แม้ว่าร้อนใจแทบทนไม่ไหว อวี้จิ่นก็ยังเว้นระยะห่างจากเจียงซื่อออกมาเงียบๆ
เขาไม่สนใจธรรมเนียมเหล่านี้ แต่อาซื่อสนใจ
เมื่อเดินไปหลายก้าวแล้ว อวี้จิ่นก็หยุดเดิน เขามองแผ่นหลังของหญิงสาวแล้วสีหน้าก็เปลี่ยน
จู่ๆ ได้ยินอาซื่อเอ่ยถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ เขาพลันรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ ตอนนี้เพิ่งจะมารู้ทีหลัง อาซื่อมั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่สองคนนั้นพูดถึงคือเขา?
ก่อนอื่น นามแฝง ‘คุณชายอวี๋’ เกิดขึ้นได้เพราะเขาต้องการเข้าใกล้เจียงจั้นเพื่อเข้าใกล้อาซื่ออีกที ยังไม่สนใจว่าสองคนนั้นมีที่มาอย่างไร แต่พวกเขาไม่มีทางพูดว่า ส่งสตรีที่มีรูปหน้าคล้ายสตรีศักดิ์สิทธ์ไปให้คุณชายอวี๋แน่ๆ การที่พวกเขาเอ่ยถึงเขา พวกเขาจะพูดว่าองค์ชายเจ็ดหรือเยี่ยนอ๋องเท่านั้น
นั่นหมายความว่าอาซื่อรู้สถานะที่แท้จริงของเขาแล้ว?
แต่ยังมีสิ่งที่น่าแปลกอีก หากว่าอาซื่อรู้ว่าเขาคือเยี่ยนอ๋อง แล้วเหตุใดถึงไม่แสดงท่าทีประหลาดใจออกมา ทำเหมือนกับรู้ตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้น
อวี้จิ่นรู้สึกเพียงว่า ระหว่างเขาสองคนมีเงื่อนที่ยังรอแก้อีกมากมาย เขาแทบอยากจะทิ้งเรื่องไร้สาระของจวนจูออกไป แล้วพาตัวอาซื่อไปยังตรอกซอยเชวี่ยจื่อทันที
แววตาลุกวาวของเจียงอันเฉิงที่อยู่ไม่ไกล ทำให้เขาดึงสติกลับมาเงียบๆ
เงื่อนต่างๆ สามารถแก้ไขได้ทีละอัน แต่ภาพลักษณ์ในสายตาของพ่อตา ห้ามทำให้เสียหายเด็ดขาด
ทั้งสองคนเดินกลับมาตามลำดับ
เจียงซื่อเดินเข้าไปยืนข้างๆ เจียงอันเฉิงโดยไม่เอ่ยคำใด จูเส้าชิงกับคนอื่นมองอวี้จิ่นอย่างอดไม่ได้ พวกเขาอยากรู้ว่าทั้งสองคนคุยยอะไรกัน แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ
อวี้จิ่นทำหน้านิ่งและกล่าว “คนที่ออกไปข้างนอกกับฮูหยินใหญ่ในวันนี้มีใครบ้าง ข้าต้องการถามทีละคน”
ไม่ว่าจะตรวจพบสิ่งใด หากควรทำให้กลัว ก็จำเป็นต้องทำ เขามองออกแล้วว่าจุดประสงค์การร้องทุกข์ต่อทางการในวันนี้ของอาซื่อ ไม่ใช่ตรวจสอบให้กระจ่าง แต่เป็นการแสดงพลังเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
อวี้จิ่นกวาดสายตาหนึ่งรอบ แล้วยิ้มอย่างมีความหมายกับจูจื่ออวี้ “คุณชายจู ท่านมากับข้าก่อน”
จูจื่ออวี้ไม่รู้ว่าเจียงซื่อพูดอะไรกับอวี้จิ่นบ้าง เขาทำหน้าหมองแล้วพยักหน้า จากนั้นเดินไปยังศาลา
เจียงอันเฉิงพูดกับเจียงซื่อเสียงเบา “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าดูสิ การจัดการคดีของเสี่ยวอวี๋ดูมีพลังเหมือนกัน ต่อหน้าคุณชายตระกูลขุนนาง เขาไม่มีความกลัวเลยสักนิด ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อเหยิ่งจริงๆ”
เขาชื่นชมชายหนุ่มที่มีความกล้าหาญเช่นนี้ ถึงสถานะครอบครัวจะธรรมดาไปแล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงแค่มีความสามารถและความกล้าหาญ ใครที่ได้อยู่กับเขา อย่างไรเสียก็ไม่มีวันลำบาก
เจียงซื่อกลอกตาขาวเงียบๆ
หากจะให้พูดจริงๆ คนที่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งคือจูจื่ออวี้ต่างหาก…
