บทที่ 283 ไม่ต้องเกรงใจ จัดการเขาเลย

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 283 ไม่ต้องเกรงใจ จัดการเขาเลย

แต่อย่างไรก็ตาม

ในเรือแห่งความสิ้นหวัง ไม่มีคำว่ายอมแพ้สองคำนี้

แต่ชายร่างใหญ่ให้ตาย ก็ไม่ยอมประลองต่อรอบสามแล้ว

เขาเลือกร้องขอความเมตตา: “ท่านวีรบุรุษ ละเว้นข้าเถอะ ข้ายอมแพ้แล้ว”

“ ไม่ได้ !”

ผู้โจ้เจิ้งที่รับผิดชอบมีนิสัยเฉียบขาดอย่างมาก

ร้องขอความเมตตาไม่ได้ผล ชายร่างใหญ่จึงทำเสียงเล็กเสียงน้อย ออดอ้อนออเซาะฉอเลาะว่า:

“เห็นแก่ความสวยน่ารักของคนเค้าหน่อยจิ พวกเราไม่ประลองกันแล้วเถอะนะ! ดีมั้ยอ่ะ พี่ชาย!”

ดูมันทำ!

ไม่ต้องพูดถึงผู้โจ้เจิ้ง คนดูที่อยู่รอบๆ ต่างก็ถูกความน่าคลื่นไส้นี้ โจมตีจนอ้วกแตกอ้วกแตนกันไปถ้วนหน้า

“พี่ชายล่ะก้อ คนเค้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้แล้วอ่ะ เจ้าดูตรงนี่สิ คนเค้าเจ้บเจ็บเลยอ่ะ! ขอแค่ตะเองเห็นด้วยให้เค้ายอมแพ้นะ หลังจากวันนี้ไปเค้าก็เป็นคนของตะเองแล้วไง จะปรนนิบัติรับใช้ตะเองทุกวันทุกคืนเลยนะฮ๊า!”

หนุ่มล่ำผู้มีกล้ามใหญ่ไปทั่วตัวรู้สึกมีความหวัง น้ำเสียงของเขายิ่งออดอ้อนออเซาะมากขึ้น

ผู้ชม: “แหว่ะ….. ”

ผู้โจ้เจิ้งมองเขาด้วยสีหน้า ประหนึ่งว่าเจอผีก็ไม่ปาน ฝืนกัดฟันกลั้นใจไม่เข้าไปซัดเขาซักพลั๊วะ เอ่ยตอบตามหลักการ:

“…ไม่ได้!”

ทำตัวออดอ้อนออเซาะไม่ได้ผล ชายร่างใหญ่จึงแหกปากร้องไห้ดัง “แง้!…” ด้วยน้ำเสียงระคายหูจนสุดจะทานทน

“ ทนไม่ไหวแล้วโว้ย” ผู้โจ้เจิ้งกัดฟันยกกำปั้นขึ้น แล้วเหวี่ยงออกไป

คนดูในห้องต่างก็ยกหมัดขึ้นพร้อมกัน. …

เมื่อหลานเยาเยา และเย่แจ๋หยิ่ง เข้ามาในห้องกำลังภายในขั้นสุดยอดนั้น พวกเขาก็เห็นพวกคนดูต่างกำลังรุมล้อมชายร่างใหญ่ ซัดเขาคนละตุ๊บคนละตั๊บ สับสนอลหม่านอย่างยิ่ง

หลานเยาเยา: “….. ”

แน่ใจหรือว่าพวกเรามาไม่ผิดที่?

ท้ายที่สุดแล้ว!

“ ปึง ปึง ปึง ….. ”

นางจงใจเคาะประตูหลายครั้ง: “ต้องให้ข้าเข้าร่วมด้วยหรือไม่?”

ผู้คนโดยรอบเงียบกริบ ทุกคนก็หันหน้ากลับมาโดยพร้อมเพรียง

หลังจากเห็นเย่แจ๋หยิ่ง แต่ละคนที่อยู่ข้างในต่างก็พากันกลั้นหายใจ ยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างยิ่ง

สวรรค์โปรดช่วยลูกช้างด้วย!

อ๋องเย่มา

ผู้โจ้เจิ้งที่ประจำอยู่ห้องนี้ มีอันต้องพบความอเนจอนาถแน่แล้ววันนี้

ในห้องอันโอ่โถงหรูหรา ที่ใช้ประลองกำลังภายในแห่งนี้ โจ้เจิ้งที่เจ้าของเรือจัดไว้ ย่อมเป็นคนที่มีกำลังภายในสูงส่งอย่างยิ่ง ไม่ใช่คนที่คนธรรมดาจะสามารถล้มได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม ในโลกใบนี้มีคนที่มีความสามารถมากมาย จนถึงขณะนี้ ผู้โจ้เจิ้งที่มารับผิดชอบหน้าที่นี้ ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปกี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว

เมื่อผู้โจ้เจิ้งเห็นเย่แจ๋หยิ่งเข้า ท่าทางของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป สีหน้าก็ซีดขาวลงทีละน้อยๆ

ได้ยินมาว่าครั้งก่อนที่อ๋องเย่มา คือเมื่อสามปีที่แล้ว การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ผู้โจ้เจิ้งก็เส้นลมปราณขาดสะบั้นทั่วกาย สิ้นใจตายไปเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ผู้โจ้เจิ้งในห้องส่วนตัวนี้ จึงยังรู้สึกมีเงามืดในใจต่ออ๋องเย่ไม่น้อย มาตอนนี้กลับได้เจอตัวเป็นๆเข้าให้จังๆอีกด้วย

ขายังมีแรงยืนได้อยู่นี่ ก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว

ถึงแม้ว่าในเรือแห่งความสิ้นหวังนี้ จะไม่จำเป็นต้องคุกเข่าก้มหัวทำความเคารพใดๆ แต่ผู้ชมในห้องนี้ก็ยังแสดงถึงความเคารพที่มีต่อเขาดังเดิม

“คารวะท่านอ๋องเย่”

“ท่านอ๋องเย่เชิญนั่งขอรับ”

“ ท่านอ๋องเย่ต้องการดื่มชาหรือไม่ขอรับ?”

“….. ”

เย่แจ๋หยิ่งสุ่มหาเก้าอี้และนั่งลง

ผู้โจ้เจิ้งมองเขาด้วยอาการ เหมือนเส้นประสาทตึงเปรี๊ยะ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรว่า:

“ท่านอ๋องเย่ต้องการประลองอย่างไรหรือ?”

เย่แจ๋หยิ่งยกถ้วยชาขึ้นจิบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแผ่วเบาว่า “ไม่ต้อง!”

ทันทีที่คำนี้หลุดออกมา

เห็นได้ชัดว่า ผู้โจ้เจิ้งโล่งอกจนระบายลมหายใจออกมาเลยทีเดียว หันขวับไปมองชายร่างใหญ่ ที่ยังนอนแกร่วอยู่ที่พื้น ทั้งยังมีอาการเหมือนสติยังไม่ฟื้นคืน

“การประลองรอบที่สามกำลังจะเริ่มแล้ว โปรดเตรียมตัวให้พร้อม”

เพียงพริบตานั้นเอง

ชายร่างใหญ่ลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที ร้องห่มร้องไห้ทำเสียงเล็กเสียงน้อยพูดขึ้นว่า:

“ไม่เอาแล้วง่า! ไม่เอาแล้ว ! คนเค้ายอมแพ้แล้วนี่นา ก็คนเค้าไม่อยากประลองต่อแล้วอ่า! ฮือ ฮือ ฮือ…. ”

เย่แจ๋หยิ่ง: “….. ”

มุมปากหลานเยาเยาถึงกับกระตุก เอ่ยขึ้นว่า “ขอตัว!”

หลังจากนั้นจึงจากไปทันที

ถ้านางยังไม่ไปอีกล่ะก็ คงอดไม่ไหว ต้องซัดออกไปซักพลั๊วะเป็นแน่

ทันทีที่หลานเยาเยาจากไป เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้อยู่ต่อเช่นกัน เพียงลุกขึ้นและออกจากห้องไป

ประตูห้องประลองถูกปิดลงพลัน

ทุกคนกำหมัดแน่นอีกครั้ง พากันพุ่งตัวกรูเข้าไปหาชายร่างใหญ่ ……

“ดูเลย ดู ! ท่านอ๋องเย่ถูกเจ้าทำจนตกใจหนีไปแล้วเห็นมั้ย!”

“ ข้าจะฟังซิว่าเจ้าจะพูดอะไร!”

“ให้เจ้าเสแสร้งไปเถอะ จอมยุทธทั้งหลายไม่ต้องเกรงใจ จัดการเขาเลย!”

…………………………………

ในห้องประลอง ปรากฏเสียงโหยหวนที่แตกต่างออกไปดังแว่วมา เย่แจ๋หยิ่งมองไปที่ปลายสุดของระเบียงทางเดิน สีหน้าค่อนข้างคล้ำมืดสลัว

เป็นเพราะที่ระเบียงทางเดินนั้น หลานเยาเยาจากไปจนไม่เห็นแม้เงาตั้งนานแล้ว

นางมาที่นี่ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

หรือว่าเป็นเพราะ ต้องการพบคนที่แอบเข้าไปในจวนของนางเมื่อคืนก่อน อย่างนั้นหรือ?

เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์อันทรงเสน่ห์ร้ายกาจอย่างถึงที่สุดของหานแส คิ้วของเขา ก็พลันขมวดมุ่นเป็นปมอย่างห้ามไม่อยู่

ฝ่ายหลานเยาเยาผู้ที่ถูกอ๋องบางคนทายใจได้ตรงเผง หลังจากหลบเลี่ยงเย่แจ๋หยิ่งมาได้แล้ว ก็กำลังอยู่บนระหว่างทางเดินพิเศษเฉพาะ ที่ใช้ไปยังห้องของเจ้าของเรือแต่เพียงผู้เดียวอยู่

ในขณะที่นางเดินๆอยู่นั้น นางก็ค่อยๆเอียงศีรษะมองไปด้านหลัง ในแววตาพลันปรากฏประกายวาววับ มุมปากหยักยกขึ้นแย้มยิ้ม

เมื่อมาถึงห้องของหานแส

จึงเห็นว่าประตูถูกแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง นางผลักเปิดประตูเดินตรงดิ่งเข้าไปข้างใน แล้วดึงปิดประตูตามหลัง

แทบจะในทันทีนั้น เงาร่างของคนผู้หนึ่ง ก็มาปรากฏที่หน้าประตูห้อง เมื่อมองผ่านช่องว่างของหน้าต่างเข้ามา ก็เห็นชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งกำลังรื้อค้น เสาะหาอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน

เขาพังประตูเข้าไปทันที ซัดอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในมือออกไปไม่รอช้า ….

แต่ทว่า หลานเยาเยาที่กำลังรื้อค้นบางอย่าง ก็ได้พบหนังสือที่กำลังหาเข้าพอดี ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้

เงาร่างพลันนั้นไหววูบ เพียงพริบตาเดียว ก็เข้าไปนั่งยังตำแหน่งที่มีเพียงเจ้าของเรือเท่านั้น ที่จะสามารถนั่งได้

จากนั้นจึงหันไปมองดูคนที่โจมตีนางด้วยท่าทางสบายๆ

เป็นเขานั่นเอง!

ผู้ต้อนรับประจำเรือที่จ้องมองนางไม่วางตา ก่อนนางจะขึ้นเรือคนนั้น ในเวลานี้ดวงตาของเขาทอประกายดุร้าย ราวกับว่าเขาอยากจะสับนางให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นอย่างไรอย่างนั้น

“โย่! เป็นเจ้าเองหรือนี่! วรยุทธไม่เลวเลยนะเนี่ย!” หลานเยาเยาเลิกคิ้วขึ้น

“เจ้ามีปัญหาอย่างที่คิดจริงๆเสียด้วย”

ตั้งแต่ขึ้นเรือมา เขาก็เริ่มจับตามองนางไว้แล้ว หากไม่ใช่เพราะผู้ดูแลโจ๋บอกว่า เจ้าของเรือกำลังตามหาเขา เขาย่อมไม่ปล่อยให้นางได้เข้าไปในเรือเด็ดขาด

แต่ว่า!

เจ้าคนตรงหน้านี้ จะไร้ยางอายเกินไปหน่อยแล้ว!

ถึงกับกล้าเข้าไปนั่งในตำแหน่งที่นั่งเจ้าของเรือ ช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก

ดังนั้นเขาจึงกำหมัด ถ่ายเทกำลังภายใน รวบรวมปราณไปที่ฝ่ามือเงียบๆ แล้วโจมตีเข้าใส่หลานเยาเยาโดยตรง คล้ายต้องการให้นางต่อให้ไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก

น่าเสียดาย……

ลมปราณของเขา ยังมาไม่ถึงตรงหน้าหลานเยาเยาด้วยซ้ำ นางก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาเรียบร้อยแล้ว ระดับความรวดเร็วนี้ ทำเอาเขายากจะเชื่อลงเลยทีเดียว

ความหนาวเหน็บสายหนึ่ง แผ่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาหนาวจนสั่นสะท้าน ไอปราณอันน่าหวาดหวั่นอันตราย เข้ากดทับเขาจนกระทั่งหายใจไม่ออก

เดิมคิดว่าคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่แล้ว

ใครจะรู้ว่า คนที่อยู่ข้างหลังเขา เพียงแค่ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วจึงก้าวเท้ากลับไปยังที่นั่งของเจ้าของเรือ “ เป็นอย่างไรล่ะ? รู้ถึงความห่างชั้นของพละกำลัง ความแข็งแกร่งแล้วใช่ไหม?”

ชายคนนั้นประหลาดใจเล็กน้อย กับการลงมือที่ยังถือว่าเมตตาปรานีของนาง

แต่ทว่า!

ไม่นานเขาก็ตื่นจากความประหลาดใจ กำลังคิดว่าจะส่งสัญญาณให้คนอื่น ๆ บนเรือรู้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแล้ว

แต่กลับถูกหลานเยาเยาเอ่ยปากหยุดยั้งไว้ตรงๆ

“ถ้าข้าเป็นเจ้านะ ข้าจะไม่ทำอะไรผลีผลามเด็ดขาด” หลังจากพูดจบ นางยังไม่ลืมปรายตามองไปที่มือของชายคนนั้นวูบหนึ่ง

เป็นดั่งที่คิดจริงๆ!

หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น

ผู้ต้อนรับประจำเรือ รู้สึกถึงการขู่เข็ญอันรุนแรงหนักหน่วง จึงหยุดการเคลื่อนไหวที่มือของตนลงในที่สุด

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ? มีจุดประสงค์อะไร?”

ก่อนหน้านี้มาพร้อมกับอ๋องเย่ หรือจะเป็นคนที่อ๋องเย่ส่งมาอย่างนั้นหรือ?

“ถามเรื่องพวกนี้ทำไมไม่ทราบ? เจ้าควรจะคิดให้ดีหน่อยว่า ผู้ดูแลโจ๋ เป็นคนละเอียดรอบคอบ รู้จักระมัดระวังถึงเพียงนั้นแท้ๆ เรื่องที่เจ้ายังมองออกว่ามีปัญหา เขาจะมองไม่ออกเลยเชียวหรือ?”

นี่ถ้าไม่เห็นว่าหานแสยังไม่มาล่ะก็

นางอาจจะเบื่อหน่ายจนต้องมาคุยเจ๊าะแจ๊ะกับคนนี้ที่นี่?

ช่างแมร่งเหอะ!

หาคนคุยเล่นสักคน เพื่อกำจัดความเบื่อหน่ายไปแล้วกัน

ทันทีที่นางพูดออกไป

ชั่วขณะนั้น ผู้ต้อนรับประจำเรือก็เกิดความรู้สึกสงสัย ขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม:

“ เป็นเพราะเจ้าเจ้าเล่ห์เกินไปล่ะสิ”

“ ผิดแล้ว เป็นเขาจงใจเปิดทางปล่อยผ่าน!”

“เป็นไปไม่ได้ ผู้ดูแลโจ๋ไม่มีทางทรยศต่อท่านเจ้าของเรือ เจ้าไม่ต้องมายุแยงตะแคงรั่ว ให้พวกเราเกิดความแตกแยก ไม่ลงรอยกันไปหน่อยเลย! ” ผู้ต้อนรับประจำเรือสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง

เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าเป็นผู้ดูแลโจ๋ตั้งใจเปิดทางให้

แต่ว่า…