บทที่ 260 สาบานว่าจะแก้แค้น

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 260 สาบานว่าจะแก้แค้น

บทที่ 260 สาบานว่าจะแก้แค้น

เหมียวเอ้อร์กลับบ้านมาด้วยความสิ้นหวัง โดยมีเสี่ยวเซิ่งจื่อตามเขากลับไปที่บ้าน เหมียวเอ้อร์เฝ้าดูเสี่ยวเซิ่งจื่อนับเงินที่เขายักยอกมา และส่งเขากลับไป เมื่อมองดูสถานที่ที่เขาซ่อนเงิน ซึ่งในตอนนี้กลับว่างเปล่า จึงตวัดสายตามองแผ่งหลังของเสี่ยวเซิ่งจื่อที่กำลังจากไปอย่างอาฆาตแค้น

เมื่อสักครู่เด็กชายผู้นี้มีท่าทีเช่นไรอย่างนั้นหรือ ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความดูหมิ่น เหมียวเอ้อร์เกลียดหลี่ฝานและกู้เสี่ยวหวานแทบกระอักเลือด เขาไม่สามารถทำอะไรกับหลี่ฝานได้ แต่เด็กบ้าที่สมควรตายนั่น…

เหมียวเอ้อร์พ่นลมเย็นชา จ้องไปที่การจากไปของเสี่ยวเซิ่งจื่อและตบโต๊ะอย่างดุเดือดเสียงดังปัง ถ้วยชาบนโต๊ะก็กระเด็นกระดอนกลิ้งเป็นวงกลม ตกลงกระทบพื้นจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

หลังจากกู้เสี่ยวหวานกลับถึงบ้าน พบว่ากู้หนิงอันก็กำลังสอนกู้หนิงผิงให้อ่านและเขียนอักษรอยู่ที่บ้าน ครั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานกลับมาด้วยใบหน้าสดใส เด็กทั้งสองเดาว่าเรื่องนี้คงจบลงแล้ว

“ท่านพี่ จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วหรือ?”

“ท่านพี่ ท่านคำนวณได้หรือไม่? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเห็นการกลับมาของกู้เสี่ยวหวาน กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงก็รีบวางพู่กันและกระดาษในมือของพวกเขา และวิ่งไปถามด้วยความใคร่สงสัย

กู้เสี่ยวหวานตบไหล่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ พี่สาวของพวกเจ้าทำอะไรไม่เป็นบ้างล่ะ”

เมื่อเห็นว่าพี่สาวมั่นใจมาก ทั้งสองจึงภาคภูมิใจมากเช่นกัน พลางแอบคิดว่าถ้าพี่สาวรู้เรื่องมากเช่นนี้ พวกตนก็ต้องเรียนรู้เพิ่มอีก

“เดี๋ยวนะ เหตุใดอาจารย์สวีไม่มาด้วยในครั้งนี้กันล่ะ?” กู้เสี่ยวหวานที่ทำงานเสร็จแล้ว ทันใดนั้นนางก็ถามว่าทำไมสวีเฉิงเจ๋อจึงไม่มาที่นี่ในครั้งนี้

“โอ้ อาจารย์สวีขอให้อาจารย์น้อยไปทำงานให้ เขาออกไปตั้งแต่เมื่อคืนและยังไม่ได้กลับมา”

“ไปทำอะไรกัน?”

“ไปรับหนังสือกัน!” กู้หนิงอันกล่าว “สหายร่วมชั้นของอาจารย์สวี มอบตำราให้มากมาย จึงขอให้อาจารย์น้อยไปรับมา”

กู้เสี่ยวหวานก็ตระหนักได้ทันที ทุกคนในครอบครัวนี้เป็นคนรักหนังสือ และสามารถอ่านอะไรก็ได้หากมีหนังสือ

หลังจากที่ช่วยหลี่ฝานคำนวณจำนวนเงินที่เหมียวเอ้อร์ทุจริตไป และดูว่าหลี่ฝานจะจัดการกับเหมียวเอ้อร์อย่างไร

เหมียวเอ้อร์ผู้นี้ ถ้าจะบอกว่าอารมณ์ของเขามีปัญหาบางอย่างเพราะเขาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย หรือถ้าเขาเป็นคนใจแคบมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนนี้มีการคำนวณในบัญชีว่าเขายักยอกเงินในร้านอาหารไปมากกว่าสองพันตำลึงเงิน เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของนิสัย หากแต่เกี่ยวข้องกับเรื่องของศีลธรรม

ในยุคปัจจุบันสิ่งนี้เรียกว่า การใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ฉะนั้นการทุจริตต้องถูกพิพากษาและจำคุก ไม่รู้ว่าหลี่ฝานจะส่งเขาไปหาทางการหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ได้ยินมาว่าเหมียวเอ้อร์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ของเมืองนี้ ในยุคนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ให้หรือไม่

กู้เสี่ยวหวานส่ายหัวและไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป เรื่องนี้พอน้ำลดหินก็ผุด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลี่ฝานเอง และคนนอกเองก็ไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้มากนัก

กู้เสี่ยวหวานไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเย็น เมื่อตอนที่นางกลับมาจากในเมือง กู้เสี่ยวหวานแวะแผงขายเนื้อเพื่อซื้อเนื้อและกระดูกชิ้นโต ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งต่าง ๆ เน่าเสียและเสื่อมสภาพได้ง่าย ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงไม่กล้าซื้อมามากเกินไป ซื้อมาแค่ที่สามารถกินมันหมดได้ภายในสองหรือสามวัน

