บทที่ 233 สัญชาตญาณดิบ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 233 สัญชาตญาณดิบ
ถังหมิงสัมผัสได้ถึงแรงแค้นของกู้ฉังชิงจนเริ่มผวา

กู้ฉังชิงไม่อยากปลุกกู้เหยี่ยน เลยไม่ได้ลงไม้ลงมือต่อ เขารีบชักดาบกลับแล้วพากู้เหยี่ยนออกไปจากตรงนั้น

ถังหมิงที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่นานสองนานก็เพิ่งจะมาได้สติตอนที่กู้ฉังชิงควบม้าไปจนสุดถนนแล้ว

ให้ตายสิ!

นี่เขาโดนเจ้ากู้ฉังชิงขู่งั้นรึ!

กู้ฉังชิงพาร่างเล็กส่งกลับมายังตรอกปี้สุ่ยอย่างปลอดภัย ตัดภาพมาที่กู้เจียวที่เพิ่งจะกลับมาถึงโรงหมอ

กู้เจียวเข้าโรงหมอจากทางประตูหลัง แล้วไปยังห้องของตัวเอง เปลี่ยนชุด แล้วเดินไปยังห้องโถง

ผู้ดูแลหวังพอเจอกับเด็กสาวก็ทำท่าตกใจ “เอ้า มาจากทางไหนล่ะนี่”

“ประตูหลังน่ะ” กู้เจียวเอ่ย

เสี่ยวซานจื่อที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร

หมอซ่งลงมาจากห้องคนไข้ แล้วเอ่ยทักทายกู้เจียว

ผู้ดูแลหวังยื่นถ้วยชาให้นาง

กู้เจียวรับถ้วยชาไว้แล้วหันไปถามหมอซ่งเรื่องเจียงสือ “อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ก็เลยเป็นไข้ ข้าเลยให้ยาไป ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว”

“ต้องระวังให้มาก เพราะสภาพเขาตอนนี้เสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อน” กู้เจียวเอ่ย พลางทำท่าครุ่นคิด “ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูเขาเอง”

“ได้เลย” หมอซ่งขานรับ

“หมอซ่ง! ผู้ป่วยคนนี้บอกว่าเขาทำใบสั่งยาหาย แล้วอย่างนี้จะยังสั่งยาให้เขาได้อยู่อีกหรือไม่” หนึ่งในผู้ช่วยเอ่ยถามหมอซ่ง

“ข้าไปดูตรงนั้นก่อนนะ” หมอซ่งเอ่ย

กู้เจียวพยักหน้า

หมอซ่งเดินมายังหน้าตู้เก็บยา

ช่วงเวลานี้งานที่โรงหมอยังไม่ยุ่งนัก ผู้ดูแลหวังจึงเชิญกู้เจียวไปคุยเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้า “…คนพวกนั้นเป็นพวกนักเลงแถวฝั่งตะวันตกของเมืองหลวง ข้าบอกกับพวกมันว่าให้เปิดเผยคนที่จ้างวานพวกมัน แล้วข้าจะไม่ส่งพวกมันให้ทางการ เดิมข้าว่าจะแกล้งขู่พวกมันเสียหน่อย แต่พวกมันกลับเล่าทุกอย่างให้ฟังหมดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือใคร!”

กู้เจียวไม่มีท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด

“ฝีมือคู่แข่งรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นในตอนแรก ข้าก็นึกว่าจะเป็นคนของ…หุยชุนถังเสียอีก ทว่า แม่นางกู้เอ๋ย เจ้าเดาซิว่าเป็นใคร พวกมันบอกว่า คนที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็น เป็น…หญิงคนหนึ่ง!”

