บทที่ 234 คาหนังคาเขา
เหยี่ยวไห่ตงชิงไม่ใช่สัตว์เลี้ยงแสนเชื่องอย่างแท้จริง มันยังมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า หากโจมตีคนขึ้นมาคงไม่เหมือนนกน้อยที่โมโหแล้วส่งเสียงแผดร้องอย่างแน่นอน
เจ้านกพุ่งตัวเข้าไปในงอบสานทรงกรวยของหญิงสาว จะงอยปากแข็งอ้ากว้าง พุ่งถลาเข้าไปจิกดวงตาของเด็กสาวอย่างรุนแรง!
สาวน้อยยกมือขึ้นมาบังตามสัญชาตญาณ แม้จะป้องกันดวงตาไว้ได้ ทว่าลำคอของนางนั้นกลับเผยออกมาแทน เสี่ยวไห่ตงจึงงับเข้าที่ลำคอของเด็กสาวอย่างจัง!
“กรี๊ดดด”
เด็กสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด สองมือพัลวัน แม้จะไล่เหยี่ยวไห่ตงชิงออกไปได้แล้ว แต่งอบของตัวเองก็ปลิวไปด้วย
เสี่ยวจิ้งคงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงเหลียวมองมา มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของเด็กสาว แล้วก็ร้องออกมาด้วยความสงสัย
ร้านรวงสองฝั่งถนนเองก็ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกเช่นกัน จึงต่างกันเปิดประตูวิ่งออกมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“มีอะไรหรือ”
“ใครกัน”
สาวน้อยเห็นคนพรวดพราดออกมากันมากมาย ก็ไม่ทันได้สนใจตอบคำถามเสี่ยวจิ้งคง ก่อนนางจะยกแขนเสื้อขึ้นปิดบังใบหน้าแล้ววิ่งหลีไป
“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ลุงหลี่เดินเข้ามาถามเสี่ยวจิ้งคง
“ข้าไม่เป็นไร” เสี่ยวจิ้งคงโคลงหัว
หลังจากเสี่ยวจิ้งคงกลับมาถึงบ้าน ก็สารภาพเรื่องที่เสี่ยวจิ่วรังแกคนไปตามความจริง “…ยามปกติเสี่ยวจิ่วไม่ได้ดุร้ายขนาดนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวจิ่วเป็นอะไรไป…”
เสี่ยวจิ่วเป็นนกป่า นิสัยดุร้าย แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล
กู้เจียวคาดเดาบางอย่างอยู่ในใจ พลางจ้องมองไปที่ถังหูลู่ในมือของเสี่ยวจิ้งคงแล้วเอ่ยถาม “ถังหูลู่นี้นางก็เป็นคนให้มาหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า “ใช่แล้ว นางถามว่าบ้านพี่เขยข้าอยู่ที่ไหน ข้าตอบนางไปแล้วว่าข้าไม่รู้”
กู้เจียวนึกพลางถามต่อ “นางได้บอกหรือไม่ว่านางเป็นใคร”
“ไม่ได้บอก” เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้า “แต่ข้าเคยเห็นนาง นางเป็นนักเรียนของสำนักบัณฑิตสตรี”
สำนักบัณฑิตสตรีอยู่ติดรั้วกับโรงหมอ ทุกครั้งที่เสี่ยวจิ้งคงกลับจากกั๋วจื่อเจียนมายังโรงหมอย่อมต้องผ่านสำนักบัณฑิตสตรี มักจะบังเอิญเจอเหล่าบัณฑิตสตรีอยู่เป็นประจำ
เพียงแต่ว่า เสี่ยวจิ้งคงนั้นไม่รู้จักชื่อของอีกฝ่าย
ตกดึก เสี่ยวลิ่วหลังกลับมาถึงเรือน กู้เจียวก็เล่าเรื่องที่บัณฑิตหญิงถามถึงเขาให้เขาฟัง
เสี่ยวลิ่วหลังประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ข้าไม่รู้จักนักเรียนจากสำนักบัณฑิตสตรี”
กู้เจียวชะงักไปแล้วถามต่อ “คงเป็นเพราะชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังมาก ถึงได้มีคนชื่นชม”
เสี่ยวลิ่วหลัง “เช่นนั้นก็ควรมาตามหาข้าที่กั๋วจื่อเจียนสิ”
