บทที่ 235 ตบหน้า
ช่วงปลายเดือนสาม ทูตแคว้นเหลียงเดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นเจา

ราชเลขาหยวนและเอกอัครราชทูตรวมทั้งเซวียนผิงโหวก็มาต้อนรับถึงหน้าประตูเมืองด้วยตัวเอง

เดิมทีเซวียนผิวโหวไม่อยากมาสักเท่าไหร่ แต่คราวก่อนที่ถูกลงโทษให้คัดลายมือ เขาก็ยังคัดไม่เสร็จฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เข้าไปรับทูตแคว้นเหลียง และให้โทษคัดลายมือเป็นอันเลิกแล้วไป

เซวียนผิวโหวจึงต้องมายังประตูเมืองอย่างไม่เต็มใจนัก เขานั่งอยู่บนรถม้าด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย แม้แต่ราชเลขาหยวนยังทนมองไม่ไหว

ทว่าพอทูตแคว้นเหลียงมาถึง ท่าทีของเซวียนผิงโหวก็เปลี่ยนไปในพริบตา

เขาลงจากรถม้า พลางยืนด้วยท่าทางเคร่งขรึม ดูมีสง่าราศี มาดของเขาดูน่าเกรงขาม แต่ก็งดงามอ่อนช้อยในยามเดียวกัน

มิน่าล่ะฮ่องเต้ถึงได้ดึงดันให้เขามาต้อนรับทูตนัก เพราะใบหน้านี้ของเขาสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้กับแคว้นเจาได้จริงๆ

ขุนนางทั้งสองฝั่งทักทายกัน แต่ไหนแต่ไรมาเซวียนผิงโหวก็ไม่เคยรู้ขนบธรรมเนียมระหว่างสองแคว้นแม้แต่นิด จึงเป็นธรรมดาที่เขาไม่พูดอะไรมากในเวลาเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้คนนอกจึงกล่าวถึงเซวียนผิงโหวว่าเป็นคนเย็นชาและประหยัดถ้อยคำมาตลอด

ทูตแคว้นเหลียงเข้าพักที่จวนหลังหนึ่งของราชนิกุล อยู่ห่างจากวังหลวงไม่ไกลนัก

ในคืนนั้น ไท่จื่อเฟยจัดงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักฉีหลิน เพื่อต้อนรับทูตจากแคว้นเหลียงที่เดินทางมาไกล

“อ๋องเฟย อ๋องเฟย! ถึงเวลาตื่นแล้วเพคะ!”

รุ่ยอ๋องเฟยกำลังหลับฝันหวาน จู่ๆ ก็ถูกนางข้าหลวงเขย่าจนตื่นขึ้นมา

นางลืมตาโพลงในทันใด “มีอะไรหรือ เกิดอะไรขึ้น”

นางข้าหลวงสวี่เห็นท่าทางสะลึมสะลือของนางก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “คืนนี้มีงานเลี้ยง ท่านลืมไปแล้วหรือเพคะ ถึงเวลาตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วเพคะ”

“ยังเช้าอยู่เลยมิใช่หรือ” รุ่ยอ๋องเฟยมองท้องฟ้า ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ

หลังจากตั้งท้องนางก็ง่วงนอนมากกว่าแต่ก่อน ข้าหลวงสวี่ไม่กล้าบังคับนาง รอเฝ้าอยู่ข้างเตียง ปล่อยให้นางหลับอีกครึ่งชั่วยามถึงได้ปลุกนางให้ตื่นอีกครั้ง

รุ่ยอ๋องเฟยอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนเป็นชุดพิธีการยิ่งใหญ่อลังการของอ๋องเฟย สวมเครื่องประดับหรูหรา ก่อนจะเข้าวังหลวงไปด้วยใบหน้าปั้นปึ่ง

องค์ชายสามรุ่ยอ๋องมาถึงวังตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว คอยติดตามองค์ชายใหญ่หนิงอ๋องต้อนรับเหล่าทูตอยู่ตลอด

รุ่ยอ๋องเฟยเห็นเขาตั้งแต่ไกลพลางโบกมือให้เขา ทว่าเขากลับมองไม่เห็น

“อ๋องเฟย!” นางข้าหลวงสวี่กระซิบเตือน

รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า กฎระเบียบ กิริยา สำรวม”

