ไม่เชื่อฟัง?
เจียงซื่อยักคิ้วและยิ้ม “อาเฟยยังเชื่อฟัง นางก็น่าจะเชื่อฟังเหมือนกัน”
เชื่อฟังอาจไม่มีผลดีเสมอไป แต่ไม่เชื่อฟังมีผลเสียแน่นอน สาวรับใช้ที่เกิดในครอบครัวต่ำต้อยอย่างอาหยา ล้วนเป็นกลุ่มคนที่รู้กาลเทศะ และฝันร้ายในค่ำคืนนี้จะทำให้นางจำขึ้นใจ
“คุณหนู ในเมื่อคุณหนูคิดว่าฉิงเอ๋อร์จะมีปัญหา ทำไมถึงยังเก็บนางไว้ใกล้ๆ คุณหนูใหญ่ล่ะเจ้าคะ” อาหมานถามด้วยความไม่เข้าใจ
เจียงซื่อยิ้มและแตะอาหมานเบาๆ “ถามมากเสียจริง ไปตักน้ำเร็วเข้า ข้าอยากอาบน้ำแล้ว”
ในห้องอาบน้ำฟุ้งกระจายด้วยหมอกควัน ปนด้วยความเย็นของฤดูใบไม้ร่วง เจียงซื่อถอดชุดออกและย่ำเท้าเข้าไปยังอ่างไม้ขนาดใหญ่ แล้วปล่อยให้น้ำอุ่นปกคลุมทั้งตัวจนถึงหัวบ่าอันเนียนขาว ผมดำเงาถูกปล่อยแผ่กระจายอยู่บนผิวน้ำเหมือนสาหร่าย ท่าทางมีความความเกียจคร้านสุดจะพรรณนา
ข้างๆ หูคือเสียงรดน้ำ ซ่า แต่เจียงซื่อไม่สนใจ นางหลับตาคิดเรื่องอื่น
ฝั่งพี่ใหญ่น่าจะไม่มีปัญหาชั่วคราว พรุ่งนี้นางจะไปพบอาเฟยเสียหน่อย…
ท่าทางราดน้ำของอาหมานหยุดลง นางถามอาเฉี่ยวด้วยเสียงเบา “คุณหนูหลับไปแล้วใช่หรือไม่”
อาเฉี่ยวโน้มลงแล้วเรียกเบาๆ “คุณหนูเจ้าคะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขนตาของเจียงซื่อสั่นเล็กน้อย จากนั้นนางก็ลืมตา
“คุณหนูลุกขึ้นก่อนดีกว่า เดี๋ยวบ่าวเช็ดตัวให้แห้งก่อนแล้วค่อยนอน ไม่เช่นนั้นจะเป็นหวัดได้นะเจ้าคะ”
เจียงซื่อพยักหน้าและลุกขึ้น
หยดน้ำไหลตามผิวที่นุ่มลื่นของหญิงสาว ผมยาวเสมอเอวปกปิดแผ่นหลังได้ทั้งแผ่น กลับเป็นส่วนหน้าที่เผยมุมแหลมให้เห็นเต็มตา
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อชาติก่อนนางเคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง แล้วยังมีประสบการณ์ความรักที่ลึกซึ้งกับอวี้จิ่นด้วย จึงทำให้เจียงซื่อไม่เขินอายกับการเผยร่างเปลือยเปล่าเหมือนพวกหญิงสาวในวัยเดียวกัน นางเดินเท้าเปล่าไปยังห้องนอน
พลันมีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกหน้าต่าง คล้ายว่าเป็นเสียงเคาะ
การแสดงออกอย่างไม่แยแสของเจียงซื่อพลันเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด นางวิ่งไปหลบด้านหลังม่านกั้นลมที่ใกล้ที่สุดอย่างเร็ว พร้อมกล่าวอย่างรีบร้อน “อาเฉี่ยว หยิบเสื้อผ้าให้ข้าที!”
สาวรับใช้สองคนเริ่มลนลานตามกัน พวกนางหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้กับเจียงซื่ออย่างรีบร้อน ส่วนเสียงเคาะหน้าต่างก็ยังดังไม่หยุด ยิ่งอยู่ในยามดึก เสียงนั้นก็ยิ่งชัด ชัดจนชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
ในที่สุดนางก็ใส่เสื้อผ้าจนเสร็จ ใบหน้าสวยๆ ของเจียงซื่อตึงแน่น นางปล่อยให้ผมเผ้าที่เปียกแผ่กระจาย แล้วก็ก้าว ฉับๆ ไปยังหน้าต่าง
นางอยากรู้จริงๆ ว่าใครอยู่ตรงหน้าต่าง!
