บทที่ 261 หนิงผิงฝากตัวเป็นศิษย์

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 261 หนิงผิงฝากตัวเป็นศิษย์

บทที่ 261 หนิงผิงฝากตัวเป็นศิษย์

ฉินเย่จือรีบก้าวไปข้างหน้า และยืนห่างจากกู้เสี่ยวหวานหนึ่งหมี่ กู้เสี่ยวหวานจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา

ชายผู้นี้สูงจริง ๆ กู้เสี่ยวหวานพึมพำในใจ

“แม่นางกู้ เมื่อวานข้าหิวมากแต่ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาเลย” ฉินเย่จือลูบท้องพลางกล่าวอย่างน้อยใจ “ที่บ้านเจ้ามีแขกมา ข้ากลัวว่าเจ้าจะไล่ข้าออกไปอีก”

“ข้าไล่เจ้าไปไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่ทำไมเจ้าถึงยังไม่ไปอีก?” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างอย่างโกรธเคืองเมื่อเห็นใบหน้าของชายผู้นี้

“แม่นางกู้ ข้ายังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจของเจ้าเลย ข้าจะไปได้อย่างไร” คำพูดของฉินเย่จือนั้นก้องกังวานและทรงพลัง หากแต่เขาก้มหน้าลงและกล่าวอย่างน่าเวทนาว่า “ข้าเป็นเพียงคนเร่ร่อน จึงไม่รู้ว่าจะไปที่ใด”

กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าชายผู้นี้เล่นบทน่าสงสารอีกแล้ว ชายผู้นี้รูปร่างสูง หล่อเหลาและงดงามราวกับพระเจ้า เมื่อใบหน้าที่วิจิตรงดงามของเขาแสดงท่าทางที่น่าสงสาร ด้วยท่าทางเช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ต้องรู้สึกเห็นใจ

กู้เสี่ยวหวานรีบขัดจังหวะเขาโดยกล่าวว่า “หยุดเถอะ เอาล่ะ ในช่วงเวลานี้ ถ้าเจ้ายังไม่พบสถานที่ที่ดีที่จะไป ก็สามารถมากินข้าวที่บ้านของข้าได้ แต่เจ้าจะกินอย่างเดียวไม่ได้”

กู้เสี่ยวหวานหยุดชะงัก ฉินเย่จือที่ได้ยินเรื่องนี้จึงรีบปรับสีหน้าของเขา และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางกู้ โปรดบอกข้า”

“อย่างแรก เจ้าต้องดูแลเรื่องฟืนและการตักน้ำในบ้านของข้า” ฉินเย่จือพยักหน้า

“สอง ถ้ามีคนอื่นมาที่บ้านของข้า เจ้าอย่าปรากฏตัวออกมา” ฉินเย่จือพยักหน้า

“สาม นอกจากในช่วงเวลาอาหาร เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้านของข้า” ฉินเย่จือพยักหน้า

“สี่ อย่าให้คนอื่นเห็นเจ้า” กู้เสี่ยวหวานกังวลเรื่องนี้มาก ชายผู้นี้ไม่ทราบที่มา หากมีใครพบว่าเขาเข้าออกหมู่บ้านหรือบ้านของครอบครัวกู้อยู่เสมอ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคนนำไปนินทา

ตอนนี้ครอบครัวมีเด็กเพียงสามคน กู้เสี่ยวหวานที่โตสุดก็มีอายุเพียงเก้าขวบ การที่ในครอบครัวมีเด็กหนุ่มอายุสิบห้าหรือสิบหกปีเข้ามาอีก ไม่ว่าจะอย่างไรก็รู้สึกแปลก ๆ

เมื่อฉินเย่จือเห็นกู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว เขาจึงรู้ดีถึงความกังวลของนาง เขาจะไม่ยอมให้ใครเห็นเขาจนกว่าเขาจะเข้าไปในครอบครัวกู้เพื่อตอบแทนน้ำใจของนางอย่างเป็นทางการได้

ฉินเย่จือไม่โต้แย้งและตอบตกลงอย่างง่ายดาย เขายังคงรอให้กู้เสี่ยวหวานเอ่ยข้อที่ห้า หากแต่ก็ยังไม่ได้ยิน “ยังมีอีกหรือไม่?”

“ห้า…” กู้เสี่ยวหวานกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน แต่ในขณะนี้นางยังคิดไม่ออก “ข้ายังคิดไม่ออก เมื่อข้าคิดได้แล้วข้าจะบอกแล้วกัน” จากนั้นนางจึงเดินกลับบ้าน

ฉินเย่จือจึงเดินตามเข้าไปเช่นกัน

เมื่อเห็นว่ายังเช้าอยู่ และในเวลานี้ชาวบ้านในหมู่บ้านยังคงไม่ตื่น กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าไม่มีน้ำในถังเก็บน้ำ ดังนั้นฉินเย่จือจึงหยิบถังสองถังขึ้นมา และเดินไปที่แม่น้ำ

เมื่อเขากลับมา กู้หนิงผิงก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นฉินเย่จือถือถังที่เต็มไปด้วยน้ำไว้ในมือแต่ละข้างของเขา และเขายังคงเดินอย่างกระฉับกระเฉงและรวดเร็ว

ฉินเย่จือพยักหน้า “ข้าทำได้เล็กน้อย”

เขาพลันเห็นดวงตาของกู้หนิงผิงเป็นประกายขึ้น จึงรู้สึกประหลาดใจมาก จากนั้นอีกฝ่ายก็จ้องมาที่ตนเองด้วยท่าทางชื่นชม ฉินเย่จือจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

เขาไม่รู้ความคิดของกู้หนิงผิง จากช่วงเวลาที่กู้เสี่ยวหวานถูกผลักลงไปในแม่น้ำ กู้หนิงผิงก็ต้องการเรียนรู้วิชาการต่อสู้เพื่อที่เขาจะได้ปกป้องพี่สาวและน้องสาวของเขาได้ในอนาคต เพียงแต่ไม่มีใครเคยสอนเขา และกู้หนิงผิงก็ไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้กับกู้เสี่ยวหวาน เพราะกลัวว่าพี่สาวของเขาจะส่งตนเองไปในเมืองอีกครั้ง และที่บ้านก็จะไม่มีผู้ชายคอยปกป้อง

ฉินเย่จือมองไปที่ท่าทางประหลาดใจของกู้หนิงผิง และดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอยากเรียนหรือไม่?”