เหล่าคนที่มาหาถึงเรือนล้วนแต่เป็นคนที่ตามหาเขากั๋วจือเจียนไม่เจอ ถึงได้ถามที่อยู่ของเขา
กู้เจียวนึกถึงแจกันดอกไม้ มีดหั่นผักและเหตุขัดแย้งที่โรงหมอเมื่อก่อนหน้านี้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” เซียวลิ่วหลังถาม
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร ข้าจัดการได้”
ก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งที่เล่นสกปรกลับหลังนางเท่านั้น ไม่ถึงกับต้องให้นางออกโรงมาขยี้ก็จัดการได้
เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่ได้ถามซักไซ้ไล่เลียงว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “เงินใช้จ่ายในบ้านเดือนนี้”
กู้เจียวตาเบิกโพลง “เหตุใดถึงให้เงินใช้จ่ายประจำเดือนอีก ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องเตรียมสอบเตี้ยนซื่อหรอกหรือ”
เงินใช้จ่ายประจำเดือนที่เขามอบให้ล้วนแต่มาจากการรับจ้างคัดหนังสือหรือเขียนเรียงความ แม้จะไม่ใช่งานแบกหาม แต่ก็เบียดบังเวลาและกำลังกายในการอ่านหนังสือ
นอกจากนั้นยามปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว เขายังช่วยสอนการบ้านให้กับอีกสามคนอย่างเสี่ยวจิ้งคง กู้เหยี่ยน และกู้เสี่ยวซุ่นอีก แถมทั้งสามคนยังมีความคืบหน้าในการเรียนและหัวไวไม่เท่ากันอีกต่างหาก
จี้จิ่วอาวุโสก็มาช่วยบ้างเป็นครั้งคราว แต่เซียวลิ่วหลังยังคงรับหน้าที่หลัก
กู้เจียวนึกดูแล้วคิดว่าตนเองคงไม่มีความอดทนมากถึงเพียงนั้น หากให้นางสอนการบ้านเหล่าน้องชาย มีหวังนางคงฟาดพวกเขาจนหงอไปหมด
เว้นเสียก็แต่เสี่ยวจิ้งคงกระมังที่คะแนนของเขาค่อนข้างดี
ทว่าแม้เสี่ยวจิ้งคงจะว่านอนสอนง่ายยามอยู่ต่อหน้ากู้เจียว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเชื่อฟังยามอยู่ต่อหน้าเซียวลิ่วหลังด้วยเช่นกัน เจ้าหนูน้อยช่างพูดช่างจาแถมยังเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย ชวนให้ปวดหัวสุดๆ
กู้เจียวเข้าใจดี
กู้เจียวเอ่ย “เจ้าอย่าลำบากเลย”
เซียวลิ่วหลัง “แต่ข้าเองก็ไม่อยากให้เจ้าลำบาก”
เมื่อเอ่ยคำนั้นออกไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
พูดจาเพ้อเจ้ออะไรออกไปกันเนี่ย เลี่ยนชะมัด
ทว่ากู้เจียวฟังแล้วกลับหวานหูเสียเหลือเกิน นางยกมือขึ้นเท้าแก้มทั้งสองข้างพลางมองเขา ดวงตายกยิ้มเป็นเสี้ยวพระจันทร์ “สามีข้าช่างดีเหลือเกิน”
เซียวลิ่วหลังหน้าแดงแจ๋ไปหมด
วันต่อมา กั๋วจื่อเจียนเปิดเรียน ทว่าสำนักชิงเหอกลับหยุดเรียน
เซียวลิ่วหลังพาเสี่ยวจิ้งคงที่ใบหน้าบูดบึ้งไม่พอใจไปเรียนหนังสือ
กู้เสี่ยวซุ่นและลูกชายของท่านตาจ้าวข้างบ้านจะไปเยี่ยมรังนก จึงถามกู้เหยี่ยนว่าไปด้วยกันหรือไม่ กู้เหยี่ยนไม่ไป เพราะวันนี้เขาอยากจะไปเล่นที่โรงหมอ
กู้เหยี่ยนยังไม่เคยไปที่เรือนหลังเล็กของกู้เจียว
กู้เจียวรับปากเขาแล้วว่าหลังมื้อเช้าจะพาเขาออกไปข้างนอกด้วย ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นที่วิ่งอย่างรีบร้อนจนแทบบินอยู่ข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ช่วงบ่ายต้องไปเรียนงานฝีมือด้วย อย่าลืมล่ะ!”
