บทที่ 293 กระชากหน้ากากซุนฮ่วย

เว่ยฉิงมีสีหน้าครุ่นคิด และเงียบขรึม ซุนฮ่วยจึงพูดออกมาว่า

“ใต้เท้า อย่าโกรธเลย เฉาฉางซีเป็นเพียงคนใจร้อนวู่วามเขาคงไม่ได้มีเจตนาจะทำลายบัญชีรายชื่อเล่มนั้นหรอกขอรับ”

ซุนฮ่วยแต่งเติมเสริมใส่ไฟต่อ คิดว่าคำพูดของตนเองจะยิ่งทำให้ใต้เท้าโกรธมากยิ่งขึ้น เขากำลังรอดูหายนะของเฉาจี

“ถ้าเช่นนั้น ให้ท่านซุนฮ่วยช่วยไปทำมาใหม่อีกเล่มหนึ่งเถอะ”

ในที่สุดเว่ยฉิงก็พูดออกมา

อะไรนะ! ซุนฮ่วยสงสัยว่าเขาหูฝาดไปแล้วหรือ ท่านรองเจ้าคณะผู้นี้ไม่สมควรจะโกรธเฉาจีหรอกหรือ? เหตุใดเป็นเขาเล่า?

เว่ยฉิงมองซุนฮ่วยด้วยสายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวที่มองทะลุอุบายเล็กน้อยตื้นเขินของเขา ความหนาวเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่งแผ่นหลัง ซุนฮ่วยตัวสั่น

“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรอกหรือ?” น้ำเสียงของเว่ยฉิงเย็นชา

“ข้า ข้าได้ยินแล้วขอรับ” ซุนฮ่วยพูดอย่างลนลาน

“เฉาจี เจ้าพาข้าไปดูรอบ ๆ หน่อยเถอะ”

“ขอรับใต้เท้า” เว่ยฉิงเดินตามเฉาจีออกไป ใบหน้าของซุนฮ่วยซีดลง เหงื่อไหลท่วมเต็มแผ่นหลัง นายทะเบียนสองคนมองเขาอย่างตื่นตะหนก ช่วงที่ผ่านมาซุนฮ่วยเป็นคนสนิทของรองเจ้าคณะมณฑลคนเก่า พวกเขาได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นเพราะติดตามซุนฮ่วย ทั้งสองคนจึงเชื่อว่าหากเขาได้ติดตามซุนฮ่วยต่อ อย่างไรเสียก็ย่อมรักษาตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาเอาไว้ได้ แต่ตอนนี้…

“ท่านอาจารย์ซุน พวกเราควรทำอย่างไรดี?”

“ท่านรองเจ้าคณะคงเห็นแล้วว่าพวกเรา…”

หากรองเจ้าคณะรู้ว่าพวกเขาพูดเท็จละก็ อาชีพของเขาคงได้จบสิ้นเป็นแน่

“พวกเจ้าจะยืนทื่อกันอยู่ทำไม ไม่ได้ยินที่ใต้เท้าสั่งหรือรีบไปทำบัญชีรายชื่อทหารมาใหม่สิ” ซุนฮ่วยพูดอย่างโมโหจนนายทะเบียนทั้งคู่ตัวสั่น

เฉาจีเดินตามหลังเว่ยฉิง ยามที่มีคนมากมายเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา หากต่อเมื่อไร้ผู้คนแล้วเขาจึงได้หยุดมองเว่ยฉิงอย่างเต็มตา

นี่ไม่ใช่เว่ยฉิงหรอกหรือ? แต่เมื่อมองพิจารณาให้ดีก็รู้ว่าท่าทางของเขานั้นผิดแผกไปจากเว่ยฉิงคนเดิมเป็นอย่างมาก เว่ยฉิงคนก่อนเป็นคนเรียบง่ายไม่ได้มีท่าทางของการเป็นเจ้าคนนายคนแต่อย่างใด

หรือเขาจะเป็นพี่น้องฝาแฝดของเว่ยฉิงหรือ?