ต่อมา อวี้จิ่นสอบสวนสาวรับใช้อาหยากับอาจูสองคนตามลำดับ และยังสอบสวนคนในจวนที่ใกล้ชิดกับคนขับรถม้าอีกหลายคน เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้นับว่าใช้พลังไปไม่น้อยเหมือนกัน แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมา “วันนี้พอเท่านี้ก่อน หากว่าใต้เท้าจูพบสิ่งใดเพิ่ม รบกวนช่วยมาบอกกล่าวกับข้าทันที”
จูเส้าชิงกุมมือคำนับ “กลับดีๆ ขอรับ”
ตัวซวยกำลังจะไปแล้ว รอให้เขากินอิ่มก่อนแล้วค่อยติดต่อกับศาลาว่าการพระนครอีกที
อวี้จิ่นยิ้มให้กับเจียงอันเฉิง “ท่านกลับด้วยหรือไม่”
เจียงอันเฉิงปัดมือ “ไม่กลับ ข้ามีเรื่องจะคุยกับคนของตระกูลจูอีก”
“ถ้าเช่นนั้น ข้ารอทั้งสองฝ่ายคุยเสร็จแล้วค่อยกลับแล้วกัน หากคุยกันไม่ลงตัวเกิดใช้กำลังขึ้นมา ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าหน้าที่จะได้ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยให้”
จูเส้าชิง “…” เยี่ยนอ๋องป่วยหรือเปล่า!
เจียงอันเฉินซาบซึ้งเงียบๆ เสี่ยวอวี๋เข้าข้างเขาจริงๆ กลัวว่าเขาจะเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบจึงอยู่ต่อ
อวี้จิ่นไม่สนใจสีหน้าที่บิดเบี้ยวของจูเส้าชิง แต่ยกมือชี้ไปยังศาลา “วางใจได้ เรื่องส่วนตัวของสองครอบครัว ข้าไม่เอ่ยถามให้มากความแน่ เดี๋ยวข้าไปรอที่นั่น”
ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ อวี้จิ่นชำเหลืองมองเจียงซื่ออย่างรวดเร็วหนึ่งที จากนั้นก็พาผู้ติดตามเดินไปยังศาลา
จูเส้าชิงจัดการความรู้สึกเล็กน้อย แล้วจึงถอนหายใจใส่เจียงอันเฉิง “พ่อตาของลูกสะใภ้ เรื่องของวันนี้เป็นความผิดของพวกเรา ที่ไม่ได้สั่งสอนบ่าวรับใช้ให้ดี หากว่าท่านมีคำขอใดก็จงว่ามา เราไม่ต้องให้คนนอกเห็นเรื่องตลกนี้เลย”
ตอนที่พูดประโยคนี้ เขากวาดสายตาไปยังศาลาหนึ่งที ‘คนนอก’ ที่กล่าวถึงไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นใคร
เจียงอันเฉิงยิ้มเย็นชา “ใครคือคนนอกยังไม่แน่นอนหรอก พอข้ารู้ว่าคนขับรถม้าตาย แล้วจวนของท่านก็ไม่มีใครยอมรับ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ข้าขอพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังไว้ตรงนี้ หากว่าบุตรสาวคนโตของข้าได้รับความไม่เป็นธรรมอีก ข้าจะให้นางหย่ากับจูจื่ออวี้ และนำเรื่องเหล่านี้ไปขอความเป็นธรรมกับคนภายนอกทันที”
เจียงอันเฉิงเป็นคนหยาบ แต่ไม่โง่ ถ้าเขาเชื่อว่าคนขับรถม้าไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังนั่นถึงจะน่าแปลก
“ไม่ถึงขนาดนั้นขอรับ” จูเส้าชิงรีบกล่าว
เนื่องจากตนเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลไม่เพียงพอ จูเส้าชิงจึงต้องแสดงท่าทีถ่อมตนไว้ก่อน แต่ภายในใจกลับส่ายศีรษะ ก็เพราะตงผิงปั๋วเป็นคนเซ่อๆ ซ่าๆ คำพูดรุนแรงเหล่านี้จึงทำให้จวนจูต้องกล้ำกลืนฝืนทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่คิดบ้างหรือว่าลูกสาวกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่จฝนนใคร
อะไรที่เรียกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม? การเป็นภรรยา เมื่อชายหนุ่มออกไปดื่มสุราหรือเพิ่มอนุภรรยาเข้ามา จะนับว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมคงไม่ได้ แม่สามีตั้งกฎระเบียบให้ลูกสะใภ้ก็ไม่ถือว่าไม่เป็นธรรมเช่นกัน หากในอนาคตมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ การที่ตงผิงปั๋วนำเรื่องราวไปพูดข้างนอก จะมีแต่คนหัวเราะเยาะ แล้วคนที่เสียเปรียบและทนทุกข์จริงๆ ก็คือลูกสาวของเขาเอง
