บทที่ 307 เส้นทางสู่ความเป็นหรือตาย
บทที่ 307 เส้นทางสู่ความเป็นหรือตาย
ถึงตอนนี้เรื่องราวก็จบลงแล้ว
ชิงอวี่เข้าใจในที่สุดว่าทำไมเขาถึงให้ความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองเช่นนี้
มันมีความสะอาดบริสุทธิ์บางอย่างที่ทำให้เขาราวกับไม่อาจถูกความโสมมบนโลกทำให้แปดเปื้อนได้ แต่ก็มีบางครั้งที่การกระทำเขาสะท้อนด้านเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายในตัวของตนออกมา
เพราะในร่างของเขายังมีอีกหนึ่งวิญญาณซ่อนอยู่ ที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้ เป็นตัวตนที่มีความสลักสำคัญเป็นอย่างสูง
และได้เข้าใจในที่สุดว่าทำไมในดวงตาเขาถึงได้มีความโศกเศร้าสะท้อนอยู่ภายใน หรือพูดตรง ๆ ก็คือดวงตาคู่นั้นไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของวิญญาณโดดเดี่ยวดวงหนึ่งที่ไม่อยากจากไปต่างหาก
“หญิงสาวในเรื่องเล่าเป็นใครกัน?” ชิงอวี่เอ่ยถามเสียงเบา
เหลียนซือหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบขึ้น “นางเป็นเผ่าเทพคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่นับแต่เมื่อหลายล้านปีก่อน เป็นเจ้าครองยอดเขาใจสงบ”
ชิงอวี่ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจมากนักราวกับเดาไว้แล้ว “จากที่ท่านเล่ามา ข้าก็เดาได้แล้ว ทั้งยังรู้เหตุผลที่นางทำทุกอย่างนี่ด้วย นางคงเปลี่ยนไปเป็นคนที่แม้แต่ท่านก็ไม่รู้จักแล้วกระมัง?”
“ที่ผ่านมา ท่านก็เป็นแค่ตัวแทนของเขา”
“ใช่ แค่ตัวแทน” เหลียนซือหัวเราะเบา ๆ “แม้จะรู้เช่นนั้น แต่ก็ปฏิเสธนางไม่ลง เต็มใจแบกเอาบาปทุกอย่าง ให้เลือดเปื้อนมือข้าดีกว่ามือนาง นางเคยมีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์เพียงนั้น แต่ตอนนี้นางแค่เหน็ดเหนื่อยมากไปหน่อยเท่านั้น แค่รู้สึกว่าโลกแห่งนี้ช่างหนาวเหน็บเกินไป”
คนสองคนที่นางใส่ใจมากที่สุด บิดาของนางก็ทอดทิ้งนางไป ส่วนบุรุษที่รักนางก็ตายเพราะปกป้องนาง คงจะไม่มีความสูญเสียใดใหญ่หลวงไปกว่านี้แล้วกระมัง!?
เห็นเขาหลงตนเองเช่นนั้น ชิงอวี่ก็มุ่นคิ้วดูลังเลและเห็นใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังเอ่ยความจริงที่เขาเหมือนไม่เต็มใจจะยอมรับออกไป
“นางคิดจะฟื้นคืนชีพเหลียนซือคนนั้นใช่หรือไม่?”
เขายังหลุบตาต่ำ กะพริบตาเบา ๆ สองสามครั้ง
“แต่ท่านรู้ไหม….. ว่าหากเหลียนซือคนนั้นกลับมา ท่านก็จะต้องหายไป นางจะจดจำไม่ได้แม้กระทั่งตัวท่าน ลืมสิ้นว่าเคยมีคนที่คอยเคียงข้างนางมาตลอด คนที่รักนางมากกว่าชีวิตตนเองอยู่”
มุมปากเหลียนซือโค้งขึ้นน้อย ๆ ราวกับยิ้มเยาะตนเอง “แล้วอย่างไร? หากนางต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยนาง ข้าใช้ชีวิตมานับล้านปีเช่นนี้ อย่างไรก็เป็นชีวิตที่ข้าชิงมา…..”
