ตอนที่ 94-1 บุตรชาย
ชั่วพริบตาที่จีหว่านถูกน้ำสาด ขนทั่วร่างพลันลุกชัน นางเป็นผู้ที่แม้แต่ผมเส้นเดียวขาดยังยอมไม่ได้ ตอนนี้กลับถูกสาดน้ำจนสภาพเหมือนก้านผัก! กลิ่นเนยอบอวลผสมปนเปกับกลิ่นหอมของแป้งประทินโฉมทำให้ท้องไส้นางปั่นป่วน เกือบจะอาเจียนออกมาตรงนั้น!

เลือดไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งปรี๊ดขึ้นศีรษะ เจ็ดทวารแทบจะมีควันโฉยออกมา ใบหน้าแดงก่ำ ลำคอหนาขึ้นตาม สองมือกำหมัดแน่น ทั้งร่างกำลังสั่น ‘ระริก’!

ผู้ใด

ผู้ใดใจกล้าปานนี้ กล้าสาดน้ำสกปรกใส่หัวนาง!

นางเงยหน้ามองอย่างเย็นชาก็เห็นสวีซื่อผู้กำลังตกตะลึงยิ่งกว่าตัวนาง

สวีซื่อไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฮูหยินผู้นี้โผล่พรวดมาจากที่ใด เมื่อครู่นางเล็งคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวอยู่แท้ๆ เหตุไฉนพริบตาเดียว คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวกับบุตรกลับหายไป กลายเป็นฮูหยินผู้นี้ผุดออกมาจากพื้นดินแทน!

แวดวงสังคมของเมืองหลวงจะกล่าวว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะกล่าวว่าเล็กก็ไม่เล็ก ก่อนเริ่มคุยกันเรื่องการแต่งงานระหว่างเฉียวอวี้ซีกับจีหมิงซิว สวีซื่อไม่เคยคบหากับคนตระกูลจีมาก่อน แม้ว่าภายหลังสองบ้านจะไปมาหาสู่กันอยู่บ้าง แต่เพราะจีหว่านปฏิเสธมิยอมพบหน้านางมาตลอด ด้วยเหตุนี้แม้จีหว่านผู้ที่สวีซื่อคะนึงหาอยู่ทุกห้วงขณะจิตจะมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว แต่นางกลับไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ทว่าเมื่อจีหมิงซิวอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งก้าวลงจากบนรถม้าเดินมาถึงข้างกายจีหว่าน จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง นางก็เหมือนจะเดาอันใดออกแล้ว

จีหมิงซิวส่งผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้จีหว่าน

คุณหนูจีผู้คาบช้อนทองมาเกิด ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้มาก่อน แล้วยังต่อหน้าธารกำนัลอีกด้วย ถนนที่เดิมทีเย็นเยือกอยู่แล้วเหมือนมีสายลมหอบหนึ่งโชยพัด พัดเอาคนทั้งปวงมาชมดูเรื่องสนุก

จีหว่านกวาดสายตามองฝูงชมที่มาล้อมมุงดูอย่างเย็นชา นางรับผ้าเช็ดหน้าที่จีหมิงซิวส่งให้ จากนั้นบุกขึ้นไปยังชั้นบนอย่างเกรี้ยวกราด

สวีซื่อรู้ว่าตนก่อเภทภัยครั้งใหญ่ขึ้นมาแล้ว นางอยากจะงอกปีกสักคู่บินหนีออกไปจากหน้าต่างเสียเหลือเกิน

จีหว่านมาถึงห้องส่วนตัวของสวีซื่อย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงสาวเท้าไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้าสวีซื่อ แล้วฉวยถ้วยบนโต๊ะขว้างลงแทบเท้าสวีซื่ออย่างรุนแรง

สวีซื่อตกใจจนสะดุ้งโหยง! นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่นพลางถอยไปชิดหน้าต่าง เพียงผลักนิดเดียว นางก็คงร่วงตกลงไป

นางมองจีหว่านอย่างหวาดผวา “ขออภัย หลินฮูหยิน ข้าไม่ได้เจตนา…”

“อ้อ ที่แท้ก็รู้จักข้าด้วย” จีหว่านยิ้มเย็นชา สุ้มเสียงเข้มขึ้นอย่างฉับพลัน “เป็นเช่นนั้นแล้วเจ้ายังกล้าสาดน้ำใส่ข้าอีก!”