กู้เจียวถามต่อ “หญิงที่ว่า อายุประมาณเท่าไหร่”

ผู้ดูแลหวังพยักหน้าพลางเล่าต่อ “พวกมันบอกว่า เป็นหญิงสาวอายุยังน้อย ฟังจากน้ำเสียง น่าจะราวๆ สิบกว่าปีได้ นางสวมหมวกทรงกรวยและผ้าคลุมหน้า ก็เลยไม่รู้ว่ารูปพรรณสัณฐานเป็นเช่นไร แต่ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นคนมีเงิน ข้าลองมานึกๆ ดูแล้ว ที่หุยชุนถังก็ไม่ได้มีเด็กสาวรุ่นราวคราวนั้นเลยนะ ลูกสาวของนายใหญ่รองก็เพิ่งจะเจ็ดขวบเอง! จะว่าไปแล้ว ถ้าพูดถึงการแต่งตัว…ลูกสาวของผู้ดูแลร้านนั้นก็ไม่ได้แต่งตัวหรูหราอะไรเท่าใดนะ”

ผู้ดูแลหวังทายไม่ถูกจริงๆ ว่าหญิงลึกลับผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือใคร

กู้เจียวเอามือลูบคาง “เด็กสาวอย่างนั้นหรือ”

ฝนหยุดตกแล้ว แต่ฟ้ายังขมุกขมัวอยู่ และเกรงว่าอาจมีฝนตกอีกครั้ง

สำนักบัณฑิตสตรีรีบสั่งเลิกเรียน

เรือนของหลี่หวานหว่านอยู่ไกลออกไปพอสมควร นางไม่ได้มีรถม้ามารับมาส่งเหมือนคุณหนูลูกท่านหลานเธอคนอื่นๆ นางต้องรีบกลับเรือนก่อนที่ฝนจะตกอีกครั้ง

เด็กสาวอุ้มกล่องฉินโบราณ แล้วรีบเดินทางกลับ

อาจเป็นเพราะนางรีบเกินไปหน่อย เลยไม่ทันสังเกตว่าข้างหน้ามีชายผู้หนึ่งกำลังเดินลงจากรถม้า

“โอ๊ย”

หลีหวานหว่านเดินชนแขนชายคนนั้น

ขณะเดียวกัน ณ บริเวณชั้นสองของสำนักบัณฑิตสตรี เด็กสาวคนหนึ่งกำลังจ้องมองอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเดินลงจากรถม้าด้วยสายตาหลงใหล

ทันใดนั้นเอง นางก็เห็นจังหวะที่หลี่หวานหว่านเดินชนอันจวิ้นอ๋อง แววตาอันไร้เดียงสาพลันเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น

“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!” หลี่หวานหว่านรีบเอ่ยขอโทษยกใหญ่

อันจวิ้นอ๋องยังไม่ทันได้สังเกตว่าใครเป็นใคร จู่ๆ อู่หยางก็เดินเข้ามา พลางบอกกับเด็กสาว “ไม่เป็นไรนะแม่นาง เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ไม่ ข้าไม่เป็นไร!” หลีหวานหว่านแทบไม่เงยหน้าขึ้นมามองเลยแม้แต่นิด ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ร้องขออะไร หลีหวานหว่านจึงรีบอุ้มกล่องฉินโบราณแล้วเดินหนีไป

ใบหน้าของเด็กสาวที่อยู่บนชั้นสองเริ่มเปลี่ยนเป็นเบิกบานอีกครั้ง

นางพยายามโบกมือให้เขา

แต่อันจวิ้นอ๋องมองไม่เห็นนาง และเดินเข้าโรงหมอไป

ทันใดนั้นเอง ก็มีคุณหนูจากสำนักบัณฑิตสตรีเดินเข้ามาข้างในโรงหมอ

“ใช่ท่าน…อัน…อันจวิ้นอ๋องหรือไม่เจ้าคะ” คุณหนูนางนั้นเอ่ยทักอันจวิ้นอ๋องด้วยท่าทีลังเล

อันจวิ้นอ๋องหันไปทางต้นเสียงพลางถาม “แม่นางมีธุระอันใดกับข้ารึ”

เด็กสาวเอามือป้องปาก “กลอนของท่านช่างไพเราะยิ่งนัก! ข้าสะสมบทประพันธ์ของท่านตั้งแต่เด็กๆ ! สะสมมาเรื่อยๆ จนแทบจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้เลยเจ้าค่ะ!”