“หรือไม่ก็คงเป็นเพียง….. เศษทานที่เขาคนนั้นมอบให้”
พูดจบ รอยยิ้มเป็นมิตรดูอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง สายตาที่ใช้มองชิงอวี่ก็อ่อนโยนขึ้นมาก
เขาพลันเอ่ย “ไม่รู้ทำไม แต่สิ่งเหล่านี้ฝังลึกในใจข้ามาหลายปี ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน ไม่กลับเอามาเล่าให้เจ้าฟังในวันนี้ เจ้าช่างเป็นแม่นางน้อยที่มหัศจรรย์เสียจริงรู้หรือไม่”
ชิงอวี่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเปล่งเสียงหัวเราะอย่างจนใจ เช่นนั้นเป็นคำชมได้ด้วยหรือ?
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ถูกลิขิตมาแล้วว่าเจ้าหนีไปไหนไม่ได้ จริง ๆ แล้วตำนานเรื่องยอดเขาใจสงบมาจากความเข้าใจผิดที่พอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายปีมานี้ ที่ยอดเขาใจสงบเฟ้นหาไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ แต่เป็นตัวกระตุ้นที่เหมาะสมจะฟื้นคืนชีพคนคนนั้นต่างหาก”
“และข้าก็เป็นตัวกระตุ้นนั้นหรือ?”
“เดิมทีแม่ของเจ้าเหมาะสมที่สุด แต่น่าเสีนดายที่ตอนนางกำลังเติบโตและให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ความบริสุทธิ์ในร่างนางกลับถูกคนทำลายไป สุดท้ายนางจึงหมดค่า แผนการที่เตรียมการมาพันปีจึงถูกระงับไปชั่วคราว”
พูดถึงตรงนี้ เหลียนซือก็อดส่งสายตามีความหมายมองนางไม่ได้ “ทั่วทั้งแดนต่าง ๆ หาคนที่มีธาตุกลายพันธุ์อย่างธาตุเปลวอัคคีไม่มีสักคน แม่เจ้าเป็นบุคคลหายากนัก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยิ่งเหมาะเป็นตัวกระตุ้นที่เราเสาะหายิ่งกว่านาง ด้วยธาตุเปลวอัคคี ในร่างเจ้านั้นทั้งสะอาดและบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด ไร้มลทินใด เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”
ชิงอวี่รับฟังเงียบ ๆ พักใหญ่จึงเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาฉงน “ท่านบอกข้าทำไมกัน?”
เหลียนซือเงียบไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะเสียงเบา “อาจเพราะข้ารู้สึกเสียดายนักว่าจากนี้ไปก็จะไร้คนที่น่าสนใจเช่นเจ้าอีกต่อไปแล้วกระมัง!”
“น่าสนใจ? เช่นนั้นก็เป็นเกียรติอย่างสูง” ชิงอวี่หัวเราะหยัน เหยียดยิ้มเยาะตนเองออกมา
เหลียนซือไม่เคืองแววเยาะในน้ำเสียงนาง เพียงแต่หรี่ตาลงยิ้มน้อย ๆ “เอาล่ะ ข้าไปดูคนพวกนั้นจะดีกว่า พวกเขาคงมาถึงสถานที่ที่ควรไปถึงแล้ว”
พูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปและทำท่าจะจากไป
ชิงอวี่รู้สึกคิ้วกระตุก ร้องเรียกเขาออกไปโดยไร้เหตุผล “นี่ เดี๋ยว…..”
หากแต่สิ่งตอบรับคือเงาร่างที่ค่อย ๆ หายไปของชายหนุ่ม
ชิงอวี่ได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกลางไม่ดีขึ้นมา ไม่รู้ด้วยว่าโร่วโร่วหาเสี่ยวเป่ยเจอหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้นางไม่เห็นเขาในภาพนั้นเลย
— คุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิง —
เพราะเบื้องบนสั่งลงมาว่าห้ามเกิดเรื่องกับชิงหลานเฟยในตอนนี้ เหยี่ยนพั่วจึงคลายความระวังลงบ้าง ทำให้หลายวันนี้อิงเกอมาหาได้บ่อยขั้น ทั้งยังไม่ถูกพบเห็นอีก
ได้ยินเสียงเท้าแผ่วเบาแล้ว ชิงหลานเฟยจึงหันไปมอง
ด้วยเดาว่าคนที่มาเป็นใครไว้แล้ว สีหน้านางจึงไม่ประหลาดใจ พลันถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำ “อิงเกอ ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องมาแล้ว”
“ศิษย์พี่ คนพวกนั้นมากันแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตายกันไปหลายคน” อิงเกอเอ่ยเสียงต่ำดูเครียดขึง
ชิงหลานเฟยชะงักไปเล็กน้อย “ใคร….. มานะ?”