“รู้แล้วน่า ท่านพี่ก็!” กู้เซียวซุ่นและจ้าวเสี่ยวหยางวิ่งกันออกไปพริบตาเดียวก็มองไม่เห็นแล้ว
ช่วงที่ผ่านมารับคนป่วยมามากเกินไป โรงหมอจึงวุ่นเป็นอย่างมาก กิจการชานมจึงต้องหยุดพักเป็นการชั่วคราว วันนี้กู้เหยี่ยนมาได้จังหวะพอดี กู้เจียวจะวานให้เขาไปขายชานม
กู้เหยี่ยนที่ตั้งใจว่าจะเป็นเด็กน้อยที่นั่งอยู่เฉยๆ “…”
โรงหมอนั้นเปิดทำการตั้งแต่ช่วงเช้า ยามตกดึกก็จะมีหมอคอยเข้าเวร หากมีคนมาเคาะประตูก็พร้อมรักษา แต่หลังจากที่กิจการเริ่มดีขึ้น ตอนนี้จึงเปิดทำการก่อนปกติครึ่งชั่วยาม
ไม่นานโรงหมอก็เริ่มคึกคักขึ้นมา
กู้เจียวกำลังสุ่มตรวจดูวัตถุดิบยาในตู้ยา เป็นเพราะสภาพแวดล้อมการเก็บรักษายาในสมัยโบราณมีข้อจำกัด อายุของวัตถุดิบยาจึงสั้นลงเป็นอย่างมาก เพราะอย่างนั้นนางถึงต้องคอยตรวจสอบอยู่เป็นประจำ
เพิ่งจะตรวจไปได้ครึ่งหนึ่ง เด็กหยิบยาที่อยู่ข้างกันก็กระซิบเรียกนาง “แม่นางกู้”
กู้เจียวเหลียวไปมอง พอเห็นเด็กหยิบยาส่งสายตาไปทางโรงใหญ่ กู้เจียวก็หันมองตาม ก่อนจะเห็นอันจวิ้นอ๋องในชุดสีขาว ยืนโดดเด่นดุจเดือนดาราอยู่ตรงนั้น
ข้างกายอันจวิ้นอ๋องยังมีน้องสาวอีกสองคน คือจวงเมิ่งเตี๋ยและจวงเย่ว์ซี
กู้เจียวนั้นรู้จักจวงเมิ่งเตี๋ย เพราะซื้อของจากนางไปมากมายเลยทีเดียว นางจึงนับว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองน้อยๆ ของตน ส่วนจวงเย่ว์ซีนั้น กู้เจียวไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
ลูกสาวตระกูลจวงต่างสวมชุดเครื่องแบบของสำนักบัณฑิตสตรี เป็นชุดกระโปรงผ้าแพรสองชั้นด้านนอกสีเหลืองปากห่านด้านในสีขาว ช่วงเอวเข้ารูปอย่างพอดี เผยให้เป็นร่างอรชรของเด็กสาวอย่างชัดเจน
หากว่ากันด้วยหน้าตา จวงเมิ่งเตี๋ยนั้นคงชนะไปหนึ่งแต้ม แต่น่าเสียดายที่แม่หนูน้อยผู้นี้นั้นโสภาปัญญาน้อย ท่าทางกระโดกกระเดก
ส่วนจวงเย่ว์ซีนั้นจะบอกว่าไม่สวยก็คงไม่ได้ เพียงแต่หากเทียบกับหญิงรวยเสน่ห์อย่างกู้จิ่นอวี๋แล้ว นางยังห่างไกลอีกมาก
ทว่าเครื่องสำอางที่แต่งแต้มอย่างแสนประณีตและท่าทางสง่างามของนางนั้น กลับกลบรัศมีของจวงเมิ่งเตี๋ยจนมิด
นอกจากนั้นกู้เจียวยังสังเกตเห็นอีกว่า บนลำคอของจวงเย่ว์ซีนั้นมีผ้าพันคอผ้าชีฟอง
สายตาของกู้เจียวหยุดอยู่บนลำคอของจวงเย่ว์ซี จวงเย่ว์ซียกมือขึ้นกุมลำคอตามสัญชาตญาณ
