บทที่ 298 ข่าวเสีย ๆ หาย ๆ
บทที่ 298 ข่าวเสีย ๆ หาย ๆ
ฮัวจิงรู้ว่ายาตัวนี้เป็นของซูโย่วอี๋ แต่แทนที่จะถามเธอ เขากลับมาถามลู่เฉินแทน เพื่อที่ลู่เฉินจะได้ไม่ขุ่นเคืองภายหลัง
ถือว่าทำตามขั้นตอนไปก่อน
แต่ทว่าลู่เฉินไม่ได้ดูสะทกสะท้านอะไร “ที่แท้เพราะเรื่องนี้นี่เอง ผมคงต้องทำให้ผู้อำนวยการฮัวผิดหวังแล้วล่ะ”
“[ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ]”
“โย่วอี๋บังเอิญได้ยินว่ามีหมอชาวบ้านทักษะยอดเยี่ยมอยู่คนหนึ่ง เธออยากลองใช้เลยไปสั่งยามา ไม่เคยคิดเลยว่ายาจะมีค่ามากขนาดนี้น่ะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปลายสายก็เงียบไป
ฮัวจิงใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะพูดว่า “[ประธานลู่ ไม่ตลกเลยนะครับ]”
หมอชาวบ้านอะไรกัน ข้อแก้ตัวชัด ๆ
ลู่เฉินเอ่ยเสียงจริงจัง “ผมพูดจริง”
ฮัวจิงทำหน้าเครียด “[ประธานลู่ ผมไม่มีเจตนาร้ายต่อคุณซู ผมแค่ต้องการทราบแหล่งที่มาของยา เรื่องนี้ไม่กระทบคุณซูหรอกครับ ตรงกันข้าม ตราบใดที่คุณซูเต็มใจให้ความร่วมมือ โรงพยาบาลเป๋าไป่มอบสิ่งตอบแทนที่ดีที่สุดให้เธอได้]”
“[ผมกำลังทำการวิจัยทางการแพทย์ คุณลู่น่าจะรู้ว่ายาเม็ดนี้น่าดึงดูดใจแค่ไหน]”
ลู่เฉินเม้มริมฝีปาก “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่ช่วยไม่ได้จริง ๆ”
ฮัวจิงหัวเราะอย่างโกรธ ๆ “[คุณลู่ งั้นหมอชาวบ้านที่คุณพูดถึง ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?]”
“ไปแล้ว เขาพเนจรไปทั่วโลก”
ฮัวจิงถอดหน้ากากสุขุมทิ้งทันที “[ประธานลู่ ถ้าผมไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการจากคุณ ผมทำได้แค่ไปรบกวนคุณซูเท่านั้น]”
ดวงตาของลู่เฉินฉายแววน่าขนลุก “คุณกำลังขู่ผมเหรอ?”
“[เปล่าครับ ถึงตระกูลลู่จะมีอำนาจในประเทศจีน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีตระกูลไหนในโลกที่สามารถต่อกรกับตระกูลคุณนี้ได้ เท่าที่ผมรู้ ตระกูลเจมส์ในประเทศ M ก็มีการฝึกฝนด้านการแพทย์มาหลายชั่วอายุคน ในเมื่อหลงใหลในการแพทย์ พวกเขาก็สนใจยาเม็ดนี้เช่นกัน]”
“[อะไรที่สำคัญกว่าในตอนนี้ คุณลู่คงรู้ดีกว่าผม]”
ดวงตาของลู่เฉินคมกริบราวกับจ้องมองคนที่อยู่อีกฝั่งของปลายสายผ่านโทรศัพท์ได้
“ฮัวจิง ลองดูสิว่าคุณจะเข้าร่วมกับตระกูลเจมส์ หรือจะให้ประวัติศาสตร์นับศตวรรษของตระกูลฮัวถูกทำลายก่อนกัน”
สีหน้าฮัวจิงมืดมนในทันที
ตระกูลฮัวไม่สามารถต่อกรกับตระกูลลู่ได้ นั่นเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นเขาคงส่งคนไปจับซูโย่วอี๋ไปที่สถาบันวิจัยแล้ว
“[คุณลู่ ผมเป็นคนหยาบคาย ได้โปรดอย่าใส่ใจที่ผมหยาบคายไปเมื่อครู่เลยครับ]”
ลู่เฉินยิ้ม “เราก็แค่พูดคุยกันธรรมดา ๆ จะมีอะไรไปหยาบคายล่ะครับ”
ความตึงเครียดหายไปในทันที
“ผู้อำนวยการฮัวอาจไม่รู้ว่าทายาทของตระกูลเจมส์เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมตั้งแต่เรียนอยู่ต่างประเทศ ผมได้ยินมาว่าโรงพยาบาลเป๋าไป่ต้องการเข้าร่วมโครงการวิจัยการสร้างเซลล์ใหม่ของพวกเขามาโดยตลอด”
หัวใจของฮัวจิงเต็มไปด้วยคลื่นที่สาดซัด “[ประธานลู่ คุณหมายความว่ายังไง?]”
“ผมสามารถแนะนำโรงพยาบาลของตระกูลเจมส์ให้คุณได้”
ฮัวจิงใจเอนเอียงไปตามคำพูด
ยาเม็ดที่ซูโย่วอี๋นำออกมามีค่ามากกว่าการวิจัยการสร้างเซลล์ใหม่ แต่มันจะต้องล่วงเกินตระกูลลู่ ซึ่งทำให้เขาสูญเสียมากกว่าจะได้รับผลประโยชน์
การติดต่อกับตระกูลเจมส์ผ่านลู่เฉินย่อมเป็นข้อเสนอที่ดีกับเขามากกว่า
แต่ฮัวจิงยังคงลังเล “[เท่าที่ผมรู้ ตระกูลลู่และตระกูลเจมส์ ไม่มีความสัมพันธ์กันทางธุรกิจ]”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คงสายสัมพันธ์ส่วนตัวของลู่เฉินล้วน ๆ
และตอนนี้ฮัวจิงกำลังรู้สึกว่าตัวเองแทบจะไม่รู้จักลู่เฉินเลย…
“[คุณลู่ ถ้าอย่างนั้นโรงพยาบาลเป๋าไป่จะไม่เคยรู้เรื่องยาเม็ดนี้มาก่อน และจะไม่เปิดเผยให้ใครรู้]”
“เป็นอันตกลง”
หลังวางสายแล้ว ลู่เฉินก็สงบสติอารมณ์ลง
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรโกรธโย่วอี๋เลย
เขาวางแผนว่าจะทำงานให้เสร็จเร็วที่สุดแล้วกลับบ้านไปหาเธอก่อนเวลา
พอคิดถึงโย่วอี๋แล้ว มุมปากลู่เฉินก็ยกยิ้มอ่อนโยน
ก่อนที่เขาจะอุทิศตนให้กับงานของเขา หมายเลขจากต่างแดนก็ทำลายความสงบรอบตัวจนหมดสิ้น
“[คุณลู่ ผู้ทดลองหมายเลข 3 ตอบสนองแล้ว!]”
อะไรนะ
โครงการฟื้นฟูเซลล์ดำเนินมาเป็นเวลาสองปีแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร จนลู่เฉินเกือบจะยอมแพ้ไปแล้วด้วยซ้ำ
“[คณลู่ คุณเป็นคนเสนอความคิดริเริ่มของโครงการ และคุณไม่ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยเลย แต่ตอนนี้คุณต้องมานะ]”
ลู่เฉินตัดสินใจไปที่เกาะทดลองของตระกูลเจมส์ในประเทศ M อย่างรวดเร็ว “ตกลง”
…
เมื่อซูโย่วอี๋ไปที่บริษัทเพื่อตามหาลู่เฉิน สำนักงานก็ว่างเปล่าเสียแล้ว
เธอโทรหาลู่เฉิน แต่เขากลับปิดโทรศัพท์ตลอด
เธอถามเลขา แต่คำตอบที่ได้คือลู่เฉินกำลังเดินทางไปทำธุรกิจ
“เขาบอกว่าจะไปไหนเหรอคะ?”
เลขาส่ายหัวอย่างขอโทษ “ฉันขอโทษค่ะ คุณลู่เดินทางไปทำธุรกิจชั่วคราว เราไม่รู้ว่าเขาไปไหน”
“อย่ากังวลค่ะ รอให้คุณลู่ลงจากเครื่องบินก่อน ฉันค่อยติดต่อเขาใหม่ก็ได้”
เมื่อไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ซูโย่วอี๋จึงทำได้เพียงยอมแพ้
พนักงานที่มาส่งวัสดุมองไปที่ทิศทางที่ซูโย่วอี๋ออกไปพร้อมกับส่ายหัว “คุณเลขา นี่คุณซูกับคุณลู่ทะเลาะกันหรือเปล่าครับ?”
