บทที่ 237.1 ตามหาหมอ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 237 ตามหาหมอ (1)
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ไท่จื่อเฟยก็กลับมาที่ตำหนักบูรพา

สีหน้าของไท่จื่อค่อนข้างกลัดกลุ้ม

“ฝ่าบาท” ไท่จื่อเฟยเดินไปหา “กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”

ไท่จื่อทอดถอนใจ “หมู่นี้เจ้าสามได้หน้าได้ตาขึ้นเยอะเลย”

อันที่จริงไม่ใช่เรื่องเจ้าสามได้หน้าได้ตาขึ้นเยอะหรอก เป็นเขาที่ได้หน้าได้ตาน้อยลงต่างหาก รุ่ยอ๋องไม่น่ากลัว เพราะไม่มีจิตใจทะเยอะทยาน มีแค่ปณิทธานจะติดตามหนิงอ๋องเท่านั้น

ทว่ายิ่งเจ้าสามได้รับความโปรดปรานมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งทำให้หนิงอ๋องได้รับความสนใจจากฮ่องเต้มากขึ้นเท่านั้น

เดิมทีโอรสคนโตก็ไม่เหมือนกับองค์ชายคนอื่นๆ อยู่แล้ว

ฮ่องเต้ลงใต้พาหนิงอ๋องไปด้วย ทิ้งเขาไว้ปกครองราชสำนัก ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับประโยชน์ แต่ระหว่างทางบิดาเมตตาส่วนบุตรกตัญญู ใครกันที่มันบอกว่าใจฮ่องเต้ไม่มีทางลำเอียงไปให้โอรสคนโตได้

ไท่จื่อเฟยมองเขาด้วยความจริงใจ “ฝ่าบาทอย่ากังวลไป ทูตแคว้นเหลียงมาถึงแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่ฝ่าบาทจะได้แสดงผลงานให้เสด็จพ่อได้เห็น ฝ่าบาทต้องได้รับความพอพระทัยจากเสด็จพ่อมากกว่าคนอื่นแน่ หม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทเอง”

ทว่าหลังจากรุ่ยอ๋องเฟยออกจากวังไปก็กะว่าจะไปหากู้เจียว แต่ดึกเพียงนี้แล้ว นางคิดว่ากู้เจียวน่าจะกลับไปแล้ว จึงได้ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ค่อยไปหานางดีกว่า

ทางกู้เจียวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางก็ไม่ได้อยู่ที่โรงหมอจริงๆ ยามนี้นางยืนรอเซียวลิ่วหลังเลิกเรียนอยู่ใต้ต้นตั๊กแตนหน้าประตูใหญ่ของกั๋วจื่อเจียน

วิชาภาคค่ำหลักๆ แล้วอาจารย์จะตอบข้อสงสัยให้ ส่วนเหล่าบัณฑิตก็อ่านตำรากันเอง หากมีคำถามก็ไปถามอาจารย์ที่แท่นสอน ไม่มีคำถามก็นั่งที่ตัวเองทำโจทย์ไป

ยามนี้เลิกเรียนภาคค่ำแล้ว เหล่าบัณฑิตจึงทยอยออกมาจากกั๋วจื่อเจียน

มีหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากับกู้เจียวดี

กู้เจียวไม่เขินอายเพราะใบหน้าของตนเอง นางมักจะมาส่งเสี่ยวจิ้งคงกับเซียวลิ่วหลังที่โรงเรียน ส่วนเสี่ยวจิ้งคงกับเซียวลิ่วหลังยิ่งไม่เคยรู้สึกอับอายเพราะดวงหน้าของกู้เจียว ทั้งยังอยากคนรู้ว่านางเป็นพี่สาวและภรรยาของพวกเขาอย่างเปิดเผย

แรกๆ ทุกคนเห็นกู้เจียวแล้วก็ต่างสนใจใคร่รู้กับใบหน้านาง จะมีมองอยู่สักแวบสองแวบบ้าง แต่ไม่เดินมาทักทายนางตรงๆ

ทว่าคนที่ผงกหัวคำนับให้กู้เจียวนับวันกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ตามชื่อเสียงที่โด่งดังของเซียวลิ่วหลังในกั๋วจื่อเจียน