“พี่ใหญ่มาหาหมอ แล้วพวกเราสองคนมาทำอะไร” จวงเมิ่งเตี๋ยบ่นพึมพำอย่างไม่สมอารมณ์นัก
แม่นางจะชอบตามติดพี่ใหญ่ไปทุกหนทุกแห่ง แต่เฉพาะก็ต่อเมื่อยามออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเรียน ข้าจะรอพี่ใหญ่” จวงเย่ว์ซีเอ่ยกับจวงเมิ่งเตี๋ย
อันจวิ้นอ๋องพูดกับน้องสาวทั้งสอง “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้าไปเรียนเถิด อย่าไปสายล่ะ”
จวงเย่ว์ซีถูนิ้วมือไปมา “เช่นนั้น… ท่านพี่จะมารับพวกข้าตอนบ่ายหรือไม่”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ข้ามีธุระ พลขับจะมารับพวกเจ้า”
จวงเย่ว์ซีมองกู้เจียว
นางรู้ดี
ท่านพี่ไม่ได้มาตั้งใจมาส่งพวกนางอย่างบริสุทธิ์ใจ
จวงเย่ว์ซีออกไปด้วยใบหน้าปั้นปึ่ง
กู้เจียวมองแผ่นหลังของนางที่เดินไกลออกไป ก่อนจะเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
อันจวิ้นอ๋องกินยาหมดแล้ว เขามาเพื่อรับยาและตรวจติดตามอาการ
ก่อนหน้านี้เขามาตรวจติดตามอาการแล้วหลายหน
“เจ้าไม่ต้องมาตรวจติดตามอาการบ่อยขนาดนี้ก็ได้” กู้เจียวเกือบจะพูดออกไปแล้วว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรเสียหน่อย
อันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางเอ่ย “ข้ามองเห็นแล้ว เมื่อคืนวานข้าดับเทียน ก็ยังมองเห็นอยู่เล็กน้อย”
หลายคืนก่อนยังเห็นยังรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสว่าง แต่จู่ๆ คืนเมื่อวานกลับเห็นเป็นเค้าโครงเลือนราง เขาเองก็ตื่นเต้นมาก
“ผ่านไปอีกสักช่วง เจ้าจะเห็นมากกว่านี้อีก” กู้เจียวเริ่มตรวจสายตาให้กับเขา
อันจวิ้นอ๋องของภาพบนแผ่นกระดาษแปลกประหลาดด้านหน้า ก่อนจะบ่นอุบอิบ “นั่นคือสิ่งใด คราวก่อนไม่เห็นมีสิ่งนี้”
“ตารางวัดสายตาน่ะ” นางทำขึ้นมาเอง
“ทำขึ้นเพื่อข้าโดยเฉพาะเลยหรือ” อันจวิ้นอ๋องตาเป็นประกาย
กู้เจียวเอ่ย “เจ้าต้องวัดสายตาเพื่อวัดผลการรักษาอย่างชัดเจน”
อันจวิ้นอ๋องอารมณ์ดีเป็นที่สุด “เพราะอย่างนั้นจึงทำขึ้นมาเพื่อข้าโดยเฉพาะสินะ”
กู้เจียว “…”
อันจวิ้นอ๋องตรวจติดตามผลเสร็จ ก็รับยาชุดใหม่ ก่อนจะออกไปอย่างเบิกบานใจ
ทั้งโรงหมอวุ่นตลอดจนเกือบเที่ยงวันถึงเริ่มซาลง ตอนเที่ยงกู้เหยี่ยนและนางกินข้าวที่โรงหมอ นางไปที่ห้องครัวเพื่อกำชับให้ทำอาหารสำหรับกู้เหยี่ยนแยกต่างหากอีกสองจาน
