะย่ะค่ะ!”

หนานกงสือเยวียนประทับบนหลังอาชาศึกอย่างสง่าผ่าเผย ในมือถือทวนด้ามยาว นัยน์ตาแข็งกร้าวพร้อมสังหารศัตรู ไม่ว่าพวกมันจะเป็นคนหรือศพก็ตาม

ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก เขาก็โผทะยานออกไปเป็นคนแรก ยามนี้โอรสสวรรค์เสมือนมังกรแหวกว่ายในสายนที ทวนทมิฬในมือกวัดแกว่งพลิ้วไหวดั่งใจปรารถนา

ปล่อยให้เหล่าผีดิบดาหน้าเข้ามาหา ทว่าพวกมันกลับไม่มีโอกาสได้แตะตัวเขาแม้เพียงปลายเล็บ

ฝ่าบาทออกไปสังหารศัตรูอย่างองอาจกล้าหาญ ไม่มีท่าทีกริ่งเกรงต่อสิ่งใด เหล่าทหารบังเกิดขวัญกำลังใจ ต่างร่วมใจตามออกมาสังหารศัตรูอย่างสุดความสามารถ แม้แต่กลองรบบนกำแพงเมืองก็ยังเสียงดังและทรงพลังขึ้น

ณ พื้นที่ห่างไกลออกไป ใจกลางค่ายพักแรมของกองทัพหนานจ้าว ชายผู้หนึ่งในชุดประหลาด ตามร่างกายและใบหน้ามีอักขระแปลก ๆ สั่นกระดิ่งในมือพร้อมร่ายรำไปมาอยู่บนที่สูง

เขาอยู่ตรงกลางแท่นบูชาที่มีสตรีสี่คนแขวนอยู่ทั้งสี่มุม เลือดของพวกนางหยดลงมาจากปลายเท้า ไหลไปตามร่องด้านล่างก่อนจะไหลไปรวมกันตรงกลาง

“ท่านหมอผี ฮ่องเต้ฝ่ายนั้นออกมาแล้ว ศพ… ศพพวกนั้นไม่อาจหยุดเขาได้เลย!”

หมอผีลืมตาพรึบ ดวงตาสีแดงก่ำทอดมองไกลออกไป

ลึกเข้าไปในตาเขาปรากฏภาพเมฆก้อนดำที่กำลังก่อตัวอย่างหนาแน่น มังกรทองตัวหนึ่งกวัดแกว่งทวนสังหารเหล่าผีดิบท่ามกลางสายลมปั่นป่วนและเมฆดำที่เกิดจากคำสาปอาฆาต ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งมังกรทองตัวนั้นได้เลย

เขาเห็นมังกรทองที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยมนต์ดำ ทว่าเหมือนมีพลังบางอย่างคอยคุ้มครองเขาไม่ให้มัวหมอง

ทันใดนั้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของมังกรทองตัวนั้นก็พลันระเบิดแสงพร่างพราว

“อ๊าก!!!”

หมอผีกรีดร้องโหยหวน สีหน้าตื่นตระหนกเพราะความหวาดกลัว โยนกระดิ่งปลุกวิญญาณในมือทิ้ง เลือดไหลออกมาจากดวงตาเป็นสาย

“เป็นไปได้อย่างไร ไยถึงเป็นเช่นนี้…”

ทั้ง ๆ ที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยถูกคำสาปอาฆาตจากพวกเขา แต่เหมือนมีบางสิ่งช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เขาอยู่ตลอดเวลา

“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าโชคชะตาของมังกรสวรรค์ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรก เราไม่มีทางแย่งมันมาจากผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงได้ คนผู้นี้คือมังกรสวรรค์ที่สามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง!”

“หมอผีเสียสติไปแล้ว รีบเอาตัวเขาลงไป!”

ยิ่งได้ยินคำพูดที่หมอผีบ่นพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว มหาปุโรหิตก็ยิ่งโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

เขาจ้องไปทางอาณาจักรต้าเซี่ยด้วยสายตาอาฆาตแค้น “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถกำจัดมังกรตัวนี้ได้!”

เขาต่างหากที่สมควรเป็นมังกรสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า และจะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้!

เมื่อไม่มีหมอผีแล้ว เหล่าผีดิบก็ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก

สุดท้ายกองทัพผีดิบที่สร้างจากซากศพก็ถูกสังหารจนสิ้นซากโดยกองทัพที่มีหนานกงสือเยวียนเป็นผู้นำ

เขาเก็บพวกมันส่วนหนึ่งไว้ในกรง “ส่งไปให้อาณาจักรใหญ่ทุกอาณาจักร บอกพวกเขาว่าเป็นของกำนัลจากต้าเซี่ย”

นี่เป็นการประกาศว่าเขาต้องการให้หนานจ้าวไม่มีที่ยืน และถูกตัดสัมพันธ์กับทุกอาณาจักร

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ส่วนศพที่เหลือก็ถูกเก็บกวาดด้วยการเผา

ระหว่างทางกลับเข้าประตูเมือง เหล่าทหารกล้าทุกนายต่างส่งเสียงร้องสรรเสริญเขา ชื่อเสียงในสนามรบของหนานกงสือเยวียนยิ่งมายิ่งเพิ่มพูน

แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยเรื่องพวกนี้แล้ว

หนานกงฉีอิงและหนานกงฉีหลิงยืนอยู่บนกำแพงเมืองเฝ้าดูการกลับมาของบิดาด้วยสายตาชื่นชม

วีรบุรุษผู้นี้คือเสด็จพ่อของพวกเขา!

บุตรชายทั้งสองภาคภูมิใจในตัวบิดาเป็นอย่างมาก พวกเขาตั้งใจไว้ว่าวันหน้าจะต้องเอาอย่างท่านพ่อให้ได้ เพียงได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม ศัตรูเป็นต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น!