แน่นอนว่า เขาเชื่อเสมอว่าเมื่อครอบครัวปรองดองกันทุกสิ่งย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง ภรรยาของเขาเข้มงวดบ้างแต่ก็ใช่ว่าตั้งใจทรมานลูกสะใภ้เสียหน่อย พวกเขาก็ไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เช่นกัน
“พ่อตาของลูกสะใภ้ เรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบในภายหลังอย่างละเอียด หากว่ามีนัยแฝงอยู่จริง ข้าจะไม่ใจอ่อนกับคนชั่วช้าเช่นนั้นเด็ดขาด” จูเส้าชิงเชื่อว่าครอบครัวของตนนั้นบริสุทธิ์ ที่ไม่อยากให้ข้าราชการแทรกแซงเพราะรู้สึกอายคน ไม่ใช่เพราะคิดว่าคนที่ทำร้ายเจียงอีคือภรรยาหรือบุตรของตัวเอง หลังจากปิดประตูเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็จะตรวจสอบอย่างแน่นอน
คำพูดของจูเส้าชิงทำให้เจียงอันเฉิงอารมณ์ดีขึ้น เขาเอ่ยเรียก “อีเอ๋อร์ เจ้ามานี่”
เจียงอีเดินไปหาเจียงอันเฉิงพร้อมเรียกท่านพ่อ
“ต่อจากนี้ไป ถ้าเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็อย่าเก็บเอาไว้ จำไว้ว่าเจ้าคือคนที่ยังมีครอบครัวฝั่งแม่” เจียงอันเฉิงมองดูบุตรสาวคนโตที่มีสีหน้าซีดเผือดแล้วรู้สึกเป็นห่วงมาก
คำที่เขาพูดออกไปเหล่านั้นก็เพื่อแสดงความแข็งกร้าวของตระกูลฝั่งแม่ แต่ท้ายที่สุดชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับบุตรสาวคนโตของเขาด้วย บุตรสาวของเขาคนนี้อ่อนแอมากเกินไป หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในวันหนึ่ง บุตรสาวจะยอมหย่าหรือไม่ก็ยังคงเป็นปัญหาหนึ่ง…
เมื่อมองไปยังลูกสาวอีกคนที่แสดงไว้ด้วยสีหน้าเย็นชา เจียงอันเฉิงรู้สึกเสียใจ ถ้าอีเอ๋อร์มีนิสัยเหมือนน้องสาวสักแปดส่วนก็คงดี อย่างน้อยก็ไม่เสียเปรียบคน
เจียงอีก้มหัวลงเล็กน้อย “ท่านพ่อวางใจเถอะเจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว”
“เราไปกันเถอะ ซื่อเอ๋อร์”
เมื่อคุยเสร็จแล้ว อวี้จิ่นจึงเดินมา เขายิ้มและกล่าว “ใต้เท้าจู ข้าขอลาด้วยเช่นกัน”
จูเส้าชิงยิ้มแห้งตลอดทางที่ส่งอวี้จิ่นไปถึงหน้าประตู พอเห็นฝูงชนที่มามุงดูความคึกคัก สีหน้าพลันมืดลงทันที
เป็นไปตามที่คิด เวลามีเจ้าหน้าที่มาที่เรือน ก็มักจะดึงดูดความสนใจของเพื่อนบ้านได้ในทันที
เขากำลังจะล้างบาป ก็ได้ยินเสียงสูงของอวี้จิ่นดังขึ้น “ทุกคนช่วยหลบหน่อย เจ้าหน้าที่กำลังจัดการเรื่องคดีความอยู่”
จูเส้าชิงแทบล้มหัวทิ่ม
อยากจะอุดปากเยี่ยนอ๋องจริงๆ!
เจียงอันเฉิงแอบพยักหน้า
อืม เสี่ยวอวี๋ช่างรู้ใจคนจริงๆ!
หลังจัดการเรื่องวุ่นวายเสร็จ เมื่อกลับถึงจวนตงผิงปั๋วท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว เจียงซื่อใช้ข้ออ้างว่าไม่สบายเพราะตกใจ กลับไปพักผ่อนที่เรือนไห่ถัง จากนั้นอาเชี่ยวก็ยกน้ำชามาให้แล้วจิบไปหลายอึก พลางเอ่ยถามอาหมาน “คุยกับอาหยาแล้วใช่หรือไม่”
อาหมานรีบตอบ “บอกให้นางจับตาฉิงเอ๋อร์ให้ดีแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะมีความผิดปกติใดๆ ก็ต้องรายงานกับคุณหนู แล้วถ้าอาหยาไม่เชื่อฟังจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”