กู้เจียวรู้สึกว่าสถานะทางสังคมของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจากที่นางรักษาคนป่วย แต่เป็นชื่อเสียงที่เซียวลิ่วหลังร่ำเรียนได้โดดเด่น บรรดาท่านชายและชนชั้นสูงผู้สูงส่งในกั๋วจื่อเจียนจึงได้ยอมมองสตรีชนบทที่มาจากบ้านนอกนางนี้ตรงๆ

อย่ามองว่าเป็นการทักทายง่ายๆ เพราะนี่เป็นการข้ามชนชั้นเลยทีเดียว

มีคนไม่น้อยที่ชั่วชีวิตนี้ก็ทำลายกำแพงชนชั้นเหนือหัวไม่ได้

ดังนั้นในสมัยโบราณ การเรียนเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดต่อการพลิกชะตาชีวิตของคนคนๆ หนึ่งได้

ไม่ได้หมายความว่าชาวไร่ชาวนาหรือพ่อค้านั้นไม่ดี แต่ความสำเร็จที่แท้จริงก็ยังคงต้องอาศัยการเรียนอยู่ดี

“ห้องไซว่ซิ่งเลิกเรียนกันแล้ว แต่มีบัณฑิตหลายคนกำลังขอคำชี้แนะจากเซียวฮุ่ยหยวนอยู่ เจ้าอาจจะต้องรออีกหน่อยนะ” บัณฑิตคนหนึ่งเห็นกู้เจียวรอนานแล้ว จึงบอกกับกู้เจียวด้วยเจตนาดี “เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าไปแจ้งเซียวฮุ่ยหยวนให้ดีหรือไม่”

กู้เจียวเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ขอบคุณมาก ข้าไม่รีบ”

“เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะ!” บัณฑิตคนนั้นเอ่ยจบก็เดินจากไป

กู้เจียวรอเซียวลิ่วหลังต่อ

เซียวลิ่วหลังไม่รู้ว่ากู้เจียวรอเขาอยู่ข้างนอก เขากำลังอธิบายจุดสำคัญที่ไม่เข้าใจในคาบเรียนวันนี้กับพวกบัณฑิตอยู่ และมีบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากห้องไซว่ซิ่งมาฟังเขาด้วย

ความก้าวหน้าของทุกชั้นปีล้วนแตกต่างกัน แต่เซียวลิ่วหลังอธิบายให้พวกเขาฟังเข้าใจได้หมด ชั้นปีสูงๆ ก็ไม่รู้สึกว่าชัดเจนเข้าใจง่าย ชั้นปีต่ำน้อยๆ กว่าก็ไม่รู้สึกว่าลึกซึ้งเกินไป ทุกคนต่างเก็บเกี่ยวกันได้หมด

เซียวลิ่วหลังก็ไม่ใช่ว่าเก่งแบบนี้ตั้งแต่แรก

เขาทั้งต้องสอนเสริมพิเศษให้เด็กบ้าเรียนที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเสี่ยวจิ้งคง และต้องสอนเสริมพิเศษให้แก่เด็กเรียนแย่ที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างอย่างกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นด้วย จึงค่อยๆ ฝึกทักษะการทำความเข้าใจในเชิงลึกของหัวข้อง่ายๆ ส่วนหัวข้อที่ซับซ้อนก็จะย่อยให้ง่ายขึ้น

ใกล้จะถึงการสอบระดับเตี้ยนซื่อแล้ว เวลาของทุกคนพอไม่พอไม่ต้องพูดถึง คนที่เข้าร่วมการสอบระดับเตี้ยนซื่อล้วนเป็นคู่ต่อสู้กันทั้งนั้น ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ไม่มีใครอยากจะช่วยเพื่อนร่วมชั้นยกระดับวิชาความรู้หรอก

แรกๆ เซียวลิ่วหลังแค่สอนหลินเฉิงเยี่ยกับเฝิงหลิน บางครั้งเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขาสองคนก็มาถามคำถามกับเซียวลิ่วหลัง เซียวลิ่วหลังตอบคำถามอย่างใจเย็น จากนั้นคนที่มาหาเซียวลิ่วหลังก็ค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่บัณฑิตเก่าในไซว่ซิ่งถังยังมาขอคำชี้แนะจากเขา

