บทที่ 237.2 ตามหาหมอ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 237 ตามหาหมอ (2)
นางเพิ่งมาถึงโรงหมอได้ไม่นานมาก รุ่ยอ๋องเฟยก็มาหา

ในมือหอบกล่องฉินมาด้วย

อันที่จริงเมื่อวานบรรเลงเสร็จนางก็รู้ว่าฉินนี้สูงค่ามาก ที่ไม่ได้แสดงออกต่อหน้าทุกคนเพราะไม่อยากให้เป็นที่สนใจมากเกินไป

ทั้งคู่พากันมาที่เรือนของกู้เจียว

รุ่ยอ๋องเฟยเล่าเรื่องหยิบฉินผิดให้ฟัง “ขันทีข้าทำงานสะเพร่าเอง ขอโทษด้วยนะ”

กู้เจียวเข้าใจว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรแล้ว นางจึงส่ายหน้า “ทางข้าเองที่สะเพร่า”

อย่างไรเสียเสี่ยวเจียงหลีก็ยังเป็นเด็ก นางควรจะตรวจสอบกล่องฉินให้ดีก่อน

รุ่ยอ๋องเฟยจับมือกู้เจียวไว้ “เช่นนั้นข้าก็คงต้องขอบใจในความสะเพร่าของเจ้านัก! เมื่อวานหาไม่ได้ฉินเจ้าล่ะก็ ข้าคงได้เป็นตัวประกอบของคนอื่นแน่!”

รุ่ยอ๋องเฟยก็มีจิตใจที่อยากเอาชนะเช่นกัน โดยเฉพาะในด้านดนตรี นางไม่ยอมเป็นตัวประกอบใครเด็ดขาด

“เวินหลินหลังคงจะรู้ในจุดนี้แน่ จึงได้ไม่บอกข้าก่อนล่วงหน้าว่าข้าต้องร่วมบรรเลงกับคนอื่น! ไหนจะอาจารย์เซี่ยที่จู่ๆ ก็ล้มอีก ข้าว่านางไม่อยากให้อาจารย์เซี่ยขึ้นเวทีชัดๆ!”

นางไปสืบมาแล้ว อาจารย์เซี่ยไม่ได้รับบาดเจ็บ

“เหอะ! นางคิดจะขายหน้าข้าเพื่อประจบเอาใจพวกทูตแคว้นเหลียง!”

เมื่อคืนรุ่ยอ๋องกลับจวนไปก็ปลอบใจรุ่ยอ๋องเฟยแล้ว บอกว่าดูจากพิธีการทางการทูตแล้ว หมากตานี้ของไท่จื่อเฟยไม่ได้เดินพลาดเลย แค่ทำให้รุ่ยอ๋องเฟยได้รับความไม่เป็นธรรมเท่านั้น

เพื่อสัมพันธภาพอันดีของสองแคว้น องค์หญิงยินดีแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแดนไกล ในฐานะอ๋องเฟย การเสียสละเพื่อสถานการณ์ใหญ่จึงแทบจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

สุดท้ายแล้วไท่จื่อเฟยเป็นนักการเมือง รุ่ยอ๋องเฟยกลับไม่ใช่ แนวคิดของทั้งคู่เกิดการขัดแย้งกัน

รุ่ยอ๋องเฟยโมโหจะตายอยู่แล้ว แม้แต่สามีนางก็ยังแก้ต่างให้สตรีนางนั้น!

“เหตุใดจึงไม่มีใครรู้สึกว่านางทำผิดบ้างเลย หรือว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่ควรบอกข้าล่วงหน้าสักคำอย่างนั้นรึ ไม่รู้สึกว่าทำเช่นนี้มันไม่เคารพกันไปหน่อยหรือไร”

ในสมัยโบราณนั้นความคิดรุ่ยอ๋องเฟยนับว่าล้ำกว่าคนรุ่นเก่าไปมากแล้ว นางตระหนักถึงสิทธิสตรีได้บ้างแล้ว

“แล้วเจ้าดีดได้ดีหรือไม่” กู้เจียวถาม

รุ่ยอ๋องเฟยเชิดหน้าขึ้นเอ่ยอย่างภาคภูมิว่า “แน่นอนสิ!”

ในจวนนางสงบเสงี่ยมมาก ไม่กล้าโอ้อวดเกินไป แต่ต่อหน้ากู้เจียวนางผ่อนคลายมาก แสดงความตื่นเต้นเล็กๆ และความภาคภูมิใจน้อยๆ ที่ข่มเอาไว้ทั้งคืนออกมา

“เจ้าคงไม่เห็น ดวงตาพวกเขาน่ะจ้องกันนิ่งเลย!”

“อวี้ชินอ๋องยังปรบมือให้ข้าด้วยนะ!”

“ลูกชายสายตรงของใต้เท้าเย่ว์อิ่งอะไรนั่นก็แค่นี้เอง!”