กู้เหยี่ยนกินอาหารรสจัดไม่ได้ ปกติแล้วคนในบ้านก็กินอาหารรสค่อนข้างอ่อนเพราะเป็นห่วงเขา แต่คนในโรงหมอนั้นต้องใช้แรงงาน หากไม่ได้กินรสจัดจ้านบ้างคงไม่กำลัง
“เช่นนั้นข้าจะผัดผักกับตุ๋นน้ำแกงปลานิลใส่เต้าหู้ให้ท่านชายกู้ดีหรือไม่” พ่อครัวถาม
“ได้เลย” กู้เจียวพอใจกับข้อเสนอเป็นอย่างมาก น่าจะพอดีนางกับกู้เหยี่ยนสองคนกิน
เมื่อออกมาจากครัว กู้เจียวไม่ได้ตรงกลับไปที่เรือนเล็ก แต่กลับเดินออกทางประตูหลังไปยังประตูหลังของสำนักบัณฑิตสตรี
ตอนนี้เป็นเวลาพักกินข้าวของสำนักบัณฑิตสตรี สำนักบัณฑิตสตรีมีโรงอาหาร แต่โรงอาหารไม่ได้อยู่ในรอบรั้วสำนัก จึงต้องเดินออกทางประตูหลังแล้วข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม
นั่นเป็นเหตุมาจากไม่สามารถกว้านซื้อที่ดินแปลงติดกันได้ จึงจำเป็นต้องสร้างโรงมหรสพบนพื้นที่ที่เดิมทีว่าจะสร้างโรงอาหาร
กลายเป็นว่าต้องเช่าห้องหนึ่งของร้านอาหารฝั่งตรงข้ามประตูหลังเพื่อเป็นโรงอาหารแทน
จวงเย่ว์ซีและจวงเมิ่งเตี๋ยเดินมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร
จวงเมิ่งเตี๋ยเศร้าซึมคอตก “เฮ้อ จะสอบอีกแล้ว น่าเบื่อชะมัด! หากตอนสอบเรานั่งด้วยกัน เจ้าให้ข้าลอกด้วยสิ”
จวงเย่ว์ซีเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ยึดตามลำดับคะแนนแล้ว สมองหมูเช่นเจ้าจะได้นั่งกับข้าหรือ”
จวงเมิ่งเตี๋ยเอ่ยเสียหงุดหงิด “พูดจาอะไรของเจ้า ข้าสมองหมูแล้วอย่างไรเล่า ก็ออกมาจากท้องเดียวกัน! ข้าเป็นหมู เจ้าก็เป็นเหมือนกัน!”
จวงเย่ว์ซีคร้านจะสนใจ ก่อนเดินผ่านหน้านางไป
จวงเมิ่งเตี๋ยไม่ยอมแพ้ วิ่งตึงตังไปขวางหน้านาง “เหอะ!”
นางวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่ายอมแพ้ไม่ได้ หากพวกนางทั้งสองคนได้นั่งด้วยกันเล่า สิ่งที่ควรได้ลอกก็ต้องได้ลอก
“ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะ…”
จวงเมิ่งเตี๋ยหมุนตัวกลับมา หมายว่าจะเถียงกับพี่สาวอีกสักหน่อย ทว่าบนถนนที่รถลาสัญจรพลุกพล่านนั้นไม่มีแม้แต่เงาของจวงเย่ว์ซี
“เกินไปแล้ว! ข้าก็ไม่อยากมีพี่เจ้าอย่างเจ้าเช่นกัน!”
จวงเมิ่งเตี๋ยกระทืบเท้าตึงตัง ก่อนจะเดินจากไปอย่างโมโห!