เซียวลิ่วหลังมีข้อดีอย่างหนึ่งคือตอนสอนไม่มีความรู้สึกส่วนตัว ไม่เคยกังวลว่าสอนไปแล้วคนอื่นจะได้ดีกว่าตนแล้วมาแย่งอันดับของตนไป

เขาไม่ได้วางมาดแต่อย่างใด

แน่นอนว่าหน้าตาก็ดี มองแล้วเจริญหูเจริญตา ซ้ำน้ำเสียงก็น่าฟัง

สรุปคือจึงมีคนมาฟังเซียวลิ่วหลังอธิบายมากขึ้นเรื่อยๆ

เหล่าคนที่คิดว่าเขาอาศัยดวงดีโชคช่วย นับวันก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน ทั้งความฉลาดเฉลี่ยว การวางตัวและนิสัยใจคอของเขาล้วนน่าชื่นชมเลื่อมใสอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าใช่ว่าเขาจะให้ความสนใจไปเสียทุกคน

อย่างมีบัณฑิตจากสำนักบัณฑิตศึกษาสตรีมาขอคำชี้แนะด้วยความชื่นชมในชื่อเสียงของเขา กลับถูกเขาหันหน้าหนีอย่างไร้การสงวนท่าทีเลยสักนิด คนที่ร้องห่มร้องไห้ตรงนั้นก็มีไม่น้อย และสาบานว่าจะไม่ไปหาเขาอีก

“เหอะ ไอ้เด็กบ้านนอกยากจนคนหนึ่งมีอะไรให้น่าลำพองกัน มาขอให้เจ้าชี้แนะเพราะเจ้าน่าเลื่อมใส! คิดเสียเป็นจริงเป็นจังว่าตัวเองโด่งดังเป็นที่สนใจเสียแล้ว!”

“นั่นสิ! อันจวิ้นอ๋องยังไม่ลำพองเท่าเจ้าเลย!”

หมู่นี้อันจวิ้นอ๋องปรากฏตัวที่โรงหมอบ่อยครั้ง ถูกบรรดาคุณหนูของสำนักบัณฑิตศึกษาสตรีพบเห็นอยู่หลายหน มีคนไปขอคำชี้แนะจากเขา เขาสามารถอธิบายได้ก็อธิบายอย่างเต็มที่ อธิบายไม่ได้ก็บอกขอโทษไปอย่างเกรงอกเกรงใจว่าไม่สะดวก

ทั้งคู่อยู่อันดับหนึ่งในการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิ จึงโดนคนเอามาเปรียบเทียบกันอย่างยากที่จะเลี่ยง

“ดูสิ นี่ต่างหากคือสิ่งที่ท่านชายราชนิกุูลพึงมี!”

ชื่อเสียงของเซียวลิ่วหลังในเมืองหลวงจึงแตกเป็นสองเสียง บัณฑิตที่กั๋วจื่อเจียนคิดว่าเขาเข้าถึงง่ายไม่หวงวิชา บัณฑิตที่สำนักบัณฑิตศึกษาสตรีกลับด่าเขาว่าเป็นไอ้เป๋ที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน พอมีผลงานเข้าหน่อยก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

“วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ข้าควรกลับบ้านแล้ว ทุกคนก็กลับไปพักผ่อนได้แล้ว” เซียวลิ่วหลังอธิบายจุดสำคัญจบไปอีกข้อแล้วก็ปิดตำราลง

ทุกคนต่างรู้ว่าบ้านเขามีแม่นางน้อยนางคนหนึ่ง เขากลัวว่าแม่นางน้อยจะรอนาน

ทุกคนต่างไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวและไม่รู้จักกาลเทศะ เซียวลิ่วหลังยินดีสละเวลามาอธิบายคำถามให้พวกเขาก็ไว้หน้ากันมากแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะรั้งเซียวลิ่วหลังไว้ที่นี่

“ท่านพี่เซียว ขอบคุณยิ่งนัก”

“ขอบคุณท่านพี่เซียวมาก”

ทุกคนพากันขอบคุณเขา

เขามีอายุน้อยที่สุด แต่โดนเรียกว่าท่านพี่เพราะความเคารพ

เซียวลิ่วหลังผงกหัวให้ แล้วถือไม้เท้าเดินออกมาจากกั๋วจื่อเจียน

เขามองปราดเดียวก็เห็นกู้เจียว แววตาขยับไหว เดินไปหาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามาอย่างไรรึ รอนานหรือยัง”