“มีหลายคนทีเดียว รวมทั้งคนที่ท่านเป็นห่วงด้วย” อิงเกอว่า โบกมือคราหนึ่ง ภาพก็ปรากฏขึ้น เผยให้เห็นเงาร่างคุ้นตาช้า ๆ
แต่เหมือนเขาจะมาคนเดียว ด้านข้างไร้เงาคนอื่น อีกทั้งสถานที่ที่เขาอยู่ก็ไม่คุ้นตาชิงหลานเฟยเอาเสียเลย ไม่รู้ว่ามันเป็นที่ใดกันแน่แม้จะอยู่บนยอดเขาใจสงบมาก่อนในอดีตก็ตาม
“จิ่งอวี้…..” ชิงหลานเฟยกำมือแน่น สองตาแต้มแววกังวล
เขาจะมาทำไมกัน? เขาหาที่นี่เจอได้อย่างไร?
ทำไมถึงไม่อยู่กับเสี่ยวเป่ยกับคนอื่น ๆ เล่า? หรือว่าเขาทำเช่นนี้โดยไม่มีใครรู้…..
“ไม่ใช่แค่เขานะ”
อิงเกอว่าต่อ จากนั้นโบกมืออีกครา ใบหน้าชิงเป่ยที่มีริ้วเลือดหลายสายก็ปรากฏขึ้น สีหน้าดูตึงเครียด ราวกับกำลังหลบซ่อนจากบางอย่าง ดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“พวกเขาต่างมาตามหาท่าน” อิงเกอว่าด้วยสีหน้าเครียดพลางมองชิงหลานเฟย “ศิษย์พี่ ในเมื่อพวกเขามาแล้ว ความปลอดภัยบางจุดย่อมหย่อนลงเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเวลาที่เหมาะแก่การหนีที่สุด”
ชิงหลานเฟยดูตกใจ “หนีออกไปหรือ?”
“ข้าบอกแล้วว่าจะช่วย” ใบหน้าน่ารักงดงามของอิงเกอดูแน่วแน่ นางจับมือชิงหลานเฟยแน่น พลันเห็นโซ่ที่พันรอบข้อมืออีกฝ่ายเริ่มละลายลงทีละน้อย ไม่กี่ชั่วอึดใจมันก็หายไปจนหมด
นางถูกล่ามด้วยตรวนผนึกเหล่านี้มานาน จึงรู้สึกแปลกไปบ้างเมื่อมือเป็นอิสระ แต่ที่ประหลาดใจที่สุดเห็นจะเป็นการกระทำของอิงเกอ
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? หากอาจารย์รู้เข้า …..”
พูดยังไม่ทันจบก็เห็นอิงเกอทำเช่นเดิมกับตรวนที่ข้อเท้านาง
“ไปกัน”
อิงเกอพยุงนางลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน ให้ชิงหลานเฟยที่ยังอ่อนแรงเอนร่างพิงน้ำหนักมาทางนางเต็มที่ จากนั้นค่อย ๆ ก้าวไปยังทางออกทีละก้าว
แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนเฝ้าคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงอยู่ เมื่อเห็นอิงเกอพาคนออกมาจึงรีบหยุดนางไว้ด้วยใบหน้าระแวดระวังทันที
นาวเอ่ยเสียงเรียบด้วยใบหน้าสงบนิ่งเย็นชา “ท่านเหยี่ยนพั่วสั่งว่าคนผู้นี้ยังตายไม่ได้ ต้องให้ยาต่อชีวิตนางต่อไป คุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงนั้นไม่เหมาะใช้รักษาร่างกายนาง ข้าจึงถูกส่งมาพานางไปยังเรือนท่านเหยี่ยนพั่ว”
คนเฝ้าเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีสงบนิ่งไม่ลนลานจึงหันไปมองหญิงสาวอ่อนแอที่ดูราวกับจะตายอยู่รอมร่อ เมื่อเห็นว่าอิงเกอเป็นศิษย์สายตรงของเหยี่ยนพั่วแล้ว เขาจึงคิดว่าเป็นไปได้ ครุ่นคิดอีกครู่หนึ่งจึงพยักหน้าน้อย ๆ แล้วยอมให้ผ่านออกไป
ชิงหลานเฟยซบใบหน้าลงบนไหล่อีกฝ่ายมาตลอดทาง เบิกตามองทุกอย่าง ไม่เอ่ยคำพูดสักคำ
อิงเกอกลัวว่านางจะตื่นกลัวแล้วทำให้เสียแผนจึงสกัดจุดเคลื่อนไหวนางไว้ นอกจากพิงร่างนางดูปวกเปียกแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก ดังนั้นทั้งสองจึงค่อย ๆ ออกมาจากสถานที่น่ากลัวอันเป็นที่ตั้งคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงนั้น ออกมาจากคุกอันน่าขวัญผวาแห่งนั้น
ชิงหลานเฟยไม่คิดไม่ฝันว่านางจะได้ออกมาเห็นแสงตะวันอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นไปนานเท่าไหร่ ด้วยนางคิดว่าคงถูกพบตัวโดยไว สุดท้ายไม่นานคงถูกจับกลับไปแน่
ครั้งนี้นางลากอิงเกอเข้ามาพัวพันด้วย
ไม่รู้ว่าเดินกันมานานเท่าไหร่ ก่อนที่อิงเกอจะปลดจุดที่สกัดไว้แล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ล่ะ รีบไปเร็ว!”
นางยกมือขึ้นชี้เบื้องหน้าไปตรงเส้นทางสายเล็กที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้รูปเข็มสีขาว “มุ่งหน้าตรงจากตรงนี้ไป ที่นี่เป็นจุดที่ยอดเขาใจสงบไม่อาจสอดส่องถึง ไม่มีใครรู้ได้ สำหรับคนบางคน หนทางนี้เป็นหนทางสู่ชีวิต เป็นทางออกไปจากที่นี่ แต่ก็เป็นหนทางแห่งความตายในสายตาบางคนเช่นกัน”
อิงเกอพูดจบ นางก็หันมามองชิงหลานเฟย “แต่ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่เป็นคนที่โชคเข้าข้างเสมอ สุดท้ายต้องเปลี่ยนเรื่องร้ายกลายเป็นดีได้แน่
ชิงหลานเฟยกำมือแน่น นางย่นหัวคิ้วเอ่ยเสียงลังเล “อิงเกอ ข้าไปไม่ได้…..”
คนเฝ้าคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงเห็นแล้วว่าอิงเกอเป็นคนพานางออกมา หากพบว่าอีกฝ่ายปล่อยให้นางหนี นางนึกภาพผลลัพธ์ที่อีกฝ่ายต้องพบไม่ออกเลย
บทลงโทษบนยอดเขาใจสงบที่มีต่อคนทรยศนั้น โหดร้ายจนจินตนาการไม่ถึง นางจะเห็นแก่ตัวเช่นนั้นไม่ได้
แม้นางจะห่วงจิ่งอวี้กับคนอื่น ๆ มาก แต่นางจะทิ้งให้ศิษย์น้องที่เติบโตมาด้วยกันตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร?
“ท่านยังลังเลอะไรอีก?” อิงเกอเริ่มกังวลใจแล้วยื่นแขนผลักนาง “รีบไปเถอะ! เมื่อพวกเขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ท่านจะออกไปไม่ได้แล้วนะ!”
ชิงหลานเฟยชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้าอย่างดื้อดึง “ข้าไม่ไป หากข้าไป เจ้าก็จะตาย”
“ข้าตายหรือไม่นั้นก็ไม่มีความหมาย มันก็แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้นเอง”
อิงเกอหัวเราะหยันตนเองเล็กน้อย “หากไม่ใช่เพราะมีศิษย์พี่คอยปกป้องมาตลอดหลายปี ด้วยนิสัยอันน่าชังเช่นข้า ข้าคงตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ตอนนี้ข้ามีโอกาสใช้ชีวิตช่วยท่าน ท่านก็โปรดรับหนี้บุญคุณที่ข้าติดค้างไว้หลายปีไปจากข้าด้วยเถอะ!”