ดูสิ หางนางกระดกขึ้นฟ้าแล้ว

ความหงุดหงิดเมื่อครู่พลันมลายหายวับไปจนสิ้น

หากแต่รุ่ยอ๋องเฟยภูมิใจไปภูมิใจมาก็ไม่ลืมความโชคดีนี้ “อันที่จริงโชคดีที่ได้ฉินเจ้า จากฝีมือฉินของข้ายากนักที่จะเอาเปรียบอะไรกับเพลงนั้นได้”

กู้เจียวไม่ค่อยแปลกใจนัก

หลังจากที่กู้เจียวได้เปิดหูเปิดตากับลูกคิดทองคำและโฉนดของเสี่ยวจิ้งคงแล้ว นางก็ไม่มองฉินเก่าๆ ตัวนี้เป็นฉินเก่าธรรมดาอีกเลย

“นึกไม่ถึงว่านักสังคีตแคว้นเหลียงคนนั้นจะอยากซื้อฉินของเจ้า แต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว” รุ่ยอ๋องเฟยเล่าพลางมองนาง

“อืม” กู้เจียวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เสี่ยวจิ้งคงเป็นคนให้ฉินข้ามา ข้าไม่ขายหรอก”

รุ่ยอ๋องเฟยพรูลมหายโล่งออกมา ดูท่าแล้วเมื่อวานตนปฏิเสธไปจะถูกต้องแล้ว

สายตานางตกลงบนฉินโบราณ “ในทางกลับกัน นี่มันฉินอะไรรึ บนนั้นสลักว่าฝูซี คงไม่ใช่ฉินฝูซีจริงๆ หรอกกระมัง”

เดิมทีรุ่ยอ๋องเฟยคิดว่ากู้เจียวจะปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่ากู้เจียวจะครุ่นคิดแล้วร้องอ๋อขึ้น จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ก็ไม่แน่หรอก”

รุ่ยอ๋องเฟย “…”

โรงหมอยามเช้าไม่ค่อยยุ่งเท่าใดนัก รุ่ยอ๋องเฟยนั่งคุยกับนางอยู่ที่เรือนกู้เจียวครึ่งชั่วยาม

ส่วนเรื่องทูต รุ่ยอ๋องเฟยเล่าแค่เรื่องเดียว อย่างไรเสียประการแรกนางก็ไม่ใช่นักการเมือง ประการที่สองนางก็ไม่ได้มีจิตใจทะเยอทะยานอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจกับการที่มีทูตมาเยี่ยมเยือนนัก

กลับกัน เพราะรุ่ยอ๋องเฟยกับแม่นางเหยาต่างตั้งครรภ์ กู้เจียวจึงได้สนใจกับหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมา ทั้งคู่สนทนากันเรื่องระยะตั้งครรภ์และเด็กทารก

จากนั้นโรงหมอก็เริ่มยุ่ง รุ่ยอ๋องเฟยจึงกลับจวน

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ณ ลานอันโอ่อ่างดงามในสวนหลวงของราชวงศ์ มีเสียงไอลอยมาจากด้านในเป็นระยะๆ

คนรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่กล้าหายใจกันแรง

อวี้ชินอ๋องเฟยที่อยู่ภายในห้องกอดโอรสที่หน้าแดงก่ำเอาไว้ พลางถามอย่างสงสารและร้อนใจว่า “ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใด”

ขันทีที่ติดตามเอ่ยว่า “ทูลอ๋องเฟย ท่านอ๋องทะเลาะกับขุนนางใหญ่ของแคว้นเจาหนักยิ่ง บ่าวพบท่านอ๋องไม่ได้เลย!”

การเจรจาของทั้งสองแคว้นก็เป็นแบบนี้ มักจะโวยวายกันไปมา หากรุนแรงมากถึงกับล้มโต๊ะเลยทีเดียว

อวี้ชินอ๋องเฟยไม่สนใจว่าพวกเขาจะทะเลาะอะไรกัน นางเป็นห่วงแต่อาการป่วยของลูกชายเท่านั้น

ลูกชายไอมาสิบวันแล้ว หมอหลวงที่พวกเขาพามาก็เอาแต่ให้กินยา แต่เห็นได้ชัดว่าเขารักษาลูกชายให้หายไม่ได้

ขันทีลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “เอาอย่างนี้…บ่าวเข้าวังไปเข้าเฝ้าเซียวฮองเฮา ขอให้นางส่งหมอหลวงของแคว้นเจามาให้ดีหรือไม่”

อวี้ชินอ๋องเฟยครุ่นคิด “ช้าก่อน ยังไม่ต้องเข้าวัง”

ในช่วงเวลาที่สำคัญในการเจรจาระหว่างสองฝ่าย นางไม่วางใจมอบชีวิตลูกชายไว้กับมืออีกฝ่าย

แม้ว่าราชสำนักแคว้นเจาจะไม่มีทางทำร้ายลูกชายนางอยู่แล้ว แต่เกิดมีคนอยากจะยืมมือราชสำนักแคว้นเจาก่อเหตุวุ่นวายขึ้นมาล่ะ ลูกชายนางก็เป็นอันตรายน่ะสิ

ต่อให้ไม่มีใครก่อเหตุวุ่นวาย แคว้นเจาใช้โอกาสรักษาลูกชายนางมาข่มขู่ขึ้นมา จะไม่ดีต่อการเจรจาของแคว้นเหลียง

อย่างไรเสียเป็นอ๋องเฟยมาหลายปี นางย่อมคิดมากกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว

อวี้ชินอ๋องเฟยจึงออกคำสั่งว่า “เจ้าไปสืบถามมาทีว่าเมืองหลวงมีโรงหมอที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงบ้างหรือไม่ อย่าให้ใครเห็นล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ขันทีเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นบ่าวรับใช้ธรรมดา แล้วหลบหูหลบตาคนออกจากสวนไป

หนึ่งชั่วยามต่อมาเขาก็กลับมาแล้ว “อ๋องเฟย บ่าวไปสืบถามมาแล้ว โรงหมอที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงมีอยู่สามแห่ง หลิงจือถัง ถงเต๋อกวนและหุยชุนถัง แล้วก็มีเมี่ยวโส่วถังอีกแห่ง ว่ากันว่าฝีมือการแพทย์ไม่เลว”

อวี้ชินอ๋องเฟยเอ่ยถามว่า “โรงหมอที่ใกล้ที่นี่ที่สุดคือที่ไหน”

ขันทีตอบว่า “เมี่ยวโส่วถังพ่ะย่ะค่ะ”