อันจวิ้นอ๋องยิ้มให้คุณหนูคนนั้นอย่างสุภาพ

นี่แหละอันจวิ้นอ๋อง เขามักจะปฏิบัติกับผู้คนเยี่ยงบุรุษ

แม้เด็กสาวที่อยู่ชั้นบนไม่ได้ยินบทสนทนา แต่เห็นทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะกัน ความหึงหวงพุ่งเข้ามาในหัวใจของนาง

คุณหนุน้อยทำท่าเคาะหน้าผากตัวเอง ก่อนจะร้องอุทาน “ไอ้หยา! ข้าลืมบทประพันธ์ไว้ที่ห้องเรียนเฉยเลย จวิ้นอ๋องรอก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปหยิบมาให้ พอดีว่ามีบางบทที่ข้ายังไม่เข้าใจ อยากจะให้ท่านช่วยอธิบายให้ข้าฟังเจ้าค่ะ!”

เอ่ยจบ นางก็รีบวิ่งกลับไปที่สำนักบัณฑิตสตรี

ห้องเรียนของนางอยู่ที่ชั้นสอง

เวลานี้ทุกคนต่างทยอยกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ทั้งตึกมีแต่ความว่างเปล่าขนาดว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องกังวานไปทั่ว

นางเปิดประตูเข้าไป พอเห็นว่ามีกองบทประพันธ์วางอยู่บนโต๊ะ ก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็จัดแจงเก็บรวบรวมแล้วกอดไว้ในอ้อมอก

อันจวิ้นอ๋องรอนางอยู่ นางจึงรีบเดินออกจากห้องเรียน

ในตอนที่นางกำลังจะก้าวลงบันได จู่ๆ ก็มีมือลึกลับโผล่จากด้านหลัง ทำท่าเหมือนกำลังจะผลักนางลงไป

และในตอนนั้นเอง จวงเมิ่งเตี๋ยก็วิ่งยกชายกระโปรงเข้ามาใกล้ๆ “ใครน่ะ”

คุณหนูสาวหยุดฝีเท้าลง

ส่วนเจ้าของมือลึกลับรีบชักมือกลับแล้วเข้าไปยืนหลบที่หลังกำแพง

“แม่นางจวง นี่ข้าเอง” คุณหนูสาวตะโกนตอบ

จวงเมิ่งเตี๋ยมองไม่เห็นว่าเป็นใคร เพราะบริเวณมืดเกินไป แต่พอได้ยินเสียงก็รู้ทันที

“อ้อ คุณหนูจางนี่เอง เจ้าเห็นพี่สาวข้าไหม” จวงเมิ่งเตี๋ยขานตอบด้วยสีหน้าผิดหวัง

“ไม่เห็น” คุณหนูจางส่ายหัว

จวงเมิ่งเตี๋ยกระทืบเท้าอย่างเหลืออด “ให้ตายสิ ให้ตายสิ! ไปไหนของนางกัน ไหนว่าจะรอข้าไง! กลับมาอีกทีก็ไม่เจอเสียแล้ว!”

คุณหนูจางเห็นจวงเมิ่งเตี๋ยสบถและเดินไปข้างหน้า แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อครู่นี้นางกลับรู้สึกถึงอันตรายบางอย่างจากข้างหลัง แต่พอหันกลับไปดูก็ไม่พบอะไรเลย

คุณหนูจางรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงตะโกนเรียกจวงเมิ่งเตี๋ย “แม่นางจวง ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่”

“เร็วเข้าสิ!” จวงเมิ่งเตี๋ยเอ่ยอย่างเหลืออด

“มาแล้ว มาแล้ว” คุณหนูจางวิ่งต้อยๆ ตามจวงเมิ่งเตี๋ยไปพร้อมกับบทประพันธ์ในอ้อมอก

พอเดินออกมาถึงด้านนอก เห็นว่าบนถนนเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ความรู้สึกไม่ปลอดภัยนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป

ส่วนอันจวิ้นอ๋องที่มารอพบกู้เจียว ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เจอกัน เพราะกู้เจียวกลับไปแล้ว