“คุณหนู…” อาหมานกับอาเฉี่ยวเดินตามอย่างรีบร้อน
พูดได้เลยว่า ตอนนี้คุณหนูเจียงสี่โมโหอย่างที่สุด
ลองจินตนาการดู ไม่ว่าใครที่กำลังอาบน้ำร้อนอย่างสบาย พลันได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างในขณะที่เปลือยร่าง มีใครบ้างที่จะไม่ตระหนกตกใจ
อุ้งเท้าหน้าของสุนัขตัวใหญ่เกาะตรงขอบหน้าต่าง จากนั้นมันเริ่มสูดดมเจียงซื่อ
ความโกรธของเจียงซื่อที่พุ่งกระฉูดพลันหายไปในพริบตา แล้วนางก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาได้อย่างไรเอ้อร์หนิว”
นางเอี้ยวตัวหลบตามจิตใต้สำนึก แล้วสุนัขตัวใหญ่ก็กระโดดเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
อาเฉี่ยวออกไปข้างนอกกับเจียงซื่อไม่บ่อย ไม่เข้าใจที่ไปที่มา นางจึงรู้สึกตกใจมาก
ส่วนอาหมานกลับเดินเข้าไปหาอย่างดีใจ และเริ่มทักทายเอ้อร์หนิวอย่างสนิทสนม “เอ้อร์หนิว เจ้ามาเก็บเงินอีกแล้วหรือ”
เอ้อร์หนิวมองอาหมานด้วยสายตาเย่อหยิ่ง จากนั้นวิ่งไปหาเจียงซื่อแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างสุดกำลัง
หลังจากสงบลง เจียงซื่อพอจะเดาจุดประสงค์การมาของเอ้อร์หนิวออก แล้วนางก็พบถุงปักเล็กๆ หนึ่งอันตรงคอของมันจริงๆ
เจียงซื่อหยิบมันออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว จากนั้นก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับอย่างดีออกมา หลังจากอ่านเสร็จ นางหยิบฝาครอบไฟออกแล้วโยนกระดาษเข้าไป แล้วไฟก็ลุกขึ้นมาสูงหนึ่งนิ้วในทันใด ทำให้ใบหน้าที่ตึงแน่นของสาวน้อยดูขาวกระจ่างใสมากขึ้นกว่าเดิม
อาหมานกับอาเฉี่ยวมีความสงสัยอยากรู้มาก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้านายเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
นางเดินไปห้องหนังสือพร้อมกับเขียนข้อความตอบกลับเสร็จและเก็บเข้าในถุงปักอย่างรวดเร็ว เจียงซื่อลูบศีรษะเอ้อร์หนิวอยู่หลายที “กลับไปได้แล้ว”
เอ้อร์หนิวส่ายหางอย่างน้อยใจ
เจียงซื่อครุ่นคิดไปมา จึงสั่งอาเฉี่ยว “เจ้าไปยกขาหมูที่ท่านพ่อเอามาวันนี้ให้หน่อย”
ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นายท่านรองเจียงเริ่มคุ้นเคยกับการปลอบใจลูกสาวคนเล็กด้วยการส่งขาหมูมาให้ แล้วปริมาณที่ให้แต่ละครั้งก็ไม่น้อย ที่ส่งมาวันนี้ยังกินไม่หมด โชคดีที่ยังไม่ได้เททิ้ง
เอ้อร์หนิวกินอย่างเอร็ดอร่อยจนหมด ถึงยอมกระโดดออกจากหน้าต่างไปอย่างพอใจ แล้วมันก็หายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
เจียงซื่อยืนตรงหน้าต่างเงียบๆ ไปครู่หนึ่ง แล้วถึงเดินกลับไปที่เตียง
อวี้ชีให้เอ้อร์หนิวมาส่งจดหมาย เพื่อนัดพบนางในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งที่ควรพูดนางก็ได้พูดหมดแล้ว นางคิดไม่ออกว่าคนสองคนยังมีความจำเป็นอะไรที่ต้องพบหน้ากันอีก แล้วอีกอย่าง นางจะไปหาอาเฟยพรุ่งนี้
เมื่อเทียบกับเรือนไห่ถังที่เงียบสงบ เรือนหยาซินในเวลานี้จุดโคมไฟสว่างไสว เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อมองดูกับข้าวบนโต๊ะที่เย็นชืดจนหมดความอยากอาหาร ส่วนคนๆ นั้น คนที่นางคิดว่าจะมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและสอบถามเรื่องที่นางประสบเมื่อตอนกลางวันอย่างละเอียด ก็ไม่มา