“ไม่เลย เพิ่งถึงเอง” กู้เจียวส่ายหน้า

เซียวลิ่วหลังมองหลุมดินน้อยๆ ที่ถูกนางใช้เท้าขุดออกมา แล้วแสร้งทำเป็นเชื่อ

เขาเอาตะกร้าน้อยด้านหลังนางมาสะพายให้

นี่หากว่าเป็นชาติก่อนคงช่วยแฟนสาวสะพายกระเป๋าโดยไม่กังวลว่าจะมีใครหัวเราะเยาะเขาเลยสักนิดล่ะสิ

กู้เจียวคิดแล้วมีความสุขไม่น้อย

“ให้เจ้า”

จู่ๆ เซียวลิ่วหลังก็ส่งของบางอย่างที่มีกระดาษสีน้ำตาลห่ออยู่มาให้

“อะไรรึ” กู้เจียวรับมาเปิดห่อกระดาษหนังวัวออกทีละชั้น พบว่าด้านในเป็นเนื้อตากแห้งเคลือบน้ำตาล

กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ให้เจ้า” เซียวลิ่วหลังมองไปข้างหน้าโดยไม่เบนสายตาไปไหน “ชอบกินมิใช่หรือไร”

เนื้อแดดเดียวนี้บัณฑิตจากห้องไซว่ซิ่งเป็นคนให้มา เนื้อตากแห้งที่เคลือบน้ำตาลเช่นนี้เป็นตำรับลับเฉพาะตระกูลของบ้านพวกเขา มีเนื้อจริงๆ กับเนื้อที่ทำจากผัก ไม่ได้ทำขาย แค่ทำให้พวกเด็กๆ ที่บ้านกิน

เมื่อหลายวันก่อนเซียวลิ่วหลังได้สอนหนังสือให้กับเขา เพื่อแสดงคำขอบคุณ เขาจึงให้เนื้อแดดเดียวสองชิ้นนี้มา เนื้อจริงๆ ชิ้นหนึ่ง เนื้อจากผักชิ้นหนึ่ง

เซียวลิ่วหลังจึงเอากลับมาให้กู้เจียว

กู้เจียวแบ่งให้หญิงชราและน้องชายทั้งสาม ส่วนตัวเองชิมเศษเนื้อเคลือบน้ำตาลคำเล็กๆ ที่ติดอยู่กับกระดาษห่อ

หืม เหตุใดจึงได้อร่อยเช่นนี้

กู้เจียวที่ไม่ค่อยสนใจกับอาหารการกินเท่าใดนัก ยังตกตะลึงกับรสชาตินี้

แต่กู้เจียวไม่ได้เอ่ยออกไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเห็น

“ซื้อที่ไหนรึ” นางถาม

“เพื่อนร่วมชั้นให้มาน่ะ” เขาตอบ

ความจริงคือเขาไปขอมาจากเพื่อนร่วมชั้น

เนื้อประเภทนี้ทำค่อนข้างยาก คราก่อนขอไป วันนี้จึงทำมาให้

นึกไม่ถึงว่าเซียวฮุ่ยหยวนผู้สูงส่งจะมีความปรารถนาเรื่องปากท้อง ไปขอกินเนื้อกับเพื่อนร่วมชั้นตัวเอง ไม่กลัวว่าลือออกไปแล้วคนอื่นจะขบขันบ้างเลย

ของที่คนอื่นให้มา กู้เจียวหักใจกินไม่ค่อยได้

เซียวลิ่วหลังก็รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจึงบอกนางว่า “ข้าแบ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว ชุดนี้ของเจ้า”

กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ใช้มือสองข้างจับกระดาษสีน้ำตาล แล้วหักเนื้อแห้งเป็นสองท่อน ก่อนส่งชิ้นใหญ่ให้เขา “เจ้าก็กินด้วยสิ”

เซียวลิ่วหลังไม่ได้ปฏิเสธ เขาจับกระดาษไว้พร้อมกับหยิบเนื้อแดดเดียวออกมา

กู้เจียวเริ่มเสพสุขกับอาหารรสเลิศของตัวเอง

เดิมทีเนื้อแดดเดียวทั้งเผ็ดทั้งชา ด้านนอกมีน้ำตาลเคลือบอีกจึงหวานมาก น่าจะไม่ใช่น้ำตาลทรายขาวธรรมดาๆ เหมือนจะเป็นน้ำผึ้งมากกว่า ดังนั้นจึงให้ความรู้สึกเปรี้ยวประแล่มๆ ในปาก