อันจวิ้นอ๋องจึงเดินคอจตกขึ้นรถม้าไป

ขณะเดียวกัน กู้เจียวกำลังมุ่งหน้าไปที่กั๋วจื่อเจียนเพื่อไปรับจิ้งคง ด้วยความที่วันนี้เซียวลิ่วหลังต้องเรียนหนังสือถึงดึก ก็เลยไม่ได้กลับพร้อมกัน

ช่วงนี้บรรยากาศในกั๋วจื่อเจียนเต็มไปด้วยความตึงเครียด ดูเหมือนว่าการสอบระดับเตี้ยนซื่อจะสร้างความกดดันให้พวกเขาน่าดู

กำหนดการสอบเดิมคือช่วงกลางเดือนสี่ แต่ได้ยินมาว่าแคว้นเจาต้องทำหน้าที่ต้อนรับทูตจากแคว้นเหลียง การสอบจึงถูกเลื่อนไปช่วงปลายเดือนสี่แทน

คนในเมืองหลวงนั้นต่างจากคนในชนบท ประเด็นร้อนที่ผู้คนคุยกันทุกวัน ไม่ใช่ว่าไก่ตัวไหนออกไข่แล้วเอย แม่สุกรตัวไหนออกลูกเอย เวลาไหนควรเกี่ยวข้าวฟ่างเอย ข้าวสาลีควรตัดเมื่อใดเอย… เรื่องที่พวกเขามักจะสนทนากันเป็นเรื่องของสถานการณ์ปัจจุบัน แม้แต่ท่านปู่จ้าวเรือนข้างๆ ยังรู้เลยว่าทูตต่างเมืองกำลังจะมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง

ด้วยความที่การคมนาคมในสมัยก่อนยังไม่สะดวกนัก การที่มีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมสองสามปีครั้งก็นับว่าถี่มากแล้ว

อาณาจักรในสมัยโบราณถูกแบ่งออกเป็นหกแคว้น โดยแคว้นเหลียงถูกจัดให้อยู่ในสามแคว้นบน ส่วนแคว้นเจาถูกจัดให้อยู่ในสามแคว้นล่าง แคว้นเหลียงมีอำนาจสูงกว่าแคว้นเจามาก ราชสำนักจึงได้ให้ความสำคัญกับการมาเยือนของทูตจากแคว้นเหลียง

แต่เรื่องพวกนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกู้เจียวเลยสักนิด

กู้เจียวจูงมือเสี่ยวจิ้งคงกลับไปยังตรอกปี้สุ่ย

“จิ้งคง เลิกเรียนแล้วหรือ พี่สาวเจ้าไปรับถึงที่เลยนะ” แม่เฒ่าหลิวที่กำลังตากผ้าอยู่หน้าเรือนเอ่ยทักทายเสี่ยวจิ้งคง

“ใช่แล้ว! เจียวเจียวมารับข้าเองเลยนะ!” จิ้งคงเอ่ยตอบพลางกระโดดโลดเต้น

เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาที่ต้องกลับเรือนกับเซียวลิ่วหลัง จิ้งคงมักจะทำหน้าบูดบึ้งราวกับกำลังโดนลากไปเรียกค่าไถ่

แต่พอเป็นกู้เจียว เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกร่าเริงและมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด ทั้งกระโดดทั้งหัวเราะ ราวกับกำลังจะลากกู้เจียวไปเล่นสนุกด้วยอย่างไรอย่างนั้น!