นายท่านรองเจียงไม่ได้ย่างกรายเข้าเรือนหยาซินด้วยซ้ำ แต่กลับไปพักผ่อนห้องหนังสือที่อยู่ส่วนหน้าของเรือนโดยตรง
ไฟแห่งการถูกละเลยลุกขึ้นภายในใจเซียวซื่อ แต่ไฟโทสะนี้ยังไม่ได้ถูกปล่อยออกมา
นางรู้ดีว่าในเวลานี้ คนในจวนที่รู้เรื่องทุกคนกำลังหัวเราะเยาะนาง
ไท่ไท่ผู้เป็นหัวหน้าของตระกูลถูกคนลักพาตัวตอนกลางวันแสกๆ จากนั้นถูกส่งกลับมาด้วยความมึนงง หากว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น นางก็ดูถูกและหัวเราะเยาะคนผู้นั้นเช่นกัน
หญิงรับใช้เซียวผอจื่อที่ยืนข้างๆ สังเกตสีหน้าของเซียวซื่ออยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็อดไม่ได้จึงคุกเข่าลง
“เซียวมาหม่า เจ้าทำอะไร”
เสียงของเซียวผอจื่อแหบซ่าเล็กน้อย นางก้มหัวคำนับอย่างรุนแรง “ไท่ไท่เจ้าคะ ข้ายังจะได้พบหงเย่ว์อยู่หรือไม่”
เซียวผอจื่อเป็นคนสนิทที่เซียวซื่อไว้ใจ หงเย่ว์เป็นลูกสาวของนาง ทั้งสองแม่ลูกเป็นคนที่ทำงานให้เซียวซื่อเก่งมาก
เซียวซื่อถึงกับชะงักกับคำถาม
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนจับตัวนางไป หลังจากตื่นขึ้นมา นางก็ไม่เห็นเงาของหงเย่ว์แล้ว ถึงจวนปั๋วจะส่งคนออกไปหาลับๆ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการงมเข็มในมหาสมุทร
เซียวซื่อนวดคลึงตรงหว่างคิ้ว นางเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ได้ส่งคนออกไปหาแล้ว บางทีพรุ่งนี้อาจมีข่าวแล้วก็ได้…”
เซียวผอจื่อหมอบลงกับพื้น หน้าผากแนบไปกับพื้นที่เย็นเฉียบ และน้ำตาก็ไหลรินดุจฝนตก
ลูกสาวของนางไม่ได้กลับมาแล้วแน่ๆ
……
ในจวนเยี่ยนอ๋องที่เพิ่งสร้างเสร็จ อวี้จิ่นเฝ้ารอจนเอ้อร์หนิวกลับมาถึง
เขาได้กลิ่นเนื้อหอมจางๆ ทันทีที่เอ้อร์หนิวเข้ามาใกล้ เขาจึงยื่นมือออกไปหยิกแก้มเอ้อร์หนิว น้ำเสียงที่กล่าวฟังไม่ออกว่าอิจฉาหรือจุกจนพูดไม่ออก “นางดีกับเจ้ามากกว่าดีกับข้าเสียอีก”
เอ้อร์หนิวส่งเสียง ฮึ่มๆ สองที จากนั้นแสดงท่าทางให้เจ้านายรีบหยิบถุงปักไปโดยเร็ว
อวี้จิ่นยิ่งจุกจนพูดไม่ออกเมื่อได้อ่านกระดาษที่อยู่ในถุงปัก
เยี่ยมมาก เอ้อร์หนิวไปครั้งเดียวมีเนื้อให้กิน ส่วนเขาได้กลับมาสองคำว่า ‘ไม่พบ’
คนกับสุนัข เหตุใดถึงปฏิบัติตัวต่างกันถึงเพียงนี้
แต่ครั้งนี้อวี้จิ่นไม่ได้ตื่นตกใจกับคำว่า ‘ไม่พบ’ เท่าไรนัก เขารู้สึกว่าต้องได้พบ
ถึงแม้ว่าไม่ควรบีบบังคับอาซื่อมากจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรทำให้อาซื่อเข้าใจผิดคิดว่าเขามีหญิงอื่นเหมือนกัน นี่เป็นการกล่าวหาที่ผิดมหันต์!
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศเย็นเป็นพักๆ เจียงซื่อไปน้อมทักที่เรือนฉือซินเหมือนทุกครั้ง หลังจากที่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวากับคำตำหนิของเฝิงเหล่าฮูหยินเสร็จ พอได้โอกาสนางก็พาอาหมานไปยังเรือนที่เช่าไว้ทันที
อาเฟยคอยอยู่ด้านในเรียบร้อย เมื่อเห็นเจียงซื่อก็รีบค้อมตัวทักทาย
เจียงซื่อปัดมือเพื่อแสดงว่าไม่ต้องปฏิบัติเคร่งครัดขนาดนั้น นางถามเข้าประเด็น “ชายร่างใหญ่ที่วิ่งตามหญิงสาวเมื่อวาน ติดตามทันหรือไม่”