บทที่ 309 ช่วยตนเองสำเร็จ
บทที่ 309 ช่วยตนเองสำเร็จ

“เมื่อครั้งเสี่ยวอวี่กับข้าออกเดินทางฝึกฝนด้วยกัน มีตอนที่พวกเราติดอยู่ในสถานที่หนึ่งแล้วออกมาไม่ได้”

ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงสงบปลอบประโลมจิต นิ้วเรียวยาววาดผ่านอากาศ เกิดเป็นตะกร้างดงามชิ้นหนึ่ง เต็มไปด้วยอาหารน่ากินมากมาย ทั้งยังมีขนมอร่อยอยู่ภายใน แล้วยังมีอาหารแห้งเพิ่มเติมเล็กน้อยด้วย

จากนั้นเขาเหมือนนึกเรื่องน่าสนใจได้ ด้วยรอยยิ้มบางระบายอยู่บนใบหน้าเย็นชายามเอ่ยคำ

“ครั้งหนึ่งข้าติดอยู่ในที่แห่งหนึ่งหลายวัน หิวจนเวียนหัวไปหมด ข้าจึงเรียนรู้จากครั้งนั้นว่าต่อไปออกมาข้างนอกต้องเตรียมของกินเอาไว้ตลอด เผื่อว่าจะเจอสถานการณ์เช่นนั้น”

แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่จริง ๆ แล้วที่เขามีนิสัยเช่นนั้นมานานหลายปีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อชิงอวี่ต่างหาก

ชิงเทียนหลินยืนอยู่อีกฟากหรี่ตาลง หึ! มันอวดงั้นหรือว่าสนิทสนมกับชิงชิงเพียงไหน?

ตาสีม่วงของโหลวจวินเหยาเองก็เป็นประกาย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ในใจได้จดจำไว้แล้ว ชายผู้นั้นยังไม่ยอมแพ้จนถึงตอนนี้ ใจยังคงคิดถึงจิ้งจอกน้อยบางตัวอยู่ตลอด

ดูท่าหลังเรื่องจบ คงจะต้องเตรียมการบางอย่างแล้ว

เพราะหากเขาไม่ทำเครื่องหมายแม่นางน้อยผู้งดงามไว้ ไม่รู้ว่าจะดึงดูดแมลงมาดอมดมได้อีกสักกี่ตัว

เจ้าอสูรวิญญาณที่ทำท่าจะตายหากไม่ได้กินอย่างโร่วโร่วไม่คิดมากเหมือนเช่นที่มนุษย์คิดให้ซับซ้อน เพียงแต่ตาเป็นประกายเจิดจ้า จ้องอาหารตรงหน้าตาไม่กะพริบ ไม่ต้องกล่าวว่าท่าทางมันน่ารักถึงเพียงไหน

ชิงเป่ยเห็นแล้วจึงอดยื่นมือไปลูบหัวน้อย ๆ นั่นไม่ได้ “โร่วโร่ว เขาเป็นสหายของท่านพี่ เป็นพวกเดียวกับเรา เจ้าวางใจแล้วกินเถอะ”

ไม่ว่าตอนนี้ชิงเยี่ยหลีจะมีตัวตนอะไร อย่างไรก็เป็นคนที่เขาชื่นชมตลอดมา และชิงเป่ยก็เคยสาบานว่าสักวันต้องแข็งแกร่งให้ได้เช่นเขา

ดังนั้นชิงเป่ยจึงยังมองเขาในแง่ดีอยู่มาก

ชิงเยี่ยหลีเหมือนจะยินดีกับคำว่า ‘พวกเดียวกับเรา’ จึงมีสีหน้าอบอุ่นขึ้นอีกยามพยักหน้าให้ชิงเป่ย

ได้ยินคำอนุญาตจากชิงเป่ยแล้ว โร่วโร่วจึงคลายความกังวล อุ้งเท้าเล็กทั้งสองคว้าอาหารในตะกร้ามาเขมือบลงท้อง สองแก้มตุงไปด้วยอาหาร ยิ่งทำให้หัวน้อยกลมเสียยิ่งกว่าเก่า

ภายในพื้นที่เงียบสนิท มีเพียงเสียงเคี้ยวหงับ ๆ ของเจ้าอสูรน้อยดังให้ได้ยินยามกำลังเขมือบอาหารอันโอชะ

ชั่วอึดใจเดียว อาหารในตะกร้าก็หมดเกลี้ยง ไม่รู้ว่ายัดลงไปในท้องเล็ก ๆ นั่นได้อย่างไร

“อิ่มหรือยังเจ้าตัวเล็ก? คงได้เวลาหาทางออกกันแล้วกระมัง?”