กู้เจียวเอ่ยทักทายแม่เฒ่าหลิว ก่อนจะพาเสี่ยวจิ้งคงเข้าไปในเรือน

วันนี้จี้จิ่วอาวุโสไม่อยู่ หญิงชราเองก็ออกไปข้างนอกเพื่อไปซื้อผ้าและอาภรณ์ต่างๆ ให้สมาชิกในเรือน ส่วนแม่นางเหยาได้แต่นั่งรอให้กู้เหยี่ยนกลับมา รอไปรอมา จนเผลอหลับไป

เสี่ยวจิ้งคงค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเบามือที่สุด พยายามไม่ปลุกให้แม่นางเหยาตื่น

เขาค่อยๆ เดินลงมา ก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียวเบาๆ “เจียวเจียว ฮูหยินหลับแล้ว”

“อืม” กู้เจียวขานตอบ ก่อนจะเอ่ยถามเขาต่อ “มีการบ้านไหม”

“ข้าทำเสร็จแล้วล่ะ!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยตอบพลางทำท่าแบมือ

กู้เจียวลูบหัวเขาหนึ่งที “เช่นนั้นเจ้าออกไปเล่นก่อนนะ ข้าขอไปทำอาหารก่อน”

“อื้ม!” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า

จิ้งคงเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ทำตัวให้กู้เจียวลำบากต้องมาคอยอยู่เล่นเป็นเพื่อนเขา และยิ่งไปกว่านั้น เขามีธุระที่เขาเองจะต้องจัดการ

วันนี้กู้เหยี่ยนลางาน

…แปลกจัง ทำไมต้องลางานด้วยนะ

กลายเป็นว่าวันนี้เสี่ยวจิ้งคงต้องทำหน้าทีตักมูลไก่เอง

เสี่ยวจิ้งคงหยิบพลั่วเล็กๆ ของเขา ตักทรายหนึ่งกำมือ และเริ่มทำความสะอาดมูลไก่ เช่นเดียวกับมูลนกของเจ้าเก้า

เพราะไม่ได้มาทำเป็นเวลานาน ก็เลยไม่คล่องมือเท่าแต่ก่อน

ผ่านไปครึ่งวัน จิ้งคงเพิ่งจะตักมูลไก่เสร็จ “ไอ้หยา เหนื่อยชะมัด!”

ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน เหล่าลูกไก่น้อยของพวกเขาจึงอุดอู้อยู่แต่ในเล้าไม่ได้ออกไปไหน และตอนนี้ เขาเห็นว่าฝนหยุดตกแล้ว ก็เลยตัดสินใจจะพาพวกมันออกไปเดินเล่น

เส้นทางเดินเล่นลูกไก่น้อยขยายจากตรอกปี้สุ่ยไปยังสวนผลไม้ สาเหตุหลักมาจากมีหญ้าจำนวนมากในสวนผลไม้ และพวกมันสามารถกินแมลงบางชนิดได้ ซึ่งสามารถช่วยประหยัดค่าอาหารไปได้

เขาช่างเป็นเด็กมัธยัสถ์เสียจริง!

ลูกไก่ทั้งเจ็ดตัวยืนเรียงแถวก่อนจะเดินออกจากประตูอย่างสง่างาม ตามด้วยลูกสุนัขและเหยี่ยวตัวน้อย

ปกติแล้วนกจะต้องบินได้ แต่จะเดินไม่ค่อยได้

แต่ไม่รู้ทำไม เจ้าเหยี่ยวน้อยตัวนี้กลับเดินคล่องปร๋อเสียยิ่งกว่าลูกไก่อีก!

สมกับเป็นนกที่โตมากับลูกไก่จริงๆ !

ส่วนเจ้าลูกสุนัขเองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าสุนัขพันธุ์เลี้ยงไก่เป็นที่เรียบร้อย!

หน้าที่ของมันก็คือปกป้องเจ้าของและลูกไก่ของเจ้าของให้ปลอดภัย!

เจ้าลูกสุนัขเดินเชิดหน้าไปพร้อมกับขบวนสัตว์เลี้ยงของจิ้งคง!

