ความลับ?
เจียงซื่อใจเต้นขึ้นมา
อวี้จิ่นลดเสียงลง “ทว่าหากเจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้วก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้นอกจากคนเพียงไม่กี่คน คนอื่นต่างไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”
เจียงซื่อเงยหน้ามองเขา รับรู้ได้ถึงความจริงจัง
“หากมันไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูด” เจียงซื่อพูดปากไม่ตรงกับใจ
อย่าพูดอะไรที่ไม่ควรพูด มิเช่นนั้นกลับไปนางก็ต้องรับผิดชอบอีก นางเพียงแค่อยากจะฟังความลับ ไม่ได้อยากจะรับผิดชอบ
เมื่อได้ยินเจียงซื่อพูดเช่นนี้ อวี้จิ่นก็รีบพูดออกไป “เหมาะสมที่จะพูดกับเจ้าที่สุดแล้ว”
สำหรับอวี้ชี แน่นอนว่าย่อมไม่มีความลับอะไรสำคัญมากไปกว่าการที่คนในใจของตัวเองเข้าใจผิด
อวี้จิ่นชำเลืองมองไปที่ประตูครู่หนึ่ง แล้วกระซิบพูดขึ้น “สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียวแห่งแถบทิศใต้ของหนานเจียงได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว”
เจียงซื่อที่รอว่าอวี้จิ่นจะพูดความลับอะไรออกมา พอได้ยินเขาพูด สายตาก็เปลี่ยนไปทันที
เรื่องที่สตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังจากโลกนี้ไปแล้วมันเป็นความลับจริงๆ แม้แต่คนในเผ่าอูเหมียวที่รู้เรื่องนี้ยังมีน้อยกว่าจำนวนนิ้วมือเลย… มีนางคนหนึ่ง อวี้ชีคนหนึ่ง ผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวคนหนึ่ง สาวรับใช้ข้างกายอาซังอีกคนหนึ่ง
นางเร่ร่อนมาถึงหนานเจียง และที่มีชีวิตอยู่อย่างราบรื่นก็เพราะอาศัยตัวตนของสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง นั่นก็เพราะข่าวการตายของอาซังไม่ได้ถูกแพร่งพรายออกไป ผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวแจ้งให้คนอื่นทราบว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าฌานบำเพ็ญตนอยู่
ที่หนานเจียงไม่ได้มีเพียงแค่เผ่าอูเหมียว มีเผ่าเล็กใหญ่รวมๆ อีกเป็นสิบที่อยู่ร่วมกัน แต่หนึ่งในนั้นเผ่าอูเหมียวมีอำนาจมากที่สุด พูดได้เลยว่าเผ่าอื่นล้วนมีเผ่าอูเหมียวเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นการกราบไหว้บูชาเหล่าทวยเทพหรือว่าติดต่อเจรจากับพวกตระกูลผู้ดีที่มีอาณาเขตติดกับหนานหล่าน เผ่าอูเหมียวล้วนเป็นคนออกหน้าทั้งหมด
ทว่าเผ่าอูเหมียวที่เป็นเช่นนี้กลับให้ความสำคัญในการเคารพสตรี เนื่องจากเคล็ดวิชาลับอูเหมียวของผีสางเทวดาที่ไม่อาจคาดเดาได้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้
สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่ถูกเลือกมาอบรมเลี้ยงดูฝึกฝนจากกลุ่มหญิงสาวอูเหมียวจำนวนมากมายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม เช่นนั้นบอกได้เลยว่า การตายของสตรีศักดิ์สิทธิ์มีผลกระทบอย่างหนักต่อเผ่าอูเหมียว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปอาจก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบางเผ่าได้อย่างง่ายดาย
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ผู้ใดจะยอมอยู่ใต้การปกครองไปตลอดกัน
เจียงซื่อไม่ได้ประหลาดใจเพราะความลับที่สตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังตาย แต่เป็นน้ำเสียงการพูดถึงเรื่องนี้ที่ดูไม่ใส่ใจของอวี้จิ่นต่างหาก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชายตรงหน้าพูดถึงเรื่องการตายของอาซังด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าหากอีกฝ่ายทำตัวเย็นชาขนาดนี้ต่อคนในใจเพื่อหลอกนาง นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
อวี้ชีที่นางรู้จักไม่ใช่คนเช่นนี้
แสงอรุณยามเช้าสว่างสดใสพอดี แม้ที่โถงกลางจะมีประตูกั้นเพื่อไม่ให้แสงเล็ดลอดเข้ามา ทว่ามันก็ยังคงสว่าง และเผยให้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยของคนคนหนึ่งได้ เจียงซื่อแน่ใจได้เลยว่า นางไม่เห็นความเสียใจฉายแววออกมาบนใบหน้าของชายตรงหน้าผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว
สิ่งที่แสดงออกมามากที่สุดบนใบหน้าที่หล่อเหลาและไม่เย็นชาเท่ากับชาติภพที่แล้วมีเพียงแค่การถอนหายใจออกมา
“สรุปแล้วสำหรับเผ่าอูเหมียว เรื่องการตายของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าอูเหมียวนั้นมันหนักหนาสาหัสมาก ตอนนี้นอกจากคนจำนวนน้อยที่รู้ คนอื่นล้วนไม่รู้อะไรเลย ข้าก็รู้เข้าโดยบังเอิญ” พูดจบ อวี้จิ่นก็หยุดไปครู่หนึ่ง
เจียงซื่อมองเขา มีคำถามมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในใจ และเหมือนว่าคำถามพวกนี้มันกำลังแผดเผาอยู่ในอก ทำให้นางเจ็บปวดรวดร้าว
สภาวะที่น่าจนปัญญาที่สุดเกรงว่าคงจะเป็นเหมือนนางเช่นนี้ สำหรับนาง เขากับนางเคยอยู่ด้วยกันมานาน แต่สำหรับเขานางเป็นเพียงแค่คนที่เขามีความรู้สึกดีๆ ด้วย นับไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนสนิท
แล้วนางจะเอ่ยปากถามออกไปได้หรือว่า ในเมื่อเจ้าไม่ชอบสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง เหตุใดถึงได้เก็บรักษาทะนุถนอมภาพเหมือนของอาซังไว้
หรือต้องถามว่า ในเมื่อไม่ชอบอาซัง เหตุใดชาติภพที่แล้วถึงเอ่ยออกมาจากปากเองว่าชอบ
เจียงซื่อรู้สึกมืดแปดด้าน นี่ไม่ใช่ความผิดของนาง และไม่ใช่ความผิดของเขา ราวกับว่าโชคชะตากำลังล้อเล่นกับใจคน
นางคิดด้วยความท้อใจ คงไม่มีทางเข้าใจเรื่องในชาติภพที่แล้วได้หรอก
และทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยพูดเสียงเรียบ “หากข้ามีใจให้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอูเหมียว แน่นอนว่าคงยอมแลกชีวิตกับนางไปแล้ว”
เจียงซื่อสั่นเทิ้มไปทั้งตัว พลางเอ่ยโพล่งถามออกไป “แลกชีวิตงั้นรึ”
อวี้จิ่นกลับมาอยู่ในมาดสุภาพ เขากะพริบตาปริบๆ “การที่พูดเช่นนี้ คนอื่นล้วนอาจเข้าใจผิดแน่ แต่ต้องไม่ใช่เจ้า มิเช่นนั้นมันไม่ยุติธรรมต่อข้าเกินไปแล้ว”
เผ่าอูเหมียวมีเคล็ดวิชาลับเยอะแยะมากมาย ซึ่งมีอยู่เคล็ดวิชาหนึ่งเป็นวิชาอันน่าอัศจรรย์ที่สามารถแลกชีวิตด้วยชีวิต มันถูกถ่ายทอดสู่กันมาแค่ในคนกลุ่มน้อย โดยเงื่อนไขในการทำนั้นทั้งทารุณโหดร้ายและยุ่งยาก ว่ากันว่ายานั้นจะต้องเป็นเลือดจากหน้าอกของผู้ร่วมพิธี และคนผู้นั้นจำเป็นต้องยินยอมทั้งกายและใจในการถวายให้
ถึงแม้เขาจะไม่รู้รายละเอียดและฤทธิ์เดชของเคล็ดวิชาลับอย่างแน่ชัด แต่หลังจากที่บังเอิญได้ยินมาก็รู้สึกตกใจมาก ซึ่งในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงหายนะของเผ่าอูเหมียวได้ทันทีหากว่าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป
การฟื้นคืนชีพจากความตายเป็นสิ่งยั่วยวนใจต่อผู้ที่มีพลังอำนาจอันน่ากลัว ซึ่งมันจะนำพามาซึ่งการทำลายทุกสิ่งอย่าง
เจียงซื่อละสายตามองไปทางอื่น มีความรู้สึกดีใจก่อตัวขึ้นมาในก้นบึ้งของหัวใจราวกับแม่น้ำที่เพิ่งละลายในฤดูใบไม้ผลิ มันละลายน้ำแข็งในเหมันตฤดูที่เกาะกุมอยู่ในใจนางมานานนับปีจนหมดสิ้น
นางต้องพยายามควบคุมไม่ให้น้ำตาไหลเอ่อล้นออกมาอย่างสุดความสามารถ ทว่าไม่นานหยดน้ำตาก็เริ่มเกาะตัวอยู่ที่ขนตาอันเรียวยาวของนางแล้วหยดลงมา
อวี้จิ่นไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร
ทำไมอาซื่อถึงร้องไห้ล่ะ
“ข้ายังมีเรื่องที่โกหกเจ้า…” อวี้จิ่นยืนหยัดที่จะเอ่ยปากพูดออกไป
ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องพูดอยู่ดี เช่นนั้นพูดออกไปเร็วๆ เลยดีกว่า ใครใช้ให้อาซื่อทำท่าเหมือนจะรู้แล้วกันล่ะ
เจียงซื่อมองไปที่เขา ดวงตาที่ถูกชะล้างด้วยน้ำตาเปล่งประกายออกมา “อะไรหรือ”
“เอ่อ…ที่จริงข้านามสกุลอวี้…”
“เยี่ยนอ๋องสินะ” เจียงซื่อถามเสียงเรียบ
อวี้จิ่นดีใจยกใหญ่ โชคดีที่เขาไม่มีความคิดที่อยากจะปิดบังต่อไป มิเช่นนั้นมันจบเห่แน่
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังพวกเจ้า ข้าแค่กลัวว่าหากน้องเจียงเอ้อร์รู้ตัวตนของข้า เขาจะไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่ด้วยกัน…”
เจียงซื่อเบ้ปาก “อืมๆ”
ถ้าหากเพิ่งรู้จักชายคนนี้ในชาติภพนี้ล่ะก็ ไม่แน่นางอาจจะเชื่อไปแล้ว กลัวพี่รองจะไม่เป็นตัวของตัวเองงั้นหรือ นี่มันตั้งใจจะเข้าหานางอย่างเงียบๆ เหมือนในชาติภพที่แล้วชัดๆ…
เมื่อมีความคิดนี้แวบผ่านขึ้นมาในใจ สีหน้าของเจียงซื่อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไม่ว่าจะชาติภพที่แล้วหรือชาติภพนี้ เขากับสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังก็รู้จักกันมาก่อน ส่วนนางนั้นรู้จักทีหลัง ชาติภพที่แล้วยังพูดได้ว่าพวกเขารู้จักกันจึงทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา แล้วชาตินี้ล่ะ
นางไม่ได้แสดงท่าทีที่ดีต่อเขามาตั้งแต่แรก ทว่าเขากลับตามติดไม่มีปล่อย ตอนแรกที่ยังไม่เคยรู้จักกัน นางสามารถอาศัยการที่มีปานสีแดงน้อยกว่าอาซังเม็ดหนึ่งแล้วทำให้เขาชอบนางได้เพียงแรกเห็นหรือ
มันเป็นไปไม่ได้ชัดๆ
เจียงซื่อยกฝ่ามือข้างที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาเท้าคาง ทำหน้าตาไม่แยแสพลางถามขึ้น “สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอูเหมียวสามารถทำให้เยี่ยนอ๋องเปิดใจได้ เห็นทีสตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นสาวงามแน่”
ความกังวลที่อยู่เต็มอกของอวี้จิ่นมลายหายไปทันที
นี่อาซื่อกำลังหึงอยู่งั้นหรือ ถ้าหากในใจนางไม่มีเขา นางก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอูเหมียวจะเป็นสาวงามหรือไม่
การค้นพบในครั้งนี้ทำให้เขามีความกล้าเพิ่มมากขึ้น หรืออาจจะพูดได้ว่าความกล้าและดื้อด้านเป็นนิสัยเดิมของเขาอยู่แล้ว
อวี้จิ่นพยักหน้าลงด้วยความจริงจัง “อันที่จริงสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอูเหมียวเป็นสาวงามที่หาได้ยาก”
เจียงซื่อเงียบไม่พูดไม่จา
อวี้จิ่นเขยิบเข้ามาใกล้เล็กน้อย “อาซื่อ เจ้าหึงข้าหรือ”
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง”
นางไม่ควรจะพูดอะไรไร้สาระกับตาบ้าที่ชอบพูดจาซีซั้วคนนี้เลย!