เมื่อกู้หนิงผิงได้ยินดังนั้น เขาก็รีบตอบรับและพยักหน้าหงึกหงัก เพราะกลัวว่าคนอื่นอาจไม่ได้ยินหรือมองเห็นได้ชัดเจน

จากการรู้จักกันในช่วงเวลานี้ ฉินเย่จือก็ได้รู้จักครอบครัวนี้ไม่มากก็น้อย

“ทำไมเจ้าถึงเรียนวิชาการต่อสู้?” เมื่อเห็นสายตาที่กระตือรือร้นของกู้หนิงผิง ฉินเย่จือก็รู้ว่าเด็กคนนี้ต้องการฝึกการต่อสู้จริง ๆ ได้รู้เกี่ยวกับกู้หนิงผิง และยังสามารถอยู่ในครอบครัวกู้ได้อีก

“เพื่อปกป้องพี่สาวและน้องสาวของข้าจากการถูกคนอื่นรังแก ถ้าคนอื่นรังแกพี่สาวและน้องสาวของข้า ข้าก็จะสามารถปกป้องทั้งสองคนด้วยวิชาการต่อสู้ของข้าได้” กู้หนิงผิงกำหมัดแน่นและกล่าวอย่างเด็ดขาด

“อย่างไรก็ตาม การเรียนวิชาการต่อสู้ไม่ได้มีไว้เพื่อการฆ่าใคร” ฉินเย่จื่อกล่าว

หากผู้ฝึกวิชาคนนี้เป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ วิชานี้สามารถใช้เพื่อทำให้แข็งแกร่งและช่วยเหลือผู้อ่อนแอได้ แต่ถ้าคนจิตใจไม่ดีนำไปใช้ก็อาจก่อให้เกิดหายนะได้เช่นกัน

ฉินเย่จือเข้าใจกู้หนิงผิง และรู้ดีว่ากู้หนิงผิง เป็นคนประเภทแรก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจสอนวิชาการต่อสู้ให้กู้หนิงผิง เขาก็ต้องพูดคุยกันให้เขาเข้าใจก่อน

กู้หนิงผิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ข้ารู้ ท่านพี่เคยบอกข้าแล้ว”

ในนิทานที่กู้เสี่ยวหวานเล่าให้กู้หนิงผิงฟังในตอนกลางคืน พวกเขาเคยเล่าเรื่องของคนสองคนที่มีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่มีฝีมือ

ในหมู่พวกเขา ก๊วยเจ๋ง*[1] เป็นตัวอย่างที่ดี เขาใช้ความสามารถของเขาในการกำจัดความรุนแรงและปกป้องประเทศ และเป็นที่เคารพนับถือจากทุกคนในโลก

และยังกล่าวถึงตัวอย่างเชิงลบอีกด้วย โดยเอาอาวเอี๊ยงฮง*[2] เป็นตัวอย่าง เขาทำตามความสนใจของตัวเองด้วยความสามารถทั้งหมดของเขาเพื่อฆ่าคนอย่างป่าเถื่อน และสุดท้ายก็กลายเป็นคนวิกลจริต

กู้หนิงผิงชอบฟังสองเรื่องนี้เป็นพิเศษ และมักจะรบเร้ากู้เสี่ยวหวานให้เล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก ในท้ายที่สุด เมื่อเขาคุ้นเคยกับมัน เขาจึงไม่รบเร้ากู้เสี่ยวหวานอีก

“อย่างไรก็ตาม ข้าจะเตือนเจ้าไว้ก่อนว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้นั้นยากมาก” ฉินเย่จือไม่ต้องการทำให้กู้หนิงผิงหวาดกลัว แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะฝึกศิลปะการต่อสู้แล้ว เขาก็ไม่ควรกลัวความยากลำบากทั้งหมด และก็ไม่ควรถอยหนีในยามยากลำบาก หากกลัวแล้วล้มเลิกไประหว่างทางก็อย่าเริ่มเลยดีกว่า อย่าทำให้ทุกคนเสียเวลา

กู้หนิงผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่กลัวความยากลำบาก!”

เมื่อเห็นว่ากู้หนิงผิงจริงจัง ฉินเย่จือก็เข้าใจทันทีว่าเด็กคนนี้ต้องการฝึกศิลปะการต่อสู้จริง ๆ และเขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เมื่อเห็นฉินเย่จือพยักหน้า กู้หนิงผิงก็ดึงแขนเสื้อของฉินเย่จือและเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านยินยอมที่จะสอนข้าหรือไม่”

ฉินเย่จือพยักหน้า “แน่นอน”

เมื่อกู้หนิงผิงเห็นว่าฉินเย่จือตกลง เขาก็กระโดดขึ้นอย่างมีความสุข จากนั้นจึงคุกเข่าลงบนพื้นและคำนับฉินเย่จือสามครั้ง “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์”

*[1] ก๊วยเจ๋ง เป็นตัวละครเอกในนิยายกำลังภายใน เรื่องมังกรหยก

*[2] อาวเอี๊ยงฮง เป็นตัวละครในนิยายกำลังภายใน เรื่องมังกรหยก