ขณะที่พวกเขาเดินมาถึงสวนผลไม้ ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตกอีกครั้ง

“เอาละ พวกเราต้องกลับกันแล้วนะ!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยกับฝูงเพื่อนรักของเขา

พอจิ้งคงเดินนำหน้าไป เจ้าสัตว์ตัวน้อยที่เหลือก็เดินตามเขาอย่างเป็นระเบียบ

ทันใดนั้นเอง เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกได้ถึงเงาตะคุ่มของใครบางคนและกลิ่นหอมอ่อนๆ แตะเข้าที่จมูกของเขา

ด้วยความที่เสี่ยวจิ้งคงตัวเล็ก พอเงยหน้าขึ้นก็เจอกับชุดกระโปรงสีขาวสะอาดของใครบางคน

และพอเงยหน้าขึ้น ก็เจอกับผ้าคลุมสีขาวและหมวกทรงกรวย

หญิงสาวในชุดหมวกทรงกรวยและผ้าคลุมย่อตัวลง กลิ่นหอมจากตัวนางก็ยิ่งฟุ้งกระจาย

แม้จะเป็นกลิ่นที่หอมชวนหลงไหล แต่กระนั้น เสี่ยวจิ้งคงก็ยังชอบกลิ่นของกู้เจียวมากกว่า

“ท่านมีธุระอะไรหรือ เหตุใดจึงต้องขวางทางข้าด้วย” เสี่ยวจิ้งคงมองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนเอ่ยถามออกไปอย่างสุภาพ

หญิงสาวในผ้าคลุมเอ่ยถามเขา “พ่อหนุ่มน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรือนของเซียวลิ่วหลังอยู่ที่ใด”

จิ้งคงชำเลืองมองคนตรงหน้าหัวจรดเท้า

…แต่ชำเลืองไปก็ไม่ได้อะไร เพราะนางเล่นเอาผ้ามาคลุมตัวเองเสียมิดชิดจนไม่เหลืออะไรให้มองเลย

“เจ้าเป็นใคร” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถาม

หญิงแปลกหน้าไม่ตอบอะไร ก่อนจะคว้าถังหูลู่ออกมาจากด้านหลัง “ขอแค่เจ้าตอบคำถามข้า แล้วข้าจะยกถังหูลู่นี้ให้เจ้า”

เสี่ยวจิ้งคงชอบกินถังหูลู่

แต่เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้แสดงท่าทีอยากได้อะไรขนาดนั้น เขาครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะตอบออกไปว่า “เจ้าเอาถังหูลู่มาให้ข้าก่อนสิข้าถึงจะให้คำตอบเจ้า”

“ได้สิ” หญิงแปลกหน้าหัวเราะพลางยื่นถังหูลู่ให้

เสี่ยวจิ้งคงรับถังหูลู่มา ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าไม่รู้”

“เจ้าว่าไงนะ”

“นี่ไงคำตอบของข้า! ข้าไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน!”

ก็เขาไม่รู้จริงๆ นี่นา!

ก็ที่นี่มันคือเรือนของเจียวเจียว พี่เขยตัวแสบก็แค่มาอยู่ด้วยกันชั่วคราวเท่านั้น! จะไปรู้ได้ไงล่ะว่าบ้านเกิดของเขาอยู่ที่ไหนน่ะ!

เสี่ยวจิ้งคงเดินออกไปพลางดูดถังหูลู่อย่างสบายใจเฉิบ

หญิงแปลกหน้าได้แต่โกรธจนตัวสั่น

ที่จริงแล้ว นางต้องการสืบหาที่อยู่ของกู้เจียวต่างหาก เพียงแต่ นางคิดว่าปกติแล้วสตรีจะไม่ใช่เจ้าของเรือน ก็เลยยืมชื่อของฝ่ายชายมาถาม

“เจ้าเด็กบ้า คิดจะหลอกข้างั้นรึ!”

ทันใดนั้น นางเอื้อมมือออกไป และคว้าไหล่ของจิ้งคงอย่างเย็นชา

เจ้าแปดตกใจสะดุ้งโหยงจนวิ่งกรูไปที่ข้างกำแพง!

ในตอนนั้นเอง เจ้านกเหยี่ยวตัวน้อยก็กางปีกที่อวบอ้วนและบินขึ้นไปในอากาศ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระตุ้นสันชาติญาณดิบของเจ้าเหยี่ยวน้อยเข้าให้ สายตาของมันเล็งเข้าไปที่หมวกของหญิงสาวด้วยความก้าวร้าว!