เห็นว่าเจ้าตัวเล็กหยุดกินแล้ว สวินลั่วจึงคลี่ยิ้มแล้วถามขึ้นเสียงดัง

ดวงตากลมโตใสซื่อของโร่วโร่วมองไปรอบกาย เห็นว่าทุกคนมองตอบกลับมาด้วยสายตาวาดหวัง มันสะบัดร่างเล็กเอาเศษอาหารออก ก้าวสองสามก้าวไปยังทิศทางหนึ่งเรื่อย ๆ สูดดมเพียงคร่าว ๆ ก่อนร่างเล็กจะพุ่งออกไปราวกับศรถูกยิง

ภายในสถานที่มืดสลัวเช่นนั้น เจ้าอสูรน้อยเงื้ออุ้งเท้าทั้งสองขึ้นสูง จากนั้นราวกับมันปล่อยแสงวาบดูเย็นเฉียบออกมา และเมื่อแสงจ้านั่นผ่านไป ก็เกิดเสียงดังคลิกขึ้นสองครั้ง ปรากฏลายขวางขึ้นบนกำแพง จากนั้นมันก็ทลายลงไป

ทุกคนเห็นแล้วก็อึ้งไป

เจ้าอสูรน้อยตัวไม่ได้ใหญ่กว่าฝ่ามือพวกเขาเลย นั่งทำให้คนทั้งหลายมองมันว่าเก่งกาจขึ้นมาก

เจ้าตัวเล็กนี่….. เป็นสัตว์ประหลาดพันธุ์ใดกันแน่?

พวกเขามีคนตั้งมาก แต่กลับไม่มีใครหาทางออกไปจากสถานที่บัดซบนี่ได้เลย ทว่าอสูรน้อยนี่กลับสะบัดอุ้งมือเล็กเพียงนิด….. ก็จบปัญหาได้แล้วหรือ??

อุ้งมือนั่นทำจากอะไรกัน!?

“พวกเจ้ายังยืนอึ้งอะไรอยู่เล่า? จะรีบออกไปไม่ใช่หรือไร?” โร่วโร่วถามด้วยนัยน์ตาฉงน ก่อนร่างเล็กจะเดินนำออกไปก่อน

ทุกคนเหมือนตั้งสติได้ รีบเดินตามออกไปเช่นกัน

ชิงเป่ยเดินรั้งหลังสุด จนถึงตอนนี้เขายังมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ เจ้าตัวเล็กนั่นอยู่ข้างกายชิงอวี่มาระยะหนึ่งแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่ามันมีความสามารถแกร่งเช่นนี้

อาจเพราะเจ้าตัวเล็กมักทำท่าเซื่อง ๆ น่ารักและเชื่อฟังกับชิงอวี่อยู่ตลอด เขาเลยเข้าใจผิดว่ามันเป็นเพียงอสูรวิญญาณธรรมดา

คมในฝักจริง!

ตอนนี้ออกมาจากสถานที่ปิดน่าอึดอัดนั่นได้แล้วก็ทำให้เรื่องบางอย่างง่ายขึ้นมาก

อาทิเช่น ชิงเป่ยในตอนนี้ใช้สัมผัสเหนือธรรมชาติเพื่อหาสถานที่ที่ท่านแม่และชิงอวี่ถูกซ่อนไว้ได้แล้ว

แต่เพิ่งจะเริ่มใช้ก็เกิดบางอย่างขึ้น ทำให้หน้าเขาถึงกับเปลี่ยนสี

“เป็นอะไรไป?” โหลวจวินเหยาถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยน

ชิงเป่ยเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงขื่นขึ้น “กลิ่นอายท่านแม่หายไปแล้ว และข้า….. ก็ไม่อาจหาสถานที่อยู่ของชิงอวี่ได้แล้ว”

“หรือความสามารถในการรับรู้ของเจ้าจะเป็นอะไรไป?”

ชิงเป่ยมุ่นคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่ามีบางอย่างที่ขัดขวางสัมผัสข้าได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อาจจับสัมผัสกลิ่นอายนางแม้สักนิดได้เช่นนี้ พวกนางต้องยังอยู่ที่นี่แน่ เกรงว่าสิ่งรบกวนในสถานที่ที่พวกนางถูกขังเอาไว้จะอยู่เหนือความสามารถของข้า”

“บนยอดเขาใจสงบย่อมมีสถานที่เช่นนั้นแน่ สถานที่ที่เจ้าไม่อาจจับสัมผัสสิ่งมีชีวิตใด ๆ ภายในได้ นั่นก็เพราะมันมีเกราะชั้นดีปกคลุมพื้นที่รอบนอกเอาไว้ แยกมันจากพลังต่าง ๆ ทั้งหมดทั้งมวล”

ปีศาจน้อยเอ่ยเสียงไม่แยแสออกมา

แต่น้ำเสียงเรียบ ๆ นั่นกลับดึงความสนใจจากทุกคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ดูท่าคนผู้นี้จะล่วงรู้สิ่งต่าง ๆ บนยอดเขาใจสงบมากมายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ราวกับเคยไปมาก็มิปาน

หากไม่รู้ว่ามาจากแคว้นมาร ก็คงสงสัยแล้วว่าอาจเป็นสายลับของยอดเขาใจสงบหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แผนการของเขาก็ช่วยทุกคนไว้ ทั้งเขายังเป็นกุนซือหลักในกลุ่มคนแคว้นมาร คนที่ได้รับความโปรดปรานจากโหลวจวินเหยาที่มองทุกอย่างต่ำเตี้ยกว่าตนเองได้ คนอย่างปีศาจน้อยย่อมไม่ธรรมดาแน่

ได้ยินปีศาจน้อยว่าแล้วก็คงจะเป็นเช่นนั้น โหลวจวินเหยาหันไปมองโร่วโร่วที่หยุดเดินอยู่ไม่ไกลเท้าเขาเท่าไหร่ จากนั้นถามเจ้าตัวเล็กขึ้น “ว่าอย่างไรเจ้าตัวเล็ก? รู้หรือไม่ว่าพวกเราควรไปทางใดต่อ…..”

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็พบสาเหตุที่ทำให้เจ้าอสูรน้อยหยุดเดินไป

เบื้องหน้าพวกเขามีหิมะโปรยปรายเต็มไปหมดทุกที่ ทั่วพื้นดินมีแท่งน้ำแข็งแหลมอยู่เกลื่อน เป็นภาพที่เละเทะไม่น้อย ราวกับเพิ่งจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นที่นี่

โร่วโร่วกำลังเผยความสับสนบนใบหน้าอย่างเห็นได้ยาก มันเอียงคอแล้วพึมพำขึ้นมา “เพิ่งมีหิมะถล่มที่นี่ ฝังกลบเส้นทางไปจนหมด ข้าจำได้ว่าข้าออกมาหาพวกเจ้าผ่านทางนี้ แต่ตอนนี้ข้าหาทางไปต่อไม่ได้เพราะไม่เหลือเส้นทางแล้ว”

“แล้วก็ต้องมาหิมะถล่มตอนนี้เสียด้วย…..” ตาสีแดงของปีศาจน้อยหรี่ลงยามเอ่ยคำ สีหน้าดูครุ่นคิดลึกล้ำ

เมื่อหนทางถูกปิดไว้เช่นนี้ ไม่เห็นทางใดให้ไปต่อ ทุกคนจึงพบกับสถานการณ์ยากลำบากอีกหน ท้องฟ้าค่อย ๆ สลัวลงแล้ว อันเป็นเครื่องหมายบอกว่ายามค่ำคืนกำลังจะมาถึง

ชิงอวี่ไม่รู้ว่านางอยู่ในคุกนี่มานานแค่ไหนแล้ว เพราะนางมองไม่เห็นแสงด้านนอกเลย

พอลืมตามาอีกครึ่งหนึ่ง นางก็รู้สึกว่าพลังในร่างเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่งอีกแล้ว

อย่างที่เหลียนซือว่าไว้ น้ำในบ่อนี่ไม่เป็นอันตรายสักนิด ทั้งยังเสริมพลังนางอีกต่างหาก ก่อนหน้าวิชาฝังวิญญาณของนางอยู่ขั้น 7 กระโจนคราเดียวนางพุ่งไปถึงขีดสุดขั้น 8 แล้ว สูงกว่าขั้นที่นางเคยมีเมื่อชาติก่อนเสียอีก ตัวนางเองยังสัมผัสได้ถึงสัญญาณราง ๆ ว่านางเกือบจะทะลวงไปขั้น 9 แล้วด้วย

แต่นางรู้ดีว่าจะทะลวงไปถึงขั้น 9 นั้นไม่ง่าย ไม่เช่นนั้นก่อนตายเมื่อชาติก่อนนางคงไม่ได้อยู่เพียงขั้น 8 ระดับกลางเป็นแน่ หากจะทะลวงขั้นสูงกว่านั้นคงต้องมีข้อต้องการและความยากลำบากมากขึ้นแน่