บนบัลลังก์ของตำหนักฉีหลินมีฮ่องเต้ เซียวฮองเฮา และจวงกุ้ยเฟยประทับอยู่

ซูเฟยถูกกักบริเวณ เสียนเฟยก็ล้มป่วย ส่วนนางสนมอื่นก็ไม่มียศตำแหน่งสูงพอที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้

ภายในโถงใหญ่ของตำหนักที่ทอดยาว ฟากซ้ายมีทูตจากแคว้นเหลียงนั่งอยู่ ส่วนฟากขวาก็เป็นราชนิกุลและขุนนางใหญ่ของแคว้นเจานั่งเรียงราย

รุ่ยอ๋องเฟยนั่งบนส้นเท้าอยู่บนเบาะรอง ส่วนนางข้าหลวงสวี่นั่งทับขาบนพื้นไม้อยู่ด้านหลัง คอยปรนนิบัตินางอยู่ตลอด

รุ่ยอ๋องแวะมาหาได้เพียงไม่ทันไรก็ถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปอีกครั้ง คราวนี้ราชนิกุลของแคว้นเหลียงก็มาด้วยเช่นกัน องค์ชายแต่ละพระองค์พากันชิงดีชิงเด่นหมายให้ฮ่องเต้และเหล่าราชนิกุลจากแคว้นเหลียงได้เห็นหน้าค่าตาของตน

ไม่นานงานเลี้ยงฉลองก็เริ่มต้นขึ้น

งานเลี้ยงในคืนนี้ได้ไท่จื่อเฟยเป็นแม่งานทั้งหมด แม้รุ่ยอ๋องเฟยจะไม่ชอบขี้หน้าเวินหลินหลังมากสักเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่านางจัดงานได้ไม่เลวเลยทีเดียว

ตั้งแต่อาหารการกินไปถึงการประดับตกแต่ง แม้แต่บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ไปจนถึงการแสดงก็ล้วนแต่สมบูรณ์แบบไร้ที่สติ

หลังจากการแสดงตระการตามากมายจบลง ไท่จื่อเฟยก็จัดเตรียมการแสดงสุดพิเศษอีกชุดหนึ่ง “เพื่อเป็นการต้อนรับทูตทุกท่าน ต่อไปจะเป็นการบรรเลงฉินและขลุ่ย จากรุ่ยอ๋องเฟยแห่งแคว้นเจาของเราและปรมาจารย์ดนตรีอันดับหนึ่งแห่งวังหลวง ปรมาจารย์เซี่ย ในบทเพลง ‘อินทรีย์ผงะเงาตน’”

ช้าก่อน มิใช่การบรรเลงเดี่ยวหรอกหรือ

‘อินทรีย์ผงะ’ เป็นเพลงของแคว้นเจา เป็นผลงานประพันธ์ของเย่ว์อิ่ง ปรมาจารย์ดนตรีอันดับหนึ่งแคว้นทั้งหก บทประพันธ์เดิมแบ่งออกเป็นบทต้นและบทท้าย บทต้นชื่อว่า ‘อินทรีย์ผงะ’ บทท้ายชื่อว่า ‘เงาตน’

ทว่าเพลงท่อน ‘เงาตน’ นั้นได้หายสาบสูญไปแล้ว

ท่อนแรกของเพลงนี้เริ่มต้นด้วยการบรรเลงร่วมกันของฉินและขลุ่ยก็จริง แต่ขลุ่ยนั้นเหมาะกับการบรรเลง ‘อินทรีย์ผงะ’ มากกว่า ส่วนฉินโบราณนั้นก็เข้ากับท่อน ‘เงาตน’ มากกว่าเช่นกัน

หากบรรเลงฉินโบราณและขลุ่ยคู่กันใน ‘อินทรีย์ผงะ’ ฉินโบราณจะถูกขลุ่ยกลบแสงเอาได้ง่ายๆ

คนทั่วไปไม่มีทางรู้รายละเอียดพวกนี้ ในงานอาจมีเพียงรุ่ยอ๋องเฟยและเหล่าผู้มีพรสวรรค์ด้านดนตรีไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้

เวินหลินหลังจงใจทำให้นางนางอย่างนั้นหรือ

ความคิดแวบเข้ามาในหัวของรุ่ยอ๋องเฟย จากนั้นก็ได้ยินเสียงรายงานจากคนของวังหลวง “ปรมาจารย์เซี่ยเกิดหกล้มบาดเจ็บกะทันหัน ไม่สามารถมาร่วมงานไปพ่ะย่ะค่ะ”

แขกเหรื่อตื่นตกใจ

รุ่ยอ๋องเฟยนึกว่าประเดี๋ยวตนเองจะได้บรรเลงเดี่ยว แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดกันว่า ชายหนุ่มจากแคว้นเหลียงในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งจะลุกยืนขึ้น “ได้ยินมานานแล้วว่ารุ่ยอ๋องเฟยนั้นปรีชาสามารถด้านดนตรีไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ กระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ ขอรุ่ยอ๋องเฟยได้โปรดร่วมบรรเลงกับกระหม่อมสักหนึ่งบทเพลงได้หรือไม่”

“ท่านคือ…” ฮ่องเต้มองเด็กหนุ่มที่พรวดพราดขึ้นมาด้วยสายตาประหลาดใจ

อวี้ชินอ๋องแห่งแคว้นเหลียงแนะนำเขา “เขานามว่าอู๋หมิง เป็นลูกศิษย์สายตรงของใต้เท้าเย่ว์อิ่ง”

ทุกคนพากันตกตะลึง ความอิจฉาและความชื่นชมเผยออกมาทางแววตา

ใต้เท้าเย่ว์อิ่งเป็นตำนานที่เล่าขานท่ามกลางแคว้นทั้งหกมาตลอด ชั่วชีวิตของพวกเขาอาจไม่มีทางได้พบใต้เท้าผู้นี้ แต่การได้พบลูกศิษย์สายตรงของเขาก็นับว่าเป็นเกรียติอย่างยิ่งเช่นกัน

อ๋อ ที่แท้ไม่ได้จงใจขายขี้หน้านาง แต่ให้นางเป็นตัวประกอบของคนอื่นสินะ

ช่างใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างได้ยอดเยี่ยมแท้

รุ่ยอ๋องเฟยไม่สบอารมณ์นัก

อู๋หมิงยกขลุ่ยขึ้นแล้วประสานมือคำนับ “เชิญพ่ะย่ะค่ะ รุ่ยอ๋องเฟย”

รุ่ยอ๋องเฟยกัดฟันเอย “เอาฉินมา”

“เพคะ” นางข้าหลวงสวี่ออกไปหอบกล่องฉินด้านนอกตำหนัก

มีคนตระเตรียมโต๊ะยาวและเบาะรองนั่งไว้กลางตำหนักตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว

รุ่ยอ๋องเฟยประจำที่

นางข้าหลวงสวี่เปิดกล่องฉิน ก่อนจะต้องชะงักไป

นี่ไม่ใช่ฉินของรุ่ยอ๋องเฟย!

รุ่ยอ๋องเฟยเห็นนางนิ่งไป ก็เหลือบตามอง เพียงแค่เห็นเท่านั้น นางก็แทบจะเป็นลมหมดสติไป!

ฉินชิวเย่ว์ของนางหายไปไหน เหตุใดถึงกลายเป็นฉินฝูซีไปได้

ฉินทั้งสองแบบแค่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่เสียงนั้นไม่ต่างกันสักนิด ทว่านางนั้นคุ้นเคยกับฉินของตัวเอง นอกจากนั้นแล้วนางไม่เคยใช้ฉินที่ทำเลียนแบบขึ้นมา

ทว่านางนั้นจำได้ว่านี่คือฉินของกู้เจียว เพราะส่วนปลายตัวเรือนของฉินที่ถูกไฟไหม้นั้นสะดุดตาเหลือเกิน อีกทั้งตัวเครื่องของฉินยังแกะสลักคำว่าฝูซีอีกต่างหาก ปลอมกันถึงขนาดนี้ชักจะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

นางยังจำได้ดี

กล่องใส่ฉินเป็นของนาง

แน่นอนว่านางไม่ได้คิดว่ากู้เจียวอยากได้ฉินตัวนั้นของนาง จึงแอบสลับฉินของกันและกัน แต่ต้องเป็นเพราะขันทีน้อยคนนั้นที่ทำพลาดเป็นแน่!

“โธ่ แคว้นเจาของพวกเจ้ายากจนข้นแค้นถึงขั้นต้องใช้ฉินผุพังที่ถูกไฟครอกจนไหม้เกรียมเชียวหรือ”

นั่นเป็นคำพูดของแม่ทัพคนหนึ่งของแคว้นเหลียง ฐานะของแคว้นเหลียงนั้นเหนือกว่าแคว้นเจาอยู่แล้ว เหล่าทูตและขุนนางล้วนแต่ไม่เคยเห็นแคว้นเจาอยู่ในสายตา เพียงแค่คำพูดกระทบกระเทียบเพียงไม่กี่คำนั้นถือว่าเบาแล้ว

ขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่อยู่ข้างแม่ทัพร่วมผสมโรง “หากแคว้นเจาไม่มีฉิน แคว้นเหลียงของพวกข้าสามารถมอบให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน!”

เหล่าขุนนางพากันหัวเราะใหญ่ ทว่าเป็นเสียงหัวเราะปลอบใจ

รุ่ยอ๋องเฟยโมโหจนแทบอยากจะอัดพวกเขาให้น่วม!

สีหน้าของจวงกุ้ยเฟยพลันเปลี่ยน ดูไม่สู้ดีนัก

อันที่จริงนางเป็นคนแนะนำการแสดงนี้ให้กับไท่จื่อเฟย เพราะเห็นแก่หน้าตาเซียวฮองเฮาและเหล่านางสนมวังหลัง ไท่จื่อเฟยจึงไม่อาจปฏิเสธได้

นางเจตนาดี หวังว่ารุ่ยอ๋องเฟยจะได้แสดงฝีไม้ลายมือตาหน้าผู้คนในงานเลี้ยงฉลอง สร้างบรรยากาศครื้นเครงให้กับพวกเขา

ทว่านอกจากจะไม่ได้สร้างสีสันแล้วแต่กลับขายหน้าขายตาอีกต่างหาก

“ภรรยาขององค์ชายสามคิดอย่างไรของนางกัน ฉินดีๆ สักตัวก็ไม่มีเชียวหรือ”

จวงกุ้ยเฟยเดือดดาล

เซียวฮองเฮาเองก็โมโหไม่แพ้กัน แม้นางจะไม่ถูกกับหนิงอ๋องจนแทบอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องบาดหมางกันส่วนตัว มีอย่างที่ไหนถึงได้มาหักหน้ากันต่อหน้าแคว้นอื่นเช่นนี้

สีหน้าของฮ่องเต้ก็ถมึงทึงขึ้นมาแล้ว

นำฉินผุพังมาต้อนรับเหล่าทูตจากแคว้นเหลียงเช่นนั้น ขายขี้หน้ายังไม่เท่าไหร่ แต่จะกลายเป็นขี้ปากไปทั่วนี่สิ เดิมทีการเยือนครั้งนี้ของแคว้นเหลียง ก็มาเพื่อเย้ยหยันแคว้นเจาอยู่แล้ว ครานี้ยิ่งมีเหตุให้ถากถางกันสนุกปากยิ่งกว่าเดิม

“หม่อมฉันจะนำฉินมาเปลี่ยนให้เพคะ!” นางข้าหลวงสวี่เอ่ย

“ไม่ทันแล้วล่ะ” รุ่ยอ๋องเฟยส่ายหัว เสียหน้าไปแล้ว หากยังจะเปลี่ยนฉินอีกพวกเขาก็จะยิ่งได้ใจ พวกเราก็จะหน้าแตกยิ่งกว่าเดิม

รุ่ยอ๋องเฟยหลับตาลง ไม่สนใจว่าลูกศิษย์ของใต้เท้าเย่ว์อิ่งจะเต็มใจร่วมบรรเลงเพลงกับนางหรือไม่ นางก็เริ่มดีดท่อนแรกนำขึ้นมา

เพียงแค่ท่อนเดียว ก็พาให้คนทั้งงานตกตะลึง

อู๋หมิงได้สติกลับมาเป็นคนแรก เมื่อเขาเห็นรุ่ยอ๋องเฟยเริ่มดีดฉิน ก็ยกขลุ่ยในมือขึ้นมาแล้ววางจรดริมฝีปาก บรรเลงไปตามจังหวะของรุ่ยอ๋องเฟย

บทเพลงนี้อาจารย์ผู้มีพระคุณของอู๋หมิงเป็นผู้แต่ง อู๋หมิงฝึกซ้อมเพลงนี้มาไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว ที่เขาเป็นต่อเรื่องเครื่องดนตรีนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนเขากำลังบรรเลงนำ

เพราะไม่คุ้นเคยกับฉินตัวนี้ และเพราะจิตใจว้าวุ่น ในตอนแรกรุ่ยอ๋องเฟยจึงยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่

ทว่าผ่านไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวนางเองก็ถูกเสียงฉินขับกล่อมจนเคลิ้ม

มีฉินที่ดีดได้ดีเยี่ยมเช่นนี้ด้วยหรือ มีเสียงฉินที่ตราตรึงใจเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ

พริบตาเดียวเสียงของฉินฝูซีก็กลบเสียงของบรรเลงนำของขลุ่ย

สีหน้าของแต่ละคนนั้นล้วนแต่แตกต่างกันออกไป

เซียวฮองเฮาพึมพำ “นั่น นั่นมันฉินอะไรกัน… ตอนที่เจ้าไปแคว้นเหลียงเคยได้ยินฉินฝูซีที่ไพเราะเช่นนี้หรือไม่”

ตอนเป็นเด็กไท่จื่อเฟยเคยติดตามคณะทูตไปยังแคว้นเหลียง

ไท่จื่อเฟยมองรุ่ยอ๋องเฟยที่อยู่กลางตำหนักด้วยสายตายากอธิบาย “หม่อมฉันเคยเห็น แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ฟังเพคะ”

บทเพลงจบลง ทั้งตำหนักเงียบสงัดราวกับไร้ชีวิต เห็นได้ชัดว่าเพราะจับใจคนฟังเหลือเกิน ทุกคนต่างยังคงดำดิ่งอยู่ท่ามกลางเสียงฉินของรุ่ยอ๋องเฟย

ทันในนั้น ชินอ๋องแห่งแคว้นเหลียงก็ลุกยืนขึ้น พร้อมทั้งปรบมือให้กับรุ่ยอ๋องเฟยเป็นคนแรก “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!”

คำชมทั้งสองคำนั้นมอบให้รุ่ยอ๋องเฟย แม้บทเพลงจะไพเราะอยู่แล้ว แต่สัดส่วนของเสียงขลุ่ยนั้นมีไม่มากนัก ความสนใจของพวกเขาล้วนแต่ถูกเสียงฉินดึงดูดไปทั้งหมด

เหล่าคนที่เยาะเย้ยรุ่ยอ๋องเฟยเมื่อครู่ไม่กล้าแม้แต่จะปริปาก

หากนี่เรียกว่าฉินผุพัง เช่นนั้นใต้ฟ้านี้คงไม่มีฉินโบราณเหลืออยู่แล้ว

อู๋หมิงมองรุ่ยอ๋องเฟย ก่อนจะมองฉินโบราณตรงหน้านางอีกครั้ง “ฉินฝูซีเงาจันทร์ของอาจารย์ข้ายังไม่อาจเทียบได้กับฉินตัวนี้ ขอถามรุ่ยอ๋องเฟยได้หรือไม่ ฉินตัวนี้มาจากที่ใดหรือ”

ฉินฝูซีเงาจันทร์เป็นฉินจำลองที่สมบูรณ์แบบที่สุดในแคว้นทั้งหก หากยอดเยี่ยมกว่าฉินตัวนั้น จะเป็นฉินอะไรไปได้อีก ฉินฝูซีของจริงอย่างนั้นหรือ

หากคนอื่นพูดคงไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ แค่เขาคืออู๋หมิงลูกศิษย์สายตรงของปรมาจารย์เย่ว์อิ่ง

ฮ่องเต้พลันยิ้มขึ้นมาในทันใด

สะใภ้สามเป็นหน้าเป็นตาให้เขาอีกแล้ว

จะบอกไปว่าหยิบฉินมาผิดตัวก็คงไม่ได้

รุ่ยอ๋องเฟยคิดอยู่นานก่อนจะตอบน้ำเสียงจริงจัง “ยืมมาจากสหายคนหนึ่งน่ะ”

อู๋หมิง “สหายท่านนั้นคือ…”

รุ่ยอ๋องเฟย “ต้องขอโทษด้วย คงบอกท่านไม่ได้”

อู๋หมิงประสานมือคำนับ ก่อนจะกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

พอมีการแสดงแสนตราตรึงอารมณ์ของรุ่ยอ๋องเฟยและฉินฝูซีแล้ว การแสดงตระการตาที่ไท่จื่อเฟยตั้งอกตั้งใจเตรียมมาต่อท้ายก็กลายเป็นจืดชืดไปเสียหมด

ทุกคนจำได้เพียงฉินตัวนั้น และรุ่ยอ๋องเฟยผู้บรรเลงเพลงฉิน