ไม่อย่างนั้นทำไมประธานลู่ถึงไม่บอกแฟนว่าจะไปทำงาน?
เลขาทำหน้าจริงจัง “อย่านินทาเจ้านายลับหลัง”
คำพูดนั้นทำให้พนักงานวางวัสดุแล้วจากไปอย่างผิดหวัง
ในทางกลับกัน ซูโย่วอี๋ไปที่สำนักงานของสุ่ยเวย เพราะในคืนวันเสาร์นี้จะเป็นพิธีมอบรางวัลแมกโกเลีย ซึ่งเธอได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย
ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน สุ่ยเวยจึงไม่มีอะไรจะถาม “ถึงเวลาคุณกับเจ๋อหยางจะไปด้วยกัน ถ้าคุณไม่เข้าใจอะไรก็ให้เขาช่วยเตือนคุณนะ”
แต่จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็นึกถึงภาพของฮันเจ๋อหยางและฮันเอินจีในวันนั้น “ไม่จำเป็นค่ะ ฉันทำเองได้”
สุ่ยเวยไม่คาดคิดว่าเธอจะปฏิเสธ เพราะทั้งสองดูจะสนิทกันมาตลอด
“อย่างนั้นก็ได้ ในฐานะผู้มอบรางวัล คุณลู่จะไม่ทำให้คุณดูแย่แน่นอน”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น “เขาจะไปด้วยเหรอคะ?”
“แน่นอนสิ คุณลู่ได้รับจดหมายเชิญก่อนคุณอีก”
เมื่อก่อนลู่เฉินมักปฏิเสธพิธีมอบรางวัลเสมอ และมักส่งคุณกู่เข้าร่วมแทน ครั้งนี้เขามาด้วยตนเองเพราะซูโย่วอี๋
ก็เพราะความรักนั่นแหละ แต่สุ่ยเวยไม่ได้พูดออกไปตรง ๆ
ซูโย่วอี๋ไม่แน่ใจว่าลู่เฉินจะปรากฏตัวในวันรับรางวัลหรือเปล่า
เรื่องนี้ทำให้หัวใจของเธอปั่นป่วน จนเธอสติหลุดเวลาถ่ายทำรายการวาไรตี้
ระหว่างการถ่ายทำ ไป๋เหิงเดินเข้ามาหา “อาจารย์ซู คุณมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่าคะ?”
เธอเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“เปล่า เมื่อคืนฉันแค่นอนไม่ค่อยหลับ ไม่ต้องห่วงหรอก ซ้อมต่อเถอะ”
ไป๋เหิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลังเดินไปสองก้าวก็หันกลับมา “อาจารย์ซู ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีคุณบอกฉันได้นะคะ ฉันจะไม่บอกคนอื่นหรอก”
เธอสัญญาอย่างกับเด็ก ๆ
ซูโย่วอี๋ได้ยินแล้วก็ขบขัน “ขอบคุณ แต่ฉันสบายดี”
อวี๋ชิงจ้าวเดินมาจากด้านข้าง “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ฉันไม่เป็นไร”
ซูโย่วอี๋ยืนกราน
แต่เมื่อเปิดโทรศัพท์ เธอก็พบว่าลู่เฉินยังไม่ได้ติดต่อมา หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง
เขาอาจไม่ว่างก็ได้…
…
เช้าวันเสาร์
ข่าวการกลับมาที่ปักกิ่งของลู่เฉินยังไม่มีวี่แวว แต่ข่าวลู่เฉินกับสาวผมบลอนด์ที่สนามบินในประเทศ M กลับพาดหัวข่าวเสียก่อน
ทำให้เวยป๋อถูกกระหน่ำ เซิร์ฟเวอร์เป็นอัมพาตอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะกู้คืนได้
ซูโย่วอี๋นั่งอยู่ในห้องแต่งตัว กำลังจัดแต่งทรงผมสำหรับพิธีมอบรางวัลในช่วงเย็น เธอยังไม่รู้เรื่องอะไร
ทันใดนั้น เหมยเหมยก็เข้ามาจากข้างนอก เธอมองไปที่ซูโย่วอี๋ด้วยท่าทางลำบากใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” ซูโย่วอี๋ถามเบา ๆ
“มีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของประธานลู่ค่ะ…”