ภายในตรอกเล็กๆ ใกล้กับโรงหมอ จวงเย่ว์ซีถูกกู้เจียวผลักลงพื้น
จวงเย่ว์ซีล้มลงทั้งตัวร้องโอดโอย นางขมวดคิ้วมองกู้เจียว “ทำอะไรของเจ้า”
กู้เจียวเชิดหน้ามองต่ำลงมาที่นาง “เป็นเจ้าใช่หรือไม่”
แววตาของจวงเย่ว์ซีฉายแวววาบขึ้นมาครู่หนึ่ง “ข้าอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดเลยสักนิด!”
จวงเย่ว์ซียันกำแพงพยุงตัวลุกยืนขึ้นด้วยใบหน้าเฉยชา
“อย่างนั้นรึ” กู้เจียวค่อยยกมือขึ้น กระชากผ้าชีฟองบนลำคอของนางออก เผยให้เห็นบาดแผลใหม่ที่เพิ่งจะสมานกันดี
คราบเลือดบนปากแผลแข็งตัวติดกับผ้าชีฟอง ยามกู้เจียวก็กระชากผ้าออกมา สะเก็ดแผลก็ถูกกระชากออกตาม ทันใดนั้นเลือดสีแดงสดก็ไหลออกมา
กู้เจียวเป็นหมอ มองปราดเดียวก็รู้ว่าบาดแผลนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่ถึงสิบสองชั่วโมง
จวงเย่ว์ซีกุมบาดแผลพลางเดินถอยหลัง ก่อนจะมองกู้เจียวอย่างตื่นตระหนก
กู้เจียวและจวงเย่ว์ซีเพิ่งจะเคยพบกันครั้งแรกก็วันนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าจวงเย่ว์ซีแอบสังเกตการณ์นางมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นจะสืบจนรู้แจ้งว่าครอบครัวนางอาศัยอยู่ที่ไหนได้อย่างไร
กู้เจียวไม่สนใจว่าเหตุใดนางถึงคิดร้ายกับตัว นางไม่เคยบาดหมางกับจวงเย่ว์ซี แต่จวงเย่ว์ซีกลับหาเรื่องนางครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นนั้นแล้วปัญหาคงอยู่ที่ตัวจวงเย่ว์ซีเองแล้วล่ะ
นางก้าวไปข้างหน้า แววตาเยือกเย็น
จวงเย่ว์ซีไม่เคยเห็นสายตาน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน นางถอยหลังไปหลายก้าว
เพียงแต่ด้านหลังของนางนั้นคือกำแพง นางถอยจนหมดสิ้นหนทางแล้ว
เรียวนิ้วของกู้เจียวไล้ไปตามลำคอระหงของนาง ก่อนจะหยุดลงตรงปากแผลคู่หนึ่ง ราวกับเพียงแค่แรงแผ่วเบาก็สามารถหักคอของนางได้
นางสัมผัสลำคออีกฝ่ายอย่างเบามือ
ทว่าจวงเย่ว์ซีกลับรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ราวกับถูกอุดลมหายใจ
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “แม่หนู ข้าเห็นแก่หน้าของท่านย่าข้าและตระกูลจวง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง แต่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากเจ้ายังมาหาเรื่องข้าอีก ราคาที่ต้องจ่าย เจ้าจ่ายไม่ไหวหรอก”
เสียงของนางไม่ดังมาก แต่ทุกคำนั้นกลับทำให้จวงเย่ว์ซีสัมผัสได้ถึงความอันตราย
พูดจบนางก็ปล่อยมือจากจวงเย่ว์ซี ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา
จวงเย่ว์ซีพยายามลุกขึ้นนั่ง เหงื่อเย็นผุดซึมทั่วทั้งร่าง
นานกว่านางจะได้สติกลับคืนมา ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองขายหน้าต่อหน้าอีกฝ่าย นางโห่ร้อง “ท่านย่าของเจ้า…ท่านย่าของเจ้าก็แซ่จวงเหมือนกันแล้วอย่างไรเล่า… ท่านย่าข้าเป็นไทเฮา! เป็นถึงไทเฮา…”
กู้เจียวไม่แยแสนางแม้แต่นิด พลางเดินออกจากตรอกไป