เมื่อนางทะลวงถึงขั้น 9 แล้ว สถานที่นี้ก็คงรั้งนางไม่อยู่อีก

แต่แม้จะสัมผัสได้ว่าพลังบำเพ็ญแกร่งขึ้นทีละน้อย แต่นางกลับไม่อาจเป็นอิสระจากเจ้าสิ่งที่ข้อเท้าได้ นับเป็นครั้งแรกที่นางถูกพรากเอาอิสระไปเช่นนี้ ทั้งยังติดอยู่ในสถานที่คับแคบไร้ที่ให้เคลื่อนกายอีก นางจนใจเหลือเกิน

อุณหภูมิบนยอดเขาใจสงบนั้นโหดร้ายนัก หนาวเหน็บเสียจนรู้สึกถึงกระดูกทีเดียว

ลมหนาวหอบหนึ่งพัดผ่านหน้าต่างบานเล็กบนจุดสูงสุดจุดหนึ่งในคุก ทำให้อากาศยิ่งหนาวเหน็บอีกทีละนิด ใบไม้รูปเข็มสีขาวใบบางหลายใบปลิวผ่านหน้าต่างเข้ามา ก่อนจะร่วงลงในบ่อ ลอยอยู่บนผิวน้ำเงียบ ๆ

ชิงอวี่ยื่นมือไปหยิบใบไม้ขึ้นมามองด้วยความฉงน มันมาจากต้นอะไรกัน? นางไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

ในฐานะนักปรุงยาฝีมือดี นางย่อมรู้จักกับพืชพันธุ์และสมุนไพรต่าง ๆ มากมาย นับเป็นข้อกำหนดพื้นฐานอย่างหนึ่งก็ว่าได้

สมุนไพรหลายชนิดก็มีความเหมือนกันในหลายด้าน หากเลินเล่อเพียงนิดก็อาจจำผิดพลาดได้

แต่ใบไม้เช่นนี้นั้นมีเอกลักษณ์มาก ไม่เช่นนั้นก็จนถึงวันนี้ นางยังไม่เคยเห็นว่ามีต้นไม้อะไรมีใบเช่นนี้มาก่อนเลย

ใบรูปเข็มบาง ๆ เช่นนี้ พอมองดูดี ๆ แล้วยังเห็นว่าที่ใบมีขอบหยักด้วย

ชิงอวี่ลองและขอบหยักนั่นเบา ๆ สุดท้ายก็ถูกมันทิ่ม เลือดสีแดงผุดออกจากปลายนิ้วทันที มันหยดลงบ่อแล้วหายไปจากสายตา

นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจราวกับไม่คิดว่าใบไม้นิ่ม ๆ บาง ๆ เช่นมันจะบาดผิวนางได้

หลังจากใบไม้ทิ่มนิ้วนางและเปรอะเลือดนางแล้ว ใบไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็กลายเป็นสีเลือด เนื้อเนียนนุ่มของมันกลายเป็นแข็งราวกับเหล็กกล้า

ใบไม้ในมือชิงอวี่ไม่เหมือนกับใบไม้ธรรมดาอีกต่อไป หากแต่เป็นใบมีดที่บางราวกับปีกจักจั่น

ไม่รู้ทำไม นางราวกับถูกสิง นางค่อย ๆ ย่อร่างจมลงไปในน้ำแล้วเอื้อมแตะกระดูกแถวข้อเท้าตนเอง ก่อนจะเอื้อมมือเอาใบไม้ดั่งมีดนั่นลองเฉือนห่วงข้อเท้าดู

พริบตานั้น ก็เหมือนกับความคิดที่ดูเป็นไปไม่ได้ของนาง เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น นางรู้สึกว่าความรู้สึกหนัก ๆ ที่ตรึงข้อเท้านางไว้พลันหายไป

นางหลุดออกมาได้แล้ว!

ชิงอวี่ใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ น้ำกระเซ็นคราหนึ่ง นางก็ว่ายท่าปราดเปรียวมาถึงขอบบ่อแล้วปีนขึ้นมาจากบ่อนั่น

ที่ประตูคุกมีปุ่มลับอยู่ ทุกครั้งที่เหลียนซือเข้ามา นางเห็นเขาทำให้ดูอยู่หลายครั้ง นางจึงรู้ดี

เหลียนซือมั่นใจมากว่านางจะไม่อาจหนีออกไปจากที่นี่ได้ จึงไม่คิดปิดบังสิ่งใดเลย