สวีซื่อมิอาจบอกจีหว่านว่าคนที่ข้าจะสาดมิใช่ท่านแต่เป็นผู้อื่น หากกล่าวเช่นนั้นมิใช่บอกว่าจีหว่านโชคร้ายเองหรือไร

สวีซื่อตั้งสติแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าดื่มชาอยู่ริมหน้าต่าง เผลอไม่ทันระวังชั่วครู่ก็หลุดมือ ทำน้ำหกลงไป ครั้งนี้ข้าเป็นคนผิดเอง ข้าขออภัยต่อหลินฮูหยิน!”

จีหว่านเอ่ยเสียงเย็นชา “ขออภัยประโยคเดียวก็จบเรื่องแล้วหรือ ข้าจีหว่านรังแกง่ายดายนักใช่หรือไม่ คนทั้งเมืองหลวงที่อยากสาดน้ำชาใส่ข้าจีหว่านเรียงแถวจากประตูเมืองไปจรดถึงเตียนตู วันนี้ข้าอภัยเจ้า วันหน้าผู้อื่นคงล้วนเอาอย่างเจ้า ข้าต้องอภัยหรือไม่ให้อภัยดีเล่า”

ความสัมพันธ์กับคนอื่นของจีหว่าน โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับสตรี ให้พูดก็ออกจะพูดยากอยู่บ้าง

“หลินฮูหยิน มิว่าท่านเชื่อข้าหรือไม่ เรื่องเมื่อครู่เป็นความบังเอิญจริงๆ ข้ามิได้เจตนาเล่นงานท่านแน่นอน วันนี้เดิมทีข้าก็มีธุระต้องการพบท่าน ยังส่งคนไปจวนกั๋วกงอยู่เลย…”

จีหว่านชี้ศีรษะที่เปื้อนคราบสกปรกของตนเอง “นี่คือเรื่องที่เจ้าอยากพบข้าหรือ บ้านไหนตระกูลไหน แจ้งชื่อมาเสีย!”

สวีซื่อยกหินทับเท้าตัวเองแท้ๆ จะเอาคืนคุณหนูใหญ่เฉียวไปทำอะไรกันนะ ทั้งที่มีโอกาสล้มนางได้แล้ว แต่ผลปรากฏว่าดันก่อเรื่องเช่นนี้ คงจัดการไม่ง่ายแล้ว

หากแจ้งชื่อตระกูลก็เกรงว่าจีหว่านจะเข้าใจผิด หากปิดบังตัวตนจีหว่านก็มิใช่ว่าจะตรวจสอบไม่พบ จะรุกจะถอยก็ยากทั้งสองทางจริงๆ!

สวีซื่อฝืนใจตอบ “ข้าเป็นภรรยาของรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงเฉียว ล่วงเกินหลินฮูหยินแล้ว ขอหลินฮูหยินโปรดอภัยด้วย”

“ภรรยาของรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงเฉียวหรือ มิน่าถึงสาดน้ำชาใส่ข้า! คิดแค้นที่น้องชายข้าจับบุตรสาวเจ้ากับสามีเจ้ายัดเข้าคุกใช่หรือไม่ อ้อ สามีข้าเป็นตุลาการศาลต้าหลี่ ตอนแรกมิฟังคำวอนขอของพวกเจ้า ไม่ไว้หน้าพวกเจ้า คนที่ไม่ยอมให้รองหัวหน้าสำนักหมอหลวงเฉียวประกันตัวออกจากคุกก็คือเขา! เจ้าใจกล้านักนะ มