บทที่ 284 หญิงสาวในกรงเหล็ก

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 284 หญิงสาวในกรงเหล็ก

คนที่ฉลาดหลักแหลมอย่างผู้ดูแลโจ๋ จะยอมปล่อยให้คนตรงหน้า ซึ่งดูแล้วมีความเป็นไปได้ว่าอาจนำอันตรายมาให้เจ้าของเรือ ให้เข้ามาง่ายๆได้อย่างไรกัน?

“ เฮ้อ……”

หลานเยาเยาถึงกับเอามือกุมหัว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ

พวกหัวดื้อเป็นตอไม้ตายด้านมาอีกคนแล้ว

ช่างเถอะ คุยกับพวกหัวดื้อเป็นตอไม้ตายด้านไป ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้กล่อมให้เขาไปหาอะไรมาให้กินจะดีกว่า!

คิดได้ดังนั้นแล้ว!

ปรากฏเสียงดัง”ปึง”!ขึ้นเสียงหนึ่ง

นางหยิบอะไรบางอย่างจากแขนเสื้อออกมาโดยตรง แล้วโยนมันลงบนโต๊ะ

“รู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”

ผู้ต้อนรับประจำเรือจ้องมองตาค้าง เบิกตากว้างอย่างห้ามไม่อยู่

สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเป็นหน้ากากชิ้นหนึ่ง ทั้งยังเป็นหน้ากากที่มีลักษณะเฉพาะ ของผู้ดูแลรักษาการณ์อีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้เขาคิดได้ในเวลาต่อมาว่า เมื่อสองปีก่อนปรากฏผู้ดูแลลำดับที่สี่ ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการรักษาและยาพิษในเรือแห่งความสิ้นหวัง เป็นผู้ดูแลรักษาการณ์ที่ท่านเจ้าของเรือตามใจ ปล่อยปละมากที่สุด ปล่อยปละจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า ไร้ระเบียบไร้กฎเกณฑ์เลยทีเดียว

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆเขาก็หายสาบสูญไปในชั่วข้ามคืน ท่านเจ้าของเรือยังสั่งห้ามไม่ให้ผู้อื่นถามไถ่ซักไซ้ใดๆทั้งสิ้นอีกด้วย

เมื่อได้เห็นหน้ากากผู้ดูแลนี้ ทั้งยังเห็นว่ากระทั่งที่นั่งประจำตำแหน่งของเจ้าของเรือ เขายังกล้านั่ง ทั้งยังไม่กลัวที่จะทำให้ผู้คนแตกตื่นอีกต่างหาก

สิ่งนี้ก็อธิบายได้แล้วว่า เพราะเหตุใดผู้ดูแลโจ๋ ถึงยอมให้เขาเข้ามาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง……

เขาผู้นั้นกลับมาแล้ว

“เป็นเจ้านี่เอง…..”

ผู้ต้อนรับประจำเรือกำลังจะยกมือขึ้นคารวะ ก็มีอันถูกโบกมือขัดจังหวะไปเสียก่อน

“ชู่! อย่าพูดออกมาสิ ไปหาอะไรมาให้ข้ากินก่อน” ในที่สุดก็เก็บกู้สมอง ดึงเอาสติกลับมาได้เสียที

“เช่นนั้น ท่านเจ้าของเรือ ..,,. ”

“เขารู้ว่าข้าจะมา ข้าจะรอระหว่างกินแล้วกัน” นางเอ่ยตอบ อันที่จริง นางก็เบื่อที่จะอ่านหนังสือแล้วเหมือนกัน

แม้ว่าผู้ต้อนรับประจำเรือจะยังคงมีข้อสงสัยอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงหันหลังกลับและเดินออกไป

แน่นอนว่า!

สิ่งแรกที่เขาทำ ไม่ใช่การไปนำอาหารโอชารสใดๆมา แต่เป็นการไปรายงานต่อเจ้าของเรือต่างหาก

เวลาผ่านไปไม่นาน

หานแสในชุดเสื้อคลุมสีม่วงเข้มค่อยๆ เดินเข้ามาเชื่องช้า ในมือถือจานขนมจานหนึ่งไว้ ทันทีที่เข้ามาก็เห็นหลานเยาเยา นั่งอ่านหนังสืออยู่บนที่นั่งของเขา ทั้งยังดูเหมือนจะอ่านอย่างเพลิดเพลินออกรสไม่น้อยเลยด้วย

เขาเลิกคิ้วขึ้น เดินสองสามก้าวเข้าไปที่โต๊ะ แล้ววางขนมลงไป

ฝ่ายหลานเยาเยา ก็ไม่ได้มีความเกรงใจใดๆแม้แต่น้อยนิด

ทันทีที่ได้กลิ่นขนมหอมกรุ่น นางก็ยื่นมือออกไป หยิบเอาขนมเข้าปากไปตรงๆ

“ รสชาติไม่เลว เอามาจากไหนหรือ?”

“ ไปหยิบของคนอื่นมาก็แค่นั้นเอง!”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น!

หลานเยาเยาชะงักจากการกินขนมไปชั่วครู่ เคลื่อนย้ายสายตาจากหนังสือไปยังผู้มาเยือนทันที

หลังจากที่ได้เห็นหานแส

นางก็รีบยกยิ้มตามระดับมาตรฐานทันที เห็นลูกน้องของเขาสองสามคนที่ตามมาข้างหลัง ต่างก็พากันจ้องมองนางด้วยความตื่นตะลึง

สีหน้าเหมือนคนได้เห็นผีกลางวันแสกๆอย่างไรอย่างนั้น!

ฉับพลันนั้น หลานเยาเยาก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว

ดังนั้น นางจึงลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อนนัก ใครจะรู้ว่า นางเพิ่งกำลังหยัดกายลุกขึ้น ไหล่ของนางก็พลันหนักอึ้ง มือใหญ่เรียวยาวข้างหนึ่ง วางลงบนไหล่ของนาง ออกแรงกดหนักๆ เพื่อไม่ให้นางลุกขึ้น

“ ทำไม ตอนนี้เห็นข้าเป็นคนนอกแล้ว?” น้ำเสียงทรงเสน่ห์แฝงความร้ายกาจในที ดังขึ้นอย่างเย็นชา

“ใช่เสียที่ไหนกัน ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเสียหน้าต่อหน้าลูกน้องก็เท่านั้นเอง” ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่อยากสร้างหัวข้อซุบซิบ ให้ชาวบ้านเอาไปลือกันในที่สาธารณะ

ถึงอย่างไรเสีย ที่นั่งนี้นางก็เคยนั่งมาก่อนล่ะนะ

หานแสก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน

เพียงแต่!

ต่อหน้าลูกน้อง นางก็ยังต้องเคารพเขาสักหน่อยไม่ใช่หรอกหรือ?

ใครจะรู้······

“ ดูเหมือนว่า เจ้าเองก็ยังใส่ใจข้าอยู่ ไม่เสียแรงที่ข้ารักใคร่เอ็นดูเจ้าตลอดมา”

หน่านิ๊!?

รักใคร่เอ็นดู!?

นี่มันคืออะไร กับอะไรแล้วล่ะนี่!?

หานแสไปกินยาอะไรผิดมาเปล่าเนี่ย!?

ขณะที่นางกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรดี ก็เห็นหานแสปรายตามองลูกน้องที่อยู่ข้างหลัง สั่งการออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ลงไป!”

“ขอรับ!”

ภายใต้สายตาที่จับจ้องบีบคั้นของหานแส บรรดาลูกน้อง ก็ถอยออกไปจนเหมือนหนีตายก็ไม่ปาน ภายในห้องเหลือเพียงหลานเยาเยา กับหานแสเพียงสองคนเท่านั้น

เมื่อเจอกับสถานการณ์นี้เข้าไป

หลานเยาเยาถึงกับอดกุมหน้าผากไม่ได้

ตอนนี้นางแต่งกายด้วยชุดของผู้ชาย อีกทั้งยังดูงดงามหาใดเปรียบ ซึ่งเดิมทีมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

แต่เมื่อถูกหานแสพูดอย่างนั้นเข้าไป ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ก็ดูคลุมเครือขึ้นมาทันที

ดูเหมือนว่า บรรดาลูกน้องจะเริ่มเปิดประเด็น ถกกันอย่างเป็นการส่วนตัวอีกครั้งแล้ว

ประมาณว่ามีรสนิยมชอบผู้ชาย หรือนิยมตัดแขนเสื้อ อะไรทำนองนี้

สุดท้ายแล้ว!

เวลาที่นางปฏิบัติหน้าที่ นางมักจะสวมชุดผู้ชายอยู่ตลอด คนที่ไม่รู้จึงมักคิดว่านางเป็นผู้ชาย

เป็นเพราะหลังจากการถอนพิษกู่จิ้น ทำให้หานแสมีอาการข้างเคียงตามมาคือ เป็นโรคนอนไม่หลับอยู่หลายปี เขาจึงมักจะมาตามรังควานนางทุกวันทุกคืน

ผ่านไปเช่นนี้นานเข้า จึงมีข่าวลือกระฉ่อนตามมาในที่สุด

ดังนั้น!

ในตอนนี้ นางจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า…..

“หานแส เจ้าจงใจใช่หรือไม่?”

แต่ทว่า หานแสกลับปล่อยมือออกจากไหล่ของนาง ทั้งไม่เอ่ยปากตอบคำถามนาง แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์แบบร้ายๆ ว่า “ไปกันเถอะ!”

“ไปพบหลานชิวหยุนหรือ?”

ดวงตาของหลานเยาเยาทอประกายสว่างวาบ ไม่ถามถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญที่มาทำอีก

“อื้ม!”

“ ไปสิ!”

ภายในไม่กี่อึดใจ หานแสก็พานางไปยังห้องห้องหนึ่ง ซึ่งประตูถูกล็อคเอาไว้ จากนั้นจึงมอบกุญแจให้กับนาง

“ คนตายไม่ได้ล่ะ ” เขาเอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง จึงผละจากไป

ตัวล็อกบนประตูดูเก่ามาก ทั้งยังเป็นจุดกระดำกระด่าง แต่เมื่อใช้มือลูบดูกลับไม่มีสนิม

ประมาณว่าน่าจะมีการเปิดออก และปิดล็อกบ่อยๆอย่างนั้นมากกว่า

ในที่สุดแล้ว!

หลานเยาเยาใช้กุญแจปลดล็อกออก เดิมทีคิดว่า ข้างในก็คงเป็นแค่ห้องธรรมดาเท่านั้น กลับคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นกรงที่มืดทึบน่ากลัวห้องหนึ่ง

เนื่องจากไม่มีแสงไฟ ในห้องจึงดูมืดมิดอย่างยิ่ง

หลังจากเปิดประตู

เมื่อแสงจากนอกห้องส่องเข้าไป จึงทำให้พอมองเห็นสิ่งของที่อยู่ข้างในได้อย่างเลือนราง

ภายในห้องมีกรงเหล็กทรงกลมขนาดใหญ่ ในกรงมีเตียงไม้เรียบง่ายหลังหนึ่ง มีหญิงสาวที่ดูมอมแมม สกปรกรุงรังอย่างยิ่งนอนอยู่บนเตียงนั้น

เมื่อประตูเปิดออก หญิงสาวที่อยู่ในกรงเหล็กก็ขดตัว แล้วค่อยๆชันกายลุกขึ้นมาช้าๆ

“ ถึงเวลากินข้าวแล้วหรือ?”

เสียงของนางเล็กๆแผ่วเบา ทั้งยังสั่นระริก เหมือนกับว่านางกำลังกลัว

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่น่าสมเพชเวทนาของนาง หลานเยาเยา กลับไม่รู้สึกเกิดความสะเทือนอารมณ์สะท้อนใจใดๆเลย

แค่รู้สึกว่าทำความชั่วร้ายอะไรไว้ ก็สมควรได้รับผลกรรมตอบแทนก็เท่านั้น!

ในความเป็นจริงแล้ว!

หลานชิวหยุนนั้น ทั้งกลั่นแกล้งดูถูกเจ้าของร่างเดิมมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมองว่านางเป็นคนด้วยซ้ำ เมื่อเติบโตขึ้นมา เป็นเพราะความอิจฉา ความเกลียดชัง และยิ่งไปกว่านั้นเพราะนางชอบองค์ชายรัชทายาท เย่หลีเฉิน

ดังนั้นจึงทำทุกวิถีทาง เพื่อแย่งคู่หมั้นของเจ้าของร่างเดิม ทั้งยังผลักไสนางจนไปสู่ความตาย

หลังจากถูกเย่หลีเฉินทอดทิ้ง ยังใช้กลอุบายต่างๆ มากมายเพื่อทำให้นางถึงที่ตาย และยังคิดวางอุบายใช้ของปลอมมาเปลี่ยนของจริง คิดเปลี่ยนตัวเข้ามาแต่งงานกับเย่แจ๋หยิ่งแทนนาง เพื่อให้ตนเองได้ตำแหน่งพระชายาอ๋องเย่

ชีวิตที่ต้องตกตายในมือของหลานชิวหยุนนั้น น่ากลัวว่าใช้เพียงมือเดียว คงไม่อาจนับได้หมดด้วยซ้ำ!

มาตอนนี้ นางตกต่ำมาเป็นนักโทษ ย่อมพูดได้เพียงว่า ความชั่วร้ายได้รับการสนองคืนอย่าง

สาสมแล้ว

“ข้าวเหรอ? ไม่มีหรอก!” หลานเยาเยาเดินเข้าไปใกล้กรงเหล็ก นั่งยองๆแล้วพูดอย่างยั่วเย้าว่า: “แต่ถ้าเป็นขนมล่ะก็ พอจะมีอยู่นิดหน่อยล่ะ!”

ขนมที่เมื่อครู่นี้หานแสเอาให้นางเหล่านั้น นางถือโอกาสถือติดมือมาด้วยเสียเลย

แต่อย่างไรก็ตาม!

นางเดินไปพลาง ก็กินไปพลางตลอดทางที่มา ตอนนี้เลยมีขนมเหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นแล้ว

หลังจากวางขนมเข้าไปในกรงเหล็กแล้ว หลานชิวหยุนเพียงแว่บแรกที่เห็น ดวงตาของนางก็เบิกกว้างทันที ในวินาทีต่อมา นางก็มีสภาพเหมือนหมาป่าที่หิวโหย พุ่งกระโจนเข้าไปเขมือบขนมคราวละคำโตๆ

เพียงพริบตานางก็กินหมดไม่มีเหลือ

หลังจากกินหมด หลานชิวหยุนก็ไม่ได้ร้องขออะไรจากนางอีก

เป็นเพราะนางไม่กล้า

นางถูกขังไว้ในสถานที่มืดมิด ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันแห่งนี้ ไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับความหวาดกลัวต่อความตายกี่ครั้งกี่หนเข้าไปแล้ว

ดังนั้น หลังจากกินเสร็จ นางจึงกลับไปที่เตียงไม้ของตนเองอย่างสงบเสงี่ยม

“หลานชิวหยุน เจ้ายังอยากกลับไปเป็นคุณหนูจวนแม่ทัพอยู่หรือไม่?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลานชิวหยุนถึงกับตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว อาศัยแสงที่ส่องมา จ้องมองหลานเยาเยาที่นั่งยองๆอยู่

“ จวนแม่ทัพ ?!”

เมื่อได้ยินคำว่าจวนแม่ทัพ หลานชิวหยุนก็คล้ายจะได้เห็นความหวัง รีบกระโดดลงจากเตียงไม้ทันที คุกเข่าคร่อมอยู่บนขอบกรงเหล็ก ร้องไห้ด้วยความดีใจ