อร่อยยิ่งนัก

กู้เจียวถือเนื้อแดดเดียวกินทีละคำเล็กๆ เหมือนกระรอกที่หาอาหาร

เซียวลิ่วหลังเดินอยู่ข้างๆ นางพลางมองนางจนกระทั่งนางกินหมด แล้วทำปากขมุบขมิบ เหมือนยังไม่หายอยาก จึงได้ส่งเนื้อแห้งครึ่งชิ้นในมือที่เขาไม่ได้แตะต้องไปให้นาง

คล้ายว่ากลัวนางจะปฏิเสธ เขาจึงเอ่ยว่า “ข้ากินไม่ไหวแล้ว เจ้ากินเถอะ”

“อ๋อ” กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร นางรับเนื้อแดดเดียวมาจากมือเขา แต่ก่อนจะกินนางหักเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนเขาปากเขาเสียก่อน

แม้ว่าทูตจากแคว้นเหลียงจะเข้าเมืองมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปวงชนชั้นล่างเท่าใด ทุกคนยังคงทำหากินของตัวเองต่อไป

เสี่ยวจิ้งคงตื่นมาฝึกยุทธ์ตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้กู้เจียวไม่ต้องทำมื้อเช้า เพราะแม่นมฝางเป็นคนทำ กู้เจียวจึงฝึกยุทธ์พื้นฐานเป็นเพื่อนเสี่ยวจิ้งคงอยู่พักหนึ่ง

ตอนเช็ดเหงื่อให้เด็กน้อย กู้เจียวเอ่ยความสงสัยที่อยู่ในใจออกมาว่า “เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่ฝึกพวกนี้ล่ะ”

เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะเอ่ยว่า “ก็ข้าทำเป็นแต่พวกนี้นี่!”

กู้เจียว “…!!”

บ้าจริง มัวแต่สนใจการเรียนของเขา จนลืมไปว่าวรยุทธ์ก็ต้องส่งเสริมด้วยเช่นกัน

ปีแรกๆ ของวัดคงจะใช้ยุทธ์พื้นฐานเป็นหลักไปก่อน ฝึกพื้นฐานจนแข็งขันแล้ว จึงค่อยสอนวิถีหมัดและศิลปะการป้องกันตัวให้

เสี่ยวจิ้งคงลงเขามาก่อน จึงยังไม่ทันเรียนศิลปะการต่อสู้

กู้เจียวรู้วิชาไทเก๊กและอู่ฉินซี่อยู่บ้าง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญ ชาติที่แล้วสิ่งที่นางเรียนรู้ในหน่วยปฏิบัติการคือการฆ่าคนและขโมยสินค้า ไม่เหมาะจะสอนเด็ก

ดูท่าแล้วต้องเชิญอาจารย์ศิลปะการต่อสู้มาให้เจ้าเด็กน้อยแล้ว

คนแรกที่กู้เจียวนึกถึงคือกู้เฉิงเฟิง หมู่นี้บีบคั้นเขาค่อนข้างมาก ก็ยิ่งนึกถึงเขาง่าย

แต่เขาน่ะเป็นขโมย เกิดไม่ทันตั้งตัวแล้วเขาสอนเสี่ยวจิ้งคงให้กลายเป็นเด็กขี้ขโมยล่ะ…

ในสมองกู้เจียวเกิดภาพเสี่ยวจิ้งคงสวมหน้ากากเป็นโจรก็ส่ายหน้าอย่างแรง!

กู้เจียวนึกถึงกู้ฉังชิงขึ้นมา กู้ฉังชิงกลับไม่เลว แต่เขายุ่งงานนัก อยู่ในค่ายทหารตลอดทั้งปี ยามปกติก็แทบจะพบเขาได้ยากนัก

กู้เจียวเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบๆ

พอกินมื้อเช้าแล้ว เซียวลิ่วหลังกับเสี่ยวจิ้งคงก็ไปกั๋วจื่อเจียน กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นไปเรียนที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ กู้เจียวก็ไปโรงหมอ