บทที่ 282 ผู้ดูแลโจ๋ โจ๋จุนชิง
ประตูหน้าตำหนักเทพธิดา รถม้าสีแดงที่ดูเหมือนจะติดป้ายสัญลักษณ์รถนั่งประจำตำแหน่งของเทพธิดา กำลังเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ โดยมีจื่อเฟิง ผู้มีใบหน้าเป็นอัมพาตเป็นคนขับ จื่อซีที่นั่งอยู่ด้านข้าง แอบมองผ่านม่านด้วยสีหน้าแปลกใจ รู้สึกงงงวยอยู่ครู่ใหญ่
เหตุใดคุณหนูจึงมาอยู่กับท่านอ๋องเย่ได้ล่ะนี่?
ภายในรถม้า!
หลานเยาเยาที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเรียบร้อยแล้ว ใช้มือข้างหนึ่ง รองท้ายทอยสบายๆ เอนตัวไปพิงข้างตัวรถด้านหนึ่งอย่างเกียจคร้าน มืออีกข้างวางไว้บนต้นขา นิ้วมือทั้งห้าเคาะเล่นไปมาเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจ
เย่แจ๋หยิ่งที่นั่งอยู่กันตรงข้ามกับนาง ยังคงนั่งหลับตาพักผ่อน
เมื่อออกมาจากห้องของเย่แจ๋หยิ่ง ทั้งสองกินอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ จึงขึ้นรถม้าเดินทางทันที
ระหว่างช่วงเวลานั้น ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นางรับปากว่าจะไปกับเขาที่เรือแห่งความสิ้นหวัง ไม่ว่านางจะเดินไปที่ไหน เย่แจ๋หยิ่งก็จะคอยตามติดไปที่นั่นด้วยไม่ห่าง
เธอกินข้าวเช้า ไม่ต้องชวนเขา เขาก็โดดเข้ามาร่วมโต๊ะกินเองเฉย
นางขึ้นรถม้า เขาไม่ได้รับเชิญก็ขึ้นไปเองอีก
สรุปง่ายๆอีกก็คือ!
กินฟรีดื่มฟรี อยู่ฟรีเดินทางฟรี ตราบเท่าที่อะไรที่มันฟรีได้ เขาล้วนได้ฟรีๆไปหมดแล้ว
หลานเยาเยาจนใจอย่างยิ่ง แต่นางก็คร้านจะพูดอะไร ถึงอย่างไรนางก็กำลังจะไปที่เรือแห่งความสิ้นหวังเพื่อทำธุระบางอย่างอยู่แล้ว อย่างไรก็ถือโอกาสถามให้แน่ชัด ถึงจุดประสงค์ของเย่แจ๋หยิ่ง ว่าจะไปทำอะไรที่เรือแห่งความสิ้นหวังกันแน่?
ระหว่างทาง.
เดิมทีตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ เหล่าผู้คนล้วนพูดถึงรูปโฉมความงาม และทักษะการยิงธนูของนางว่าช่างยอดเยี่ยมโดดเด่นเพียงใด แต่มาตอนนี้ กลับกลายเป็นเรื่องข่าวลือซุบซิบเกี่ยวกับอ๋องเย่ ที่เข้ามาอยู่ในจวนของเทพธิดาไปแทนเสียแล้ว
อีกทั้งความคิดเห็นสาธารณะเช่นนี้ ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียด้วย
แต่ทว่า!
หลานเยาเยา ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย
พวกเขาอยากจะพูดอะไร ก็ให้เขาพูดกันไปตามนั้นเถอะ! สรุปแล้ว นี่ถือเป็นการช่วยทางอ้อมไม่ใช่หรือ?
ฮ่องเต้และเหล่าผู้มีอิทธิพลอื่นๆ หากได้ฟังความคิดเห็นสาธารณะเช่นนี้ จะไม่รู้สึกร้อนใจกันแทบแย่แล้วกระมัง?
ในสายตาของพวกเขา นางเป็นคนที่แข็งแกร่ง ยิ่งเย่แจ๋หยิ่งก็ยิ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่า
หากผู้ที่แข็งแกร่งมารวมพลังกัน จะไม่เท่ากับทำเอาประเทศก่วงส้า พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินไปเลยหรอกหรือ?
ดังนั้น ……
พวกเขาจะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งเป็นแน่
นางมีอะไรต้องไปสนใจกันล่ะ?
เมื่อมาถึงยังเรือแห่งความสิ้นหวัง
เนื่องจากยังเช้าอยู่ คนที่สัญจรไปมาที่เรือแห่งความสิ้นหวังจึงมีไม่มากนัก แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง เดิมทีคนที่ทำหน้าที่ต้อนรับประจำเรือ คือป่ายเม่ยเซิง หลังจากที่ถูกนางขุดรากถอนโคน โยนออกไปแล้ว จึงเปลี่ยนผู้ต้อนรับคนใหม่มาแทน
เกือบทุกคนในเรือแห่งความสิ้นหวัง ล้วนต้องสวมหน้ากาก นางเองก็มีหน้ากากที่เป็นหน้ากากเฉพาะผู้ดูแล
แม้ว่าคนที่มาใหม่ จะสวมหน้ากากอยู่ก็จริง แต่หน้ากากที่สวมนั้น ไม่ใช่หน้ากากเฉพาะผู้ดูแล แต่อยู่ต่ำกว่าไปหนึ่งระดับ
หลานเยาเยามองออกว่าคนคนนั้น ดูมีปราณชั่วร้ายอยู่หลายส่วน อีกทั้งสีหน้า การแสดงออกของเขาก็จริงจังและดูมืดมนไม่น้อย
ลักษณะของการทำงาน ก็ดูแล้วคงเป็นคนประเภทที่ ไม่ยอมปล่อยผ่านผู้หญิงคนอื่นใดก็ตาม ที่ปลอมตัวแต่งกายเป็นผู้ชาย หรือไม่ก็พวกคนที่น่าระแวงสงสัยเหล่านั้น
รอจนกระทั่งนางและเย่แจ๋หยิ่งขึ้นเรือ
คนที่ทำหน้าที่ต้อนรับประจำเรือ จึงจ้องมาที่นางทันที แต่เขายังไม่ได้พูดอะไร ชายในชุดสีน้ำเงินก็เดินตรงเข้ามาเสียก่อน
“ผู้ดูแลโจ๋”
ผู้ต้อนรับเรือประสานมือคำนับไปที่ชายชุดสีน้ำเงิน
ชายในชุดสีน้ำเงินมีชื่อว่าโจ๋จุนชิง เป็นหนึ่งในสามผู้ดูแล ของเรือแห่งความสิ้นหวังร่วมกับซาหมั่นเฉิงและป่ายเม่ยเซิง นับตั้งแต่นางเข้าร่วมเรือแห่งความสิ้นหวัง นางจึงถูกนับให้เป็นผู้ดูแลอันดับสี่
หน้าที่ของนางคือ ดูแลในเรื่องการรักษาและพิษทุกชนิด นับตั้งแต่ที่นางรับหน้าที่ มีผู้คนมากมาย ดาเข้ามาท้าทายนางจนนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยมีใคร ที่สามารถเอาชนะนางได้
แต่ทว่านางไม่เคยเปิดเผยใบหน้ามาก่อน
ในเรือแห่งความสิ้นหวังนี้ คนที่รู้ใบหน้าที่แท้จริงของนาง นอกจากหานแสแล้ว ก็มีซาหมั่นเฉิง ป่ายเม่ยเซิง และโจ๋จุนชิง ซึ่งชายในชุดสีน้ำเงินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
“เจ้าของเรือกำลังตามหาเจ้าอยู่น่ะ” โจ๋จุนชิงหันไปกล่าวกับผู้ต้อนรับประจำเรือ
“เช่นนั้น แล้วทางนี้….. ” ผู้ต้อนรับประจำเรือ ชำเลืองมองหลานเยาเยา
“ข้าจะรับหน้าที่ดูแลแทนเจ้าให้เอง”
“ขอบพระคุณขอรับผู้ดูแลโจ๋”
ผู้ดูแลโจ๋ มีชื่อเสียงในด้านความจริงจังรอบคอบ มีเขามาช่วยเฝ้าดูให้เช่นนี้ ย่อมไม่ปล่อยให้คนที่น่าสงสัยบางพวก ผ่านไปได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงจากไปอย่างไร้กังวล
ทันทีที่คนนั้นจากไป โจ๋จุนชิงก็ไปยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ต้อนรับประจำเรือ แล้วจึงยื่นมือออกไปหาหลานเยาเยา:
“เอาเอกสารขึ้นเรือให้ข้า”
เอกสารขึ้นเรือจะเหมือนกับตั๋วเรือ จำเป็นต้องมีมัน ถึงจะสามารถขึ้นเรือได้
เอ่อ……
ดูเหมือนว่า นางจะลืมซื้อเอกสารขึ้นเรือเสียแล้ว แต่ในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของนางนั้นมีอยู่ เพียงแต่วันที่เหล่านั้นล้วนหมดอายุไปแล้ว
แต่ทว่า……
“ เอ้า! เอาไป”
หลานเยาเยาล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบเอกสารขึ้นเรือที่หมดอายุ ออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ยังไงก็เป็นคนกันเอง ขอแค่ไม่ประเจิดประเจ้อจนเกินไปนัก ก็น่าจะพอไหวล่ะน่า
ผลเป็นดังที่คาดจริงๆ!
โจ๋จุนชิงรับเอาเอกสารขึ้นเรือมา ปรายตามองเพียงครู่เดียว ก็ปล่อยให้นางขึ้นเรือไป
ที่ด้านหลังของนาง เดิมทีเย่แจ๋หยิ่ง ได้นำเอกสารขึ้นเรือสองแผ่นออกมาเตรียมไว้แล้ว หลังจากที่เห็นว่านางขึ้นเรือไป แววตาของเขาก็หม่นแสงลงอย่างห้ามไม่อยู่
จากนั้นเขาจึงเก็บเอกสารใบหนึ่งกลับเข้าไป แล้วเดินตามขึ้นไปบนเรือ
ในขณะที่เดินผ่านโจ๋จุนชิง เย่แจ๋หยิ่งปรายตามองเอกสารขึ้นเรือในมือโจ๋จุนชิง แต่ยังไม่ทันดูให้ละเอียดดี เอกสารการขึ้นเรือ ก็ถูกโจ๋จุนชิงเก็บเข้าไปในแขนเสื้อเรียบร้อย
“อ๋องเย่ โปรดนำเอกสารการขึ้นเรือออกมาให้ข้า”
เย่แจ๋หยิ่งโบกสะบัดมือเรียวยาวของเขาอย่างสบายๆ เอกสารขึ้นเรือก็หล่นปุ๊ ลงไปในมือของโจ๋จุนชิงอย่างพอดิบพอดี
จากนั้นเขาก็ส่งเสียง”ฮึ”เย็น ๆเสียงหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปข้างใน
บนดาดฟ้า หลานเยาเยามองดูเรือแห่งความสิ้นหวัง ที่ดูคล้ายภัตตาคารขนาดใหญ่ เอ่ยขึ้นอย่างเฉยชาว่า:
“อ๋องเย่อยากเข้าเล่นในห้องส่วนตัวห้องไหนล่ะ?”
“ห้องกำลังภายในขั้นสุดยอด!”
บนเรือแห่งความสิ้นหวัง ห้องส่วนตัวแต่ละห้อง จะมีป้ายแสดงอยู่ที่ประตู โดยแต่ละป้ายจะมีคำที่แตกต่างกันเขียนอยู่ และเนื้อหาของคำนั้นสอดคล้องกับเนื้อหาของการทดสอบ
กล่าวคือ การต่อสู้ศิลปะบนเตียงเปรียบได้กับ วิชาต่อสู้ศิลปะบนเตียง และกำลังภายในขั้นสุดยอด นั่นก็คือการเปรียบเทียบกำลังภายใน
นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบแข่งขันต่างๆ อีกมากมายหลายชนิด
หากจะยกตัวอย่าง การเปรียบฝีมือกันในรูปแบบที่สมัครสมานสามัคคี ปรองดองกลมเกลียวกันหน่อยก็เช่น อาหารรสเลิศ การรักษาพิษ ความรู้ความสามารถทั่วไป และอื่น ๆ
แม้ว่าจะกลมเกลียวกันแค่ไหน แต่ผลสุดท้าย ทุกการแข่งขันก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายทั้งสิ้น
แต่ในด้านที่โหดร้ายกว่านั้น ก็เป็นอะไรที่โหดร้ายจริงๆ เช่น การพนันชีวิต
ในห้องส่วนตัวของการพนันชีวิต สิ่งที่ใช้พนันไม่ใช่เงิน แต่เป็นชีวิตคน สามารถเดิมพันด้วยชีวิตของผู้อื่น หรือชีวิตของตนเองก็ได้ทั้งสิ้น
ผู้ที่แพ้การพนัน จะยึดตามจำนวนที่แพ้ว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ แล้วจึงใช้มีดกรีดเฉือนผู้พนันนั้นไปจนกว่าชีวิตจะดับดิ้น มิฉะนั้นการพนันจะไม่อาจจบลงได้
เพียงแต่……
เย่แจ๋หยิ่งกำลังจะไปห้องกำลังภายในขั้นสุดยอด เพื่อเปรียบกำลังภายในหรือ?
ห้องกำลังภายในขั้นสุดยอด
ด้านในมีผู้ชายตัวใหญ่ ทั่วร่างกายทั้งบนล่าง ล้วนเต็มไปด้วยกล้ามใหญ่โตเป็นมัดๆ ผู้โจ้เจิ้ง (คนที่ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์) ที่อยู่ในห้อง เป็นชายวัยกลางคนตัวผอมแห้งคนหนึ่ง
พวกเขากำลังประชันกำลังภายในกัน
อย่างไรก็ตาม
ชายร่างใหญ่คิดว่า เขามีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเป็นสองเท่าของผู้โจ้เจิ้งคนนั้น อีกทั้งกำลังภายในของเขาก็ไม่เลว จึงคิดว่า ตัวเองจะชนะได้อย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่
น่าเสียดาย……
เพิ่งจะถึงรอบที่สอง ชายร่างใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก
เขามองดูผู้โจ้เจิ้งที่ดูไม่เหน็ดไม่เหนื่อย หน้าไม่เปลี่ยนสี ทั้งยังมองเขาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า จึงตัดสินใจทันที
ผลคือ!
เขาจ้องมองไปที่เหล่าผู้ชมที่อยู่โดยรอบอย่างหยิ่งผยอง แล้วมองไปยังผู้โจ้เจิ้ง ที่กำลังเตรียมตัวสำหรับการประลองรอบที่สามด้วยสีหน้ายโส ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
เมื่อดูจากท่าทางแล้ว
ทุกคนรู้สึกว่าชายร่างใหญ่ยังมีไม้เด็ดซ่อนอยู่
ในรอบแรกเขาแพ้แล้ว ในรอบที่สองเขาได้รับบาดเจ็บ กำลังภายในกระทบกระเทือนหนัก แต่ยังเสมอกันมาได้ ในรอบที่สาม เขาจะต้องมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แน่นอน
ใครจะรู้ว่า…..
เพียงได้ยินเสียงดัง “พลั่ก” ชายร่างใหญ่ก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ในลักษณะอวัยวะห้าส่วนโถมลงพื้น หมอบราบลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์เลยทีเดียว
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหัวใจ มืออีกข้างทิ้งลงข้างลำตัว
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที
มีเสียงดัง “แคว่ก” ดังตามมา ก็ได้เห็นชายร่างใหญ่ กำลังยกผ้าขาวขึ้นต่อหน้าธารกำนัล
“ข้า…ยอมแพ้!”
ชั่วขณะนั้น ทุกคนล้วนตกตะลึง อึ้งกันจนตาค้าง.