กู้เสี่ยวหวานล้างทำความสะอาดกระดูกชิ้นใหญ่ นำไปต้มในน้ำเดือดแล้วนำมาล้างอีกรอบ จากนั้นใส่กลับเข้าไปในหม้อ เทน้ำเย็นจัด และเคี่ยวน้ำแกงด้วยไฟแรง

ในช่วงเวลานี้กู้หนิงอันน้ำหนักลดลงมาก คาดว่าเขาคงเป็นเพราะเรียนหนังสืออย่างหนัก

กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่ากู้หนิงอันอยากจะเรียนให้หนัก แต่นางก็เกลี้ยกล่อมเขาแล้วว่าไม่ให้เรียนจนเหนื่อยเกินไป อย่างไรก็ตาม เด็กผู้นี้ก็ยังคงทำตามความตั้งใจของตัวเอง ยังดีที่กู้เสี่ยวหวานบอกให้ดูแลตนเอง และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวนาง กู้หนิงอันจึงไม่ได้เรียนอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น แต่ก็ยังคงเรียนหนักอยู่ดี

กู้เสี่ยวหวานทำการทดสอบเขาเล็กน้อย อ่านลายมือของเขาอีกครั้ง และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เด็กคนนี้เป็นคนขยัน กู้เสี่ยวหวานก็โล่งใจ

หลังจากอาหารเย็นตั้งโต๊ะ เตรียมตะเกียบชามพร้อมแล้ว กู้เสี่ยวหวานนำชามข้าวออกมาจากครัวแล้วเดินไปที่ประตู สายตามองออกข้างนอกไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าวันนี้คนผู้นั้นไปอยู่ที่ไหน และไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน

ภายหลังมาคิดดูแล้ว ที่เขาไม่มาวันนี้คงเป็นเพราะในบ้านมีคนเยอะขึ้น หรือเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่?

กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจ นางส่ายหัวและเดินเข้าไปในห้องอีกครั้ง

หลังจากที่ฉินเย่จือกินปลาที่ไหม้เกรียมของอาโม่ไปในตอนเที่ยง เขาจึงไม่กินมันอีกในตอนกลางคืน

ภายในร้านอาหารจิ่นฝู หลังจากเขารับประทานอาหารเสร็จ หลี่ฝานก็เข้ามา

เมื่อมองไปที่นายท่านที่สูงส่ง หลี่ฝานกล่าวว่า “นายท่าน…”

“ตรวจสอบแล้วหรือยัง? ” ฉินเย่จือถามโดยตรง

“อืม ข้าตรวจสอบแล้ว และไล่กลับไปแล้ว” หลี่ฝานพยักหน้า

“ดีมาก!” ฉินเย่จือตอบรับหนึ่งคำ แม้ว่าเงินสองพันตำลึงเงินจะไม่ได้มากอะไร แต่จริง ๆ แล้วคนที่ไม่กลัวความตายและมาเล่นบนหัวของเขา มันเท่ากับถอนขนออกจากปากเสือ

“ดีแล้ว ขอบคุณผู้ที่ช่วยเจ้าไว้!” ฉินเย่จือแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่

เมื่อหลี่ฝานได้ยินก็รู้ว่าฉินเย่จือหมายถึงอะไร ฉินเย่จือรู้ว่าเขาคำนวณบัญชีไม่ได้ และต้องคิดว่ามีคนช่วยตนเองอย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ฝานก็พยักหน้าอย่างเร่งรีบ “นายท่าน ข้าน้อยรู้”

หลี่ฝานตอบรับหนึ่งคำ “ไปเถอะ!”

หลี่ฝานโค้งคำนับ และจากไป

อาโม่ที่กำลังรอฉินเย่จือล้างหน้าจึงเอ่ยถามว่า “นายท่าน เหตุใดถึงไม่บอกเขาไป และขอบคุณแม่นางกู้ตรง ๆ ล่ะ?” และเขายังแสร้งทำเป็นไม่รู้อีก

ฉินเย่จือส่ายหัว “ข้ายังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของข้า”

หากครอบครัวกู้เสี่ยวหวานรู้จักตัวตนของเขา เขาจะไม่สามารถเข้าไปหาครอบครัวกู้ได้อีก และยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้มากเท่าไร ความสนุกก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น

เช้าตรู่ของวันต่อมา กู้เสี่ยวหวานตื่นแต่เช้าและเตรียมอาหารเช้า หลังจากที่กู้หนิงอันเตรียมตัวเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงเตรียมขนมที่นางนำมาจากร้านจิ่นฝูเมื่อวานนี้ และยัดใส่ห่อผ้าของกู้หนิงอัน แล้วไปส่งเขาที่ประตูทางเข้าหมู่บ้าน

เมื่อรอจนร่างของกู้หนิงอันลับสายตาไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงกลับไปที่บ้าน

เมื่อหันหลังกลับ นางก็เห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังมองมาที่ตนเองด้วยรอยยิ้ม “น้องชายของเจ้าไปแล้วหรือ?”

เมื่อวานไม่ได้เจอกันทั้งวัน กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเล็กน้อย และเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวออกมาในวันนี้ นางจึงกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ? กลับมาทำไมกันล่ะ?”