ยิ่งเฉาจีมองมากเท่าไหร่ในใจก็ให้สับสนมากขึ้นเท่านั้น

เว่ยฉิงยิ้มให้เขา ความเย็นชา วางท่าไว้ตัวทั้งหลายหายไปจนหมดสิ้น กลายเป็นเว่ยฉิงที่เขาเคยรู้จัก เฉาจีตกตะลึงก่อนจะได้สติ เขาเอาข้อศอกกระทุ้งชายผู้นั้นก่อนจะหยอกเย้าว่า

“พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นจู่ ๆ พี่กลายเป็นอู่เสี่ยวโหวไปได้อย่างไรกัน ทั้งยังเป็นรองเจ้าคณะมณฑลอีกด้วย”

เว่ยฉิงหายไปนานเกือบสามปี กลับมาด้วยสถานะใหม่และตัวตนใหม่ เฉาจีย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก

“เรื่องมันยาว แต่เจ้าจำเอาไว้ว่าข้าคืออู่อวี้เป็นรองเจ้าคณะมณฑลชิงเหอคนใหม่ ห้ามเปิดเผยความลับของข้าอย่างเด็ดขาด”

แววตาของเว่ยฉิงจริงจัง เฉาจีพยักหน้ารับก่อนจะพูดว่า

“ไม่ต้องห่วงพี่เป็นคนที่ปัดเป่าความทุกข์ร้อนของข้า พวกเราเป็นพี่น้องกัน พี่จะทำอะไรขอให้เรียกใช้บอกข้าได้เลย”

ถ้าไม่ใช่เพราะถังหลี่และเว่ยฉิงแล้ว เขาจะมีชีวิตที่มีความสุขกับเซี่ยเซี่ยอยู่เหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร?

“บอกข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของมณฑลนี้ให้ข้าฟังหน่อยเถอะ ข้าจะได้ทำหน้าที่รองเจ้าคณะที่ดีได้”

เว่ยฉิงตบบ่าเฉาจีอย่างเป็นกันเอง

“ใต้เท้า ท่านเห็นปัญหาของซุนฮ่วยได้อย่างรวดเร็ว”

“แค่ลูกไม้ตื้น ๆ เท่านั้น” เว่ยฉิงพูดอย่างดูถูก ซุนฮ่วยผู้นี้โง่เขลาเหลือเกินมองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว

“ถึงจะเป็นแค่อุบายตื้นเขินก็ตามที แต่รองคณะเจ้ามณฑลคนก่อนชอบการประจบสอพลอของเขามาก”

เว่ยฉิงย่อมเล็งเห็นในสิ่งนี้เช่นกัน ถ้าหากเขาต้องการที่จะทำงานในตำแหน่งนี้ให้ราบรื่น เขาต้องแก้ไขบรรยากาศในการทำงานเสียใหม่ ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้มีประโยชน์

โชคดีที่มีเฉาจีซึ่งเปรียบเสมือนน้องชายของเขาจึงไม่ได้เป็นการยากที่จะแก้ไขแต่อย่างใด

……………..

ซุนฮ่วยอารมณ์เสียเมื่อเห็นรองเจ้าคณะมณฑลคนใหม่ให้ความสนใจเฉาจีเป็นอย่างมาก ในส่วนตัวเขาเองไม่ได้มีทักษะในการทำงานมากนักอาศัยเพียงแต่ว่าเป็นคนประจบสอพลอเก่งอีกทั้งเป็นหลานชายของอดีตรองเจ้าคณะมณฑล เขาจึงรักษาตำแหน่งหน้าที่การงานเอาไว้ได้

แต่นี่ก็นับได้ว่าเป็นทักษะเฉพาะตนเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นเขาจะขย้ำเฉาจีจนเกือบพ่ายแพ้หมดรูปได้อย่างไร? ดังนั้นเมื่อเจอกับรองเจ้าคณะมณฑลคนใหม่เขาจึงจำเป็นต้องอาศัยความประจบสอพลอเท่านั้น อาทิ การให้เงินใต้โต๊ะหรือใช้กลยุทธ์สาวงาม เป็นต้น เขามีไม้เด็ดอยู่ในมือ นั่นคือลูกสาวของเขาเอง

บุตรสาวของเขาอายุแค่สิบสี่ปีเท่านั้น นางงดงามเบ่งราวกับผลท้อ เขาลงทุนไปกับบุตรสาวคนนี้มาก เชิญอาจารย์หญิงที่ดีที่สุดมาสอนวิชาต่าง ๆ แก่นาง เทียบไปแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าบุตรสาวตระกูลขุนนางในเมืองหลวงอย่างแน่นอน

อีกทั้งนางยังมีความชำนาญในการเอาอกเอาใจบุรุษอีกด้วย ซุนฮ่วยรักและถนอมลูกสาวมาโดยตลอด เดิมทีเขาหาโอกาสที่จะมอบนางให้เป็นอนุแก่เจ้าคณะมณฑล แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้คงต้องฉวยนางมาหยิบใช้ไปก่อน

รองเจ้าคณะมณฑลผู้นี้อายุไม่มาก เพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น เขายังหนุ่มมีกำลังวังชา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ชอบสาวงาม เพียงแต่คนที่ส่งไปก่อนหน้านี้อาจจะไม่สะดุดตาเท่าลูกสาวของเขา

เขาเชื่อเหลือเกินว่าบุตรสาวของเขาคนนี้คงทำให้รองเจ้าคณะมณฑลคนใหม่ต้องหลงใหลเป็นแน่ ซุนฮ่วยมีความมั่นใจ เขาหาโอกาสที่จะให้ลูกสาวปรากฏตัวต่อหน้าท่านอู่อวี้ แต่ทว่ารองเจ้าคณะมณฑลผู้นี้เป็นคนเก็บตัวสันโดษ เลิกงานก็ขี่ม้ากลับจวนทันทีเขาจะหาโอกาสได้ที่ไหนกัน

เว่ยฉิงยุ่งวุ่นวายหัวหมุนมาถึงมาสองวันแล้ว ด้วยต้องสะสางงานเดิมของอดีตเจ้ารองคณะที่ทิ้งไว้ให้ แต่เขาไม่ได้บ่นอะไรเพราะมีเฉาจีคอยช่วยเหลือ

เว่ยฉิงรู้ว่าจิ้งจอกเฒ่าอย่างใต้เท้าเหวินต้องแอบดูการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ คงเป็นการดีถ้าหากทำให้เขาประทับใจบ้างไม่มากก็น้อย

สองวันถัดมาเป็นวันหยุด ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะสถานะของอู่อวี้แล้วละก็ เว่ยฉิงคงได้นอนกอดภรรยาและลูก ๆ อยู่ที่บ้านได้อย่างมีความสุข แต่ในเมื่อทำไม่ได้และต้องอดทน เขาจึงริเริ่มคิดที่จะไปหาภรรยาที่ร้านอาหารหนิงเฟิง ร้านนี้ภรรยาเขาเป็นเจ้าของร้าน การจะได้เจอนางจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

เว่ยฉิงขี่ม้าไปที่ร้านอาหารหนิงเฟิง เมื่อลงจากหลังม้าเขาโยนสายบังเหียนให้กับเด็กที่เฝ้าดูแลม้าก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านอาหารเขาเดินขึ้นไปยังชั้นบน

“ท่านต้องการห้องส่วนตัวไหมขอรับ” เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นเสื้อผ้าที่หรูหรา ท่าทางที่สง่างามของเว่ยฉิงดูแตกต่างจากผู้อื่นเขาขยิบตาถามทันที

“ไม่ล่ะ หาโต๊ะข้างหน้าต่างที่ห้องโถงให้ข้าทีเถอะ” เว่ยฉิงไม่สนใจ ห้องพิเศษ

“ขอรับเชิญทางนี้” เสี่ยวเอ้อร์พาเขามานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เว่ยฉิงสั่งสุราและอาหารทานเล่นสองสามอย่างก่อนที่จะมองไปรอบๆ การตกแต่งของร้านนี้หรูหรามาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและบัณฑิต พวกเขานัดหมายคุยธุระกันเป็นส่วนใหญ่

เว่ยฉิงมองไปที่คนผู้หนึ่ง ชายคนนั้นดูมีท่าทีสนอกสนใจผู้คนรอบข้างเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น พ่อค้าที่โต๊ะหน้าประตูกำลังสนทนาเกี่ยวกับการค้าตลาดผ้าไหม ชายผู้นั้นเดินช้า ๆ เข้าไปหาพอได้ข่าวที่เป็นประโยชน์ก็รวบรวมมาให้ ดูจากฝีเท้าแล้วเขามีฝีมือไม่น้อยเลยทีเดียว

ดวงตาแหลมคมของเว่ยฉิงกวาดสายตาไปทั่วมองชายแปดคนให้ห้องโถง สามคนเป็นคนธรรมดา หากอีกห้าคนเป็นเป็นยอดฝีมือ ภรรยาของเขาไม่ใช่จะทำแค่ร้านอาหารเท่านั้นหากยังเป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารอีกด้วย

ภรรยาของเขาฉลาดจริง ๆ!

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“ใต้เท้า บังเอิญเหลือเกินมาเจอท่านที่นี่ได้!”