บทที่ 236 คนสุดท้อง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 236 คนสุดท้อง
รุ่ยอ๋องเฟยแสดงได้ดีอย่างยอดเยี่ยม พลอยให้รุ่ยอ๋องได้หน้าได้ตาไปด้วย เพราะฮ่องเต้เรียกองค์ชายสามไปชมอยู่นานสองนาน

รุ่ยอ๋องปรีดายิ่งนัก

ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด อันที่จริงรุ่ยอ๋องดูเหมือนจะไม่ใช่คนโดดเด่นสะดุดตาที่สุด หากว่ากันเรื่องโดดเด่นแล้ว เขาก็สู้พี่ใหญ่อย่างหนิงอ๋องไม่ได้ หากว่ากันเรื่องความสำคัญ เขาก็สู้พี่รองอย่างไท่จื่อไม่ได้ หากว่าด้วยเรื่องความฉลาด เขาก็สู้องค์ชายสี่ไม่ได้ หากว่าด้วยเรื่องหน้าตา เขาก็สู้องค์ชายห้าไม่ได้

ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเป็นองค์ชายที่ถูกละเลยมองข้ามไปอย่างได้ง่ายดายมาโดยตลอด

ทว่าตั้งแต่ต้นปีนี้มา เหมือนว่าเขาจะโชคดีขึ้นมาแล้วกระมัง

“กลับไปอยู่เป็นเพื่อนชายาเจ้าเสีย ตั้งครรภ์นั้นลำบากนัก” ฮ่องเต้ตรัสกับรุ่ยอ๋อง แล้วเอ่ยต่อพูดอีกว่า “ใครเป็นคนจัดให้นางดีดฉินรึ คนกำลังท้องกำลังไส้เหนื่อยขึ้นมาจะทำเช่นไร”

จวงกุ้ยเฟยแย้มยิ้ม “ความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ ต่อไปนี้หม่อมฉันจะไม่ทำอีกแล้ว”

แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่เห็นด้วยที่ให้ชายาเจ้าสามซึ่งกำลังตั้งครรภ์มาดีดฉิน แต่วันนี้หากไม่ทำเช่นนี้ แคว้นเจาก็คงไม่ได้หน้าได้ตาหรอก

จวงกุ้ยเฟยก็เข้าใจในจุดนี้ดี ดังนั้นจึงยอมรับแต่โดยดี ส่วนเรื่องคุณูปการของไท่จื่อเฟยนั้น นางไม่เอ่ยถึงสักคำ

นี่นับว่าเกินความคาดหวังของไท่จื่อเฟยไปแล้ว

หากมองจากกลยุทธ์ ไท่จื่อเฟยใช้รุ่ยอ๋องเฟยเป็นตัวประกอบ การที่ให้นักสังคีตแคว้นเหลียงได้หน้าได้ตานั้นไม่ ใช่ว่าจะไม่ดีไปเสียหมด นี่เป็นพิธีการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และเป็นวิธีการที่แห่งแสดงถึงอำนาจความยิ่งใหญ่ด้วย

เมื่อแคว้นเหลียงพึงพอใจแล้ว การเจรจราหลังจากนี้ก็ยิ่งง่ายขึ้น

หากแต่ทำให้รุ่ยอ๋องเฟยได้รับความไม่เป็นธรรมก็เท่านั้น

ทว่าในฐานะที่เป็นสะใภ้ราชสำนัก ก็ต้องมีความตระหนักรู้ถึงการเสียสละเช่นนี้

แต่ผู้ใจจะไปคาดคิดกันว่ารุ่ยอ๋องเฟยจะนำฉินเก่ามา นี่เป็นการทำให้อีกฝ่ายอับอายขายขี้หน้าโดยไม่ต้องสงสัยเลย ให้ข้าเป็นตัวประกอบให้เจ้าใช่หรือไม่ ได้สิ เจ้าก็ใช้ฉินเก่าตัวนี้เป็นเพื่อนข้าด้วยแล้วกัน!

จุดพลิกผันนี้ไม่มีใครได้ทันคาดคิดมาก่อนเลย

ทว่าจุดหักมุมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก

ทูตแคว้นเหลียงใจหัวเต้นระรัว ช่างเป็นงานเลี้ยงต้อนรับอันยอดเยี่ยมเสียจริง

ส่วนเรื่องฉินข่มนั้นขลุ่ย นั้น นั่นก็มีเพียงรุ่ยอ๋องเฟยกับอู๋หมิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเสียงสัมผัสทางด้านดนตรีเท่านั้นที่จะเข้าใจ ในสายตาคนอื่น แคว้นเจาหยิบเอาเพลงชั้นเลิศเช่นนี้มาใช้ ย่อมแปลว่าให้ความสำคัญกับแคว้นเหลียงเป็นอย่างมาก!

งานเลี้ยงยอดเยี่ยมเช่นไรน่ะหรือ ก็เป็นเช่นงานเลี้ยงครั้งนี้อย่างไรเล่า!

หลังจากงานเลี้ยงผ่านพ้นไป

รุ่ยอ๋องเฟยเดินออกไปทางด้านนอกพร้อมกับนางข้าหลวงสวี่ คืนนี้ฮ่องเต้พออกพอใจยิ่ง จึงดื่มไปมากมายอย่างเลี่ยงไม่ได้ รุ่ยอ๋องส่งพระองค์กลับตำหนักบรรทมแล้วก็ไปรวมตัวกับรุ่ยอ๋องเฟยนอกประตูตำหนัก

เพิ่งจะเดินออกจากตำหนักฉีหลิน เสียงอันคุ้นหูก็เรียกนางไว้ “รุ่ยอ๋องเฟยโปรดช้าก่อน”

รุ่ยอ๋องเฟยหันกลับมา

นางข้าหลวงสวี่ที่หอบฉินอยู่ก็หยุดฝีเท้าเช่นกัน

ผู้มาใหม่คืออู๋หมิง

อู๋หมิงดูเหมือนจะอ่อนเยาว์ขึ้นภายใต้แสงเทียน อาจเป็นเพราะเพิ่งมาใหม่จึงมีอาการเกร็งๆ ในงานเลี้ยงอย่างยากจะเลี่ยง พอออกจากงานเลี้ยงมาเขาจึงได้ผ่อนคลายลง

เขาคำนับให้รุ่ยอ๋องเฟย

ในบรรดาหกแคว้น ธรรมเนียมของแคว้นเหลียงกับแคว้นเจาค่อนข้างคล้ายกัน นี่อาจเป็นเพราะการส่งออกแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของแคว้นเหลียงกับแคว้นเจาก็เป็นได้

รุ่ยอ๋องเฟยผงกหัวให้เล็กน้อย ถือเป็นการคำนับคืน “ใต้เท้าอู๋หมิงมีธุระอะไรหรือ”

ท่าทางหยิ่งยะโสก่อนร่วมบรรเลงเพลงของอู๋หมิงได้เปลี่ยนแปลงไป เขายกมือขึ้นประสานพลางเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “รุ่ยอ๋องเฟยเรียกข้าว่าอู๋หมิงก็พอพ่ะย่ะค่ะ”

รุ่ยอ๋องเฟยพยักหน้าให้เล็กน้อยๆ

ฟังน่ะฟังแล้ว แต่จะเรียกหรือไม่นั้นอีกเรื่อง

อู๋หมิงมองฉินในมือนางข้าหลวงสวี่ “ไม่ทราบว่ารุ่ยอ๋องเฟยขายฉินตัวนั้นให้ข้าได้หรือไม่”

รุ่ยอ๋องเฟยถูกคำร้องขอกะทันหันของเขาทำเอาชะงักงันไป นางพินิจมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แล้วเอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วว่านี่เป็นฉินของสหายข้า”

นางจะขายฉินของสหายได้อย่างไรกัน

คนผู้นี้แม้แต่หลักเหตุและผลยังไม่เข้าใจเลยหรือไร

ช่างเป็นคำร้องขอที่ไร้มารยาทนัก!

ไม่ใช่ว่าอู๋หมิงไม่รู้ว่าความต้องการของตัวเองมันไร้เหตุผลมาก แต่เขาอยากได้ฉินตัวนี้มากจริงๆ “ขอรุ่ยอ๋องเฟยบอกแทนข้าทีว่าเรื่องราคานั้นคุยกันได้”

รุ่ยอ๋องเฟยมองเขาเหมือนมองคนโง่ แล้วหันหลังเดินจากไป

อู๋หมิงมองแผ่นหลังนาง “รุ่ยอ๋องเฟย ข้าน้อยอยากได้ฉินนั้นจริงๆ ขอรุ่ยอ๋องเฟยช่วยเหลือด้วย!”

รุ่ยอ๋องเฟยไม่มีทางทำเรื่องที่ทำให้กู้เจียวต้องลำบาก นี่เป็นฉินที่ดี หากกู้เจียวอยากขายก็คงขายไปนานแล้ว

ในสำนักศึกษาสตรีที่อยู่ข้างๆ ล้วนเป็นพวกคุณหนูตระกูลดังทั้งสิ้น กู้เจียวไม่มีทางกังวลว่าจะขายฉินไม่ออกเลยสักนิด

“อู๋หมิงผู้นี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง!” รุ่ยอ๋องเฟยเดินออกไปอย่างโมโห

อู๋หมิงมองแผ่นหลังนางอย่างไม่พอใจ

อวี้ชินอ๋องและชายาแห่งแคว้นเหลียงเดินออกมาจากในตำหนัก เห็นเขาร้องตะโกนโวยวายใส่รุ่ยอ๋องเฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้

อู๋หมิงเป็นนักสังคีตในราชสำนักแคว้นเหลียง ได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์ของแคว้นเหลียงมาก ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ติดตามพวกเขา แต่หากว่ากันเรื่องคบค้ากันทางการเมืองนั้นเขาช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด

เขามาเพื่อเล่นดนตรีล้วนๆ เลย

อวี้ชินอ๋องเอ่ยสีหน้าเคร่งขว่า ึม “อู๋หมิง ระวังฐานะของตัวเองหน่อย นี่มันแคว้นเหลียงนะ”

อู๋หมิงหันกลับมาประสานมือคำนับให้ “ท่านอ๋อง อ๋องเฟย กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว”

“เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับรุ่ยอ๋องเฟยรึ” อวี้ชินอ๋องเฟยถามขึ้น

อวี้ชินอ๋องเฟยเป็นสตรีที่เคร่งขรึมและอ่อนโยน นิสัยไม่ได้เย็นชาเหมือนอวี้ชินอ๋อง

อู๋หมิงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากซื้อฉินตัวนั้นของรุ่ยอ๋องเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

อวี้ชินอ๋องเฟยไม่ได้ถามเขาว่าเสนอคำขอไร้มารยาทเช่นนี้ออกไปได้อย่างไร แต่กลับพูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยากได้ฉินตัวนั้นนัก”

อู๋หมิงตอบว่า “ข้าสงสัยว่านั่นจะเป็นฝูซีจริงๆ แต่ดูจากปฏิกิริยาของรุ่ยอ๋องเฟยแล้ว คล้ายว่านางเองก็จะไม่รู้”

หากรู้ว่านั่นเป็นฝูซีจริง จะให้คนรับใช้หอบไว้อยู่หรือ

นางทำกับฉินตัวนั้นเหมือนกับฉินธรรมดาทั่วไปเลย ในสายตาไร้ซึ่งการโอ้อวดแม้แต่น้อย

คนอื่นๆ ในแคว้นเจาก็น่าจะไม่รู้

“เจ้าแน่ใจหรือ” อวี้ชินอ๋องเฟยถาม

อู๋หมิงพยักหน้า “ข้าแน่ใจ ที่อาจารย์สามารถทำฉินเลียนแบบที่ดีที่สุดออกมาได้ ก็เพราะเขาเคยเห็นฉินฝูซีของแท้มาก่อน และเคยได้ยินเสียงของฉินฝูซีมาก่อนด้วย ตอนนั้นข้ายังเด็กจึงไม่ได้เข้าไปดู ได้แต่ยืนฟังหนึ่งบทเพลงตาปริบๆ อยู่นอกม่าน ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยลืมเสียงฉินนั้นเลย”

อวี้ชินอ๋องเฟยฉงน “แต่ฉินฝูซีถูกเผาได้อย่างไร ไหนจะคำว่าฝูซีอีก”

อู๋หมิงครุ่นคิด แล้วเอ่ยเดาว่าว่า “สองคำนั้นน่าจะสลักไว้ด้านหลัง ส่วนเพราะเหตุใดจึงโดนเผาจนเกรียมไปส่วนหนึ่ง….ข้าก็ไม่ทราบ”

มีคนเอาฉินฝูซีมาเผาแทนฟืนอย่างนั้นรึ

คงไม่ใช่คนทำลายข้าวของเพียงนั้นหรอกกระมัง

อวี้ชินอ๋องเฟยมองไปยังอวี้ชินอ๋อง “หรือว่ารุ่ยอ๋องเฟยจะรู้จักกับเจ้าของฉินฝูซี”

อวี้ชินอ๋องขมวดคิ้ว “ไม่รู้สิ”

เขามองไปยังอู๋หมิง “เจ้าเคยเจอเจ้าของฉินฝูซีหรือไม่”

อู๋หมิงส่ายหน้าอย่างเสียดาย “ไม่เคย แต่อาจารย์เคย ซ้ำยังวาดรูปเหมือนของอีกฝ่ายไว้ไม่น้อยด้วย หากแต่อาจารย์เห็นรูปเหมือนเหล่านั้นเป็นดั่งของล้ำค่ามาโดยตลอด จึงไม่อนุญาตให้พวกเราได้แอบดูเลย”

อวี้ชินอ๋อง “เป็นชายหรือหญิงก็ไม่รู้หรือ”

อู๋หมิงแบมือ “ข้าก็ไม่รู้”

อวี้ชินอ๋องปวดหัว

หากเป็นฉินฝูซีจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็คงเกิดความคิดเปลี่ยนใจมากทีเดียว

ใครๆ ก็รู้ว่ากษัตริย์แคว้นเหลียงชอบดนตรี หากสามารถเอาฉินฝูซีมาไว้ในมือได้ ต้องได้รับความพอพระทัยจากกษัตริย์แห่งแคว้นแน่

อวี้ชินอ๋องเฟยมองสามี แล้วดึงแขนเขาแกว่งไปมา “จะใช้ไม้แข็งไม่ได้”

สีหน้าอวี้ชินอ๋องพลันอ่อนโยนขึ้น เขายิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ๆ อ๋องเฟยวางใจได้ ข้าไม่มีทางใช้ไม้แข็งแน่นอน”

อวี้ชินอ๋องเฟยครุ่นคิดแล้วยังคงรู้สึกว่าไม่เหมาะอยู่ดี “ได้ฟังบทเพลงจากฉินฝูซีได้สักบทนับเป็นวาสนาแล้ว อย่าไปรบกวนคนเขาเลยดีกว่า”

“เจ้าก็ชอบฉินด้วยมิใช่หรือ ข้าซื้อให้เจ้าเอง!” ไม่ให้กษัตริย์แล้ว! อวี้ชินอ๋องขึ้นชื่อเรื่องรักภรรยายิ่งนัก

อวี้ชินอ๋องเฟยส่ายหน้า “กษัตริย์ไม่แย่งชิงสิ่งดีๆ ของคนอื่น”

อวี้ชินอ๋องกุมมือชายาไว้ “ได้ ตามใจเจ้า!”

อู๋หมิงสีหน้าสับสน ไม่สิ ท่านอ๋อง ท่านไม่มีหลักการที่ยึดมั่นเช่นนี้จะดีรึ

อวี้ชินอ๋องเฟยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ดึกมากแล้วกลับไปดูหมิงเอ๋อร์ดีกว่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

หมิงเอ๋อร์เป็นโอรสของอวี้ชินอ๋อง ปีนี้สิบชันษาแล้ว และตามมาที่แคว้นเจาด้วย

อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี้ชินอ๋องและชายามาเยือนแคว้นเจา เมื่อห้าปีที่แล้วทั้งคู่ก็เคยมาแล้ว ตอนนั้นอวี้ชินอ๋องเฟยยังไม่ตั้งครรภ์เลย

ระหว่างทางถึงพบว่าตั้งครรภ์ จะส่งกลับไปก็ไม่ทันแล้ว แถมอวี้ชินอ๋องก็ไม่วางใจให้นางกลับไปคนเดียวด้วย

ทั้งคู่จึงพักอยู่ที่แคว้นเจากันสักระยะ คณะทูตกลับกันหมดแล้ว ทั้งคู่ยังคงพักกันต่อ กะว่าจะคลอดลูกก่อน ครบเดือนแล้วค่อยกลับแคว้นเหลียง

เมื่อสี่ปีก่อนอวี้ชินอ๋องเฟยคลอดโอรสที่แคว้นเจา แต่ว่ากันว่าคลอดมาแล้วก็สวรรคตก่อนวัยอันควร

ยามนี้ลูกที่ชื่อหมิงเอ๋อร์เป็นลูกคนสุดท้องของทั้งคู่

เคยสูญเสียลูกไปคราหนึ่ง จึงได้รักใคร่ลูกคนนี้เป็นพิเศษ

คราก่อนตอนมาแคว้นเจาไม่ได้พาเขามาด้วย แต่ครานี้พามาแล้ว

เด็กคนนี้ก็ใจสู้ยิ่งนัก อย่าเห็นแค่เขาอายุแค่สิบขวบ แต่เป็นเด็กอัจฉริยะตัวน้อยที่เก่งและฉลาดคนหนึ่ง ร่ำเรียนตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าหมดแล้ว และนับว่าร่ำเรียนได้ยอดเยี่ยมด้วย

เสียก็แต่บอบบางเกินไปหน่อย ร่างกายอ่อนแอ หลายวันก่อนอวี้ชินอ๋องพาเขาไปแข่งม้าข้างนอก กลับมาก็เริ่มไอโขลกเสียแล้ว

อวี้ชินอ๋อง “เจ้าอย่าห่วงหมิงเอ๋อร์เลย อีกเดี๋ยวเขาก็ดีขึ้นแล้ว”

อวี้ชินอ๋องเฟย “ต่อไปนี้ท่านอย่าได้พาเขาไปดูแข่งม้าอีกนะ ลมแรงนัก”

อวี้ชินอ๋อง “ทราบแล้ว ทราบแล้ว!”

เสียงสองสามีภรรยาค่อยๆ ไกลออกไป อู๋หมิงทอดถอนใจ และเดินตามออกจากวังไป