บทที่ 308 ศิษย์พี่ ท่านต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดี
บทที่ 308 ศิษย์พี่ ท่านต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดี
ชิงหลานเฟยร่างแข็งขึงขึ้น เหมือนจะรับรู้บางอย่างหลังได้ยินคำนั้น สีหน้านางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เบิกตากว้างมองอย่างไม่อยากเชื่อ
“อิงเกอ….. หรือความตั้งใจแต่แรกของเจ้า….. คือการยอมสละชีวิตตน…..”
ชิงหลานเฟยถามออกมาแล้ว อิงเกอก็ดูสะดุ้งน้อย ๆ มุมปากกระตุกเล็ก ๆ นางหลุบตาลงดูจนใจก่อนเอยคำ “ศิษย์พี่ อย่าถามอีกเลย ท่านเคยสัญญากับข้าว่าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และมีความสุขในส่วนของข้าด้วย”
พูดจบ ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำ แรงผลักเบา ๆ ก็ส่งออกจากฝ่ามืออิงเกอ ผลักร่างอีกฝ่ายไปยังเส้นทางเล็ก
พลังของชิงหลานเฟยยังกลับมาไม่สมบูรณ์ ทั้งยังเป็นตอนนางไม่ทันระวัง ดังนั้นจึงถูกผลักออกไปไกลหลายร้อยเมตร อิงเกอทอดสายตาดูร่างหญิงสาวที่ค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ
“อิงเกอ! โอหังนัก! กล้าปล่อยนางไปงั้นหรือ!?”
น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างสูงพลันดังขึ้นจากที่ไกล สีหน้าชิงหลานเฟยแข็งค้าง เป็นท่านอาจารย์ เสียงของท่านเหยี่ยนพั่วนั้นเอง
ถูกพบเร็วเช่นนี้เลยหรือ?
ชิงหลานเฟยหันไปมองด้วยความตกใจกลัว เห็นเหยี่ยนพั่วกับจอมยุทธ์ฝีมือดีอีกราวสิบคนด้านหลัง เสียงสั่งเฉียบขาดเย็นชาจากเหยี่ยนพั่วคำเดียวก็ส่งร่างทั้งหลายพุ่งออกมาทางชิงหลานเฟยเพื่อตามจับตัวคนหลบหนีทันที
หากแต่อิงเกอเร็วกว่าก้าวหนึ่ง กระโจนเข้ามาขวางทางไว้ ใช้พลังทั้งหมดถักทอเป็นใยขนาดใหญ่ หยุดเหล่าจอมยุทธ์ไว้ได้ ใบหน้านางพลันซีดขาวไร้สีใด ราวกับการกระทำเช่นนั้นเป็นภาระร่างอย่างหนัก หากแต่นางก็กัดฟันตะโกนสุดเสียง “หนีไป!”
ชิงหลานเฟยกำหมัดแน่นและยังลังเล พลันเสียงหัวเราะเยือกเย็นเสียดลึกถึงกระดูกจะดังขึ้นเป็นโทนเหยียดหยาม ก่อนเหยี่ยนพั่วจะเอ่ยเสียงเรียบออกมา
“เยี่ยม นี่มันเยี่ยมจริง ๆ พวกเจ้ามีสายสัมพันธ์พี่น้องกันแน่นแฟ้นเหลือเกิน ดูท่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไป เห็นว่าเจ้าเงียบราวกับหนู เชื่อฟังดีมาตลอด ไม่คิดว่าจะหาญกล้าเพียงนี้ เคยคิดถึงผลจากการกระทำนี่บ้างหรือไม่?”
“อิงเกอ….. รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจอภัยได้ ข้าได้แต่หวังว่า….. อาจารย์จะปล่อยศิษย์พี่ไปสักครั้ง อย่างไรนางก็เคยเป็นศิษย์ของท่าน…..”
อิงเกอเอ่ยช้า ๆ เน้นย้ำทุกคำ
ที่มุมปากนางพลันมีเลือดหยดลงมา ด้วยพลังนางคนเดียว จะรั้งจอมยุทธ์มากมายหลายคนเช่นนี้นับมามากเกินควร คงทนไปได้อีกไม่นานแล้ว
แต่นางไม่มีทางยอมแพ้….. จนกว่าจะถึงเสี้ยววินาทีสุดท้าย
ใบหน้าดูถูกของเหยี่ยนพั่วยิ่งเพิ่มมากขึ้น “ในเมื่อยังไม่กลับใจ จะตายแล้วยังยืนกรานจะทำผิดพลาด เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเจ้าไว้อีก”
ว่าแล้วเหยี่ยนพั่วก็สะบัดแขนเสื้อแรงคราหนึ่ง ผลักคนทั้งหลายออกไปจนสิ้น ก่อนนิ้วเรียวยาวจะเอื้อมไปคว้าคออิงเกอเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
อิงเกอหน้าแดงขึ้นมาทันที ด้วยถูกอาจารย์บีบลำคอตรงจุดที่เปราะบางที่สุดจนไม่อาจต่อต้านได้สักนิด แต่นัยน์ตานางชุ่มน้ำตา ส่งสายตาเจือแววอ้อนวอนไปทางเหยี่ยนพั่วแล้วเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “อา…จารย์….. ข้า….. ขอ…..”
เหยี่ยนพั่วไม่ตอบ
เสียงกระดูกหักดังก้องขึ้น ก่อนร่างของหญิงสาวจะร่วงลงกับพื้น บนพื้นดินเต็มไปด้วยหิมะที่ไม่มีที่สิ้นสุด อาภรณ์สีแดงปลิวไสวตามสายลม เป็นภาพที่งดงามจับตา
แต่นางนอนอยู่เช่นนั้นราวกับไม่อาจตื่นขึ้นมาได้อีก
ชิงหลานเฟยยืนนิ่งอึ้ง ร่างเย็นเฉียบไปหมด ในร่างไม่เหลือเค้าความอบอุ่นใด
สองแขนนางห้อยตกข้างกาย ปลายนิ้วสั่นเทา
ความเย็นยะเยือกแผ่ออกจากกระดูกลึกในกาย แทรกซึมไปทั่วร่าง เกือบทำให้คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่อาจขยับกายได้แม้แต่นิดเดียว
“อิงเกอ…..”
ไม่รู้เวลาผ่านไปแค่ไหน ภายใต้สภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ราวกับริมฝีปากนางจะสีซีดลงอยู่บ้าง
แต่ที่เหน็บหนาวกว่าคือในใจนาง มันทั้งบีบรัดและเต้นตุบด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
ชีวิตคนเรามันเปราะบางแค่ไหนกันเชียว?
เมื่อก่อนหน้าคนคนนี้ยังส่งยิ้มให้นางอยู่เลย ตอนนี้กลับนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้นเย็นเฉียบ ไม่หายใจอีกต่อไป เงียบงันเสียจนราวกับแค่หลับไปเฉย ๆ
แต่ชิงหลานเฟยรู้ว่านางจะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
อิงเกอ…..
นางควรจะยังมีชีวิตอยู่ ทำไมกัน …..
เล็บนางจิกลึกเข้าฝ่ามือ เลือดไหลออกมาจากหมัดที่กำแน่น แต่นางไม่รู้สึกเจ็บสักนิด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองสตรีที่มีใบหน้าเย็นชาเบื้องหน้านิ่ง
นางคิดเสมอ ว่าแม้ยอดเขาใจสงบจะเป็นสถานที่เย็นชาไร้ใจ แต่อย่างน้อยอาจารย์ของนางก็แตกต่าง เป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้ม นิสัยเย็นชา แต่ก็ยังแสดงความเป็นห่วงนางอยู่เล็กน้อยตลอดมา
แต่นางเข้าใจผิดไป ความเป็นห่วงที่อาจารย์มีให้ตลอดมาเป็นเพราะเหยี่ยนพั่วมีแผนซุกซ่อนไว้มาโดยตลอด และเพราะตัวนางยังมีประโยชน์อยู่
ตอนนี้ กระทั่งกับอิงเกอ….. คนคนเดียวบนยอดเขาใจสงบที่ยังมีมโนธรรมอยู่ในใจ คนคนเดียวที่จริงใจกับนางมาตลอด ตอนนี้กลับถูกสังหารอย่างโหดร้าย
อิงเกอทำอะไรผิดกัน? นางบริสุทธิ์ไร้ความผิดใดชัด ๆ!
รอยยิ้มค่อยๆ ระบายบนหน้าชิงหลานเฟย ก่อนนางจะเปล่งเสียงหัวเราะเศร้าสร้อยออกมา
“จากนี้ไป ท่านไม่ใช่อาจารย์ของข้าอีก ในใจท่าน เกรงว่าทั้งข้าและอิงเกอคงไม่มีค่าพอเป็นหมากให้ใช้งานด้วยซ้ำ หากแต่เป็นแค่ของเล่นข้างกาย เอาไว้ใช้เอาไว้บงการตามใจปรารถนา”
“อะไรกัน? เจ้าร้องไห้ให้ความอยุติธรรมที่นางพบหรือ? นางช่วยเจ้าหนีออกมา นับว่าทรยศยอดเขาใจสงบ ข้าให้นางตายอย่างไร้ความเจ็บปวดเช่นนั้นนับว่าเป็นความเมตตากรุณาที่อาจารย์มีต่อศิษย์แล้ว”
เหยี่ยนพั่วสีหน้าทะมึนลงพลางมองสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย ราวกับใจได้มอดไหม้กลายเป็นเถ้า ไม่อาจมีความรู้สึกอีกต่อไป จากนั้นเอ่ยคำต่อ
“หึ มันช่างน่าโมโหนัก”
รอยยิ้มเย้ยปรากฏบนหน้าชิงหลานเฟย สีหน้านางเด็ดเดี่ยว “เช่นนั้นต้องให้ข้ายอมรับว่าเป็นชะตาของข้าหรือไม่? แม้วันนี้ข้าจะต้องตายที่นี่ ข้าก็จะไม่ไปกับพวกท่าน”
พูดจบ ร่างชิงหลานเฟยก็เคลื่อนตัวไปทางตามเล็กนั่น พริบตาเดียวก็หายไป
เหยี่ยนพั่วนัยน์ตาประกายวาบ สีหน้าดูตกใจอยู่บ้าง “หยุดนางเร็วเข้า! อย่าให้นางไปถึงที่นั่น!”
ชายหนุ่มกว่าสิบพลันพุ่งเข้าไป ไล่ล่าติดตามอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับคำสั่ง
————————————–
ที่อีกฟากหนึ่ง โหลวจวินเหยากับคนของเขาพ้นภัยมาได้ อสูรวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งรบกวนพวกเขาทะลวงน้ำแข็งออกมาไล่โจมตีผู้คนหลังจากที่พวกเขาผ่านพื้นที่นั้นไปแล้วพักหนึ่ง
และอสูรวิญญาณเหล่านั้นราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คล้ายกับมีพลังไม่จำกัดก็มิปาน
บางคนถูกพวกมันจับกินไปเมื่อพลังหดหาย จนกระทั่งสุดท้ายพวกเขาโชคดีเจอประตู พากันผลักประตูเปิดออก เข้าไปหาที่หลบซ่อนตัว พวกอสูรวิญญาณไม่อาจเข้าประตูมาได้ การโจมตีจึงค่อย ๆ บรรเทาลง
มองดูคนทั้งหลายในนั้นแล้ว ตอนแรกที่มีคนเกือบร้อย ตอนนี้นับได้เพียงยี่สิบเท่านั้น
แคว้นมารนั้นมีห้าคนไม่นับโหลวจวินเหยา พวกเขาเสียสมาชิกไปเพียงหนึ่งคน
ส่วนสมาพันธ์นักล่านั้นเลวร้ายที่สุด
นอกจากตัวจูเก่อฉงแล้วก็เป็นกลุ่มที่มีสมาชิกมากที่สุด ตอนนี้เหลือลูกน้องเพียงหนึ่งคน แขนข้างหนึ่งถูกอสูรวิญญาณกัดไปครึ่ง โดยใช้ผ้าพันไว้อย่างลวก ๆ หลังจากเลือดหยุดไหลแล้ว ท่าทางราวกับจะเอาชีวิตไม่รอด นอนนิ่งไม่ไหวติง หากไม่ใช่ที่อกยังพองขึ้นลงยามหายใจ คนก็คงคิดว่าเขาตายไปแล้ว
หลังจากพ้นการต่อสู้เอาชีวิตรอดมาแล้ว ทุกคนก็เข้ามาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ๆ ไม่มีกะใจจะสู้กันเองอีกต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการเอาชีวิตรอดไปให้ได้
อากาศภายในนั้นพลันกลายเป็นกดดันหายใจลำบาก
“ประมุขน้อย ทำอย่างไรต่อดี?”
สตรีที่มีผมยาวแฉลบปิดตาข้างหนึ่งไว้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
ชิงเยี่ยหลียืนพิงอยู่ที่มุมไม่เอ่ยคำ นัยน์ตาทะมึนมองประเมินไปยังรอบข้าง ดูราวกับกำลังคิดหาทางออกไปจากที่นี่
เด็กน้อยหน้าตาน่ารักเบิกตากว้างก่อนดันกำแพงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แตะนั่นนี่ไปทั่ว เคาะตรงนั้นทีตรงนี้ที ราวกับกำลังหาว่ามีปุ่มลับอะไรอยู่หรือไม่
โร่วโร่วเองก็โผล่หัวเล็ก ๆ ออกมาจากภายในอกโหลวจวินเหยา ย่นจมูกทำเสียงฟุดฟิดไปมา
“ว่าอย่างไรโร่วโร่ว? รู้หรือไม่ว่าจะออกไปอย่างไร?” ชิงเป่ยถามเจ้าตัวเล็กเมื่อเห็นเจ้าก้อนน้อยมีท่าทางสงบนิ่งใจเย็นนัก
ทว่าโร่วโร่วเพียงแต่ใช้นัยน์ตาสีฟ้าเข้มมองไปรอบตัว ก่อนจะหดหัวลงหน้าเศร้า แล้วเอ่ยเสียงสลดออกมา “ข้าหิว”
ชิงเป่ยที่สีหน้ามีความหวังได้ยินเช่นนั้นแล้ว มุมปากก็กระตุกยิก รู้สึกจนใจยามเอ่ยคำ “โร่วโร่ว ตอนนี้สถานการณ์เรากำลังวิกฤติ อดทนสักนิดไม่ได้หรือ? รอพวกเราพ้นภัยไปก่อน ช่วยท่านแม่ชิงอวี่ของเจ้าได้แล้วค่อยกินไม่ได้หรือ? ถึงตอนนั้นจะกินเท่าไหร่ก็ย่อมได้”
เจ้าตัวเล็กนี่จะไม่เลิกนิสัยตะกละเลยใช่หรือไม่!?
อีกทั้งถึงมันจะหิวมาก ๆ แต่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้กินใช่ไหมเล่า!?
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะออกไปได้หรือไม่…..
“แต่หากข้าหิว ข้าก็หาทางออกไม่ได้ จมูกข้าจะทำงานได้ไม่เต็มที่” โร่วโร่วว่าเสียงเศร้าพลางก้มหน้าลง
สิ้นคำมัน สวินลั่วก็หัวเราะออกมา “ใช่แน่หรือ? เจ้าตัวเล็กเช่นเจ้ามีความสามารถวิเศษขนาดนั้นเชียว? แต่พอหิวเลยใช้การไม่ได้?”
“หึ! ก็ต้องเรื่องจริงสิ! เอาอสูรวิญญาณธรรมดามาเทียบกับข้าไม่ได้หรอกนะ!” โร่วโร่วเอ่ยเสียงขุ่นพลางตวัดตามองเขา
“เช่นนั้นปัญหาก็คือ” สวินลั่วว่าพลางแบมือ “แม้พวกเราทุกคนจะมีของเก็บไว้ในมิติส่วนตัว แต่คนที่บำเพ็ญถึงขั้นพวกเราสามารถอดข้าวน้ำได้นาน ดังนั้นจึงไม่ได้มีนิสัยพกอาหารติดตัวมาด้วยน่ะสิ!”
โร่วโร่วได้ยินแล้วก็เบิกตากว้างไม่อยากเชื่อ
ไม่มีของกินจริง ๆ หรือ!?
ท่านแม่เก็บของกินมากมายไว้กับตัว ให้มันอยู่ในมิติส่วนตัวของนางทั้งปีไม่ออกมาเลยก็ยังอยู่ได้
แล้วทำไมคนที่นี่….. ถึงไม่ได้มีนิสัยดีเช่นท่านแม่เล่า?
โร่วโร่วกำลังผิดหวังอย่างรุนแรง พลันมีน้ำเสียงรื่นหูของชายคนหนึ่งดังขึ้น “เจ้าตัวเล็ก มานี่มา ข้ามีของให้เจ้ากิน”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแล้ว ทุกคนจึงหันไปมอง โดยเพราะคนในกลุ่มโหลวจวินเหยา
สุดท้ายเมื่อมองไปทางต้นเสียง ก็เห็นว่าเป็นเงาร่างที่อยู่อยู่ตรงมุม ผมเงินตาเขียว ใบหน้างดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด ชายหนุ่มที่มีนามว่าชิงเยี่ยหลี
เขาค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งยอง สบตาเข้ากับนัยน์ตาระแวดระวังและแคลงใจของอสูรวิญญาณตัวจ้อย ที่มุมปากพลันเกิดเส้นโค้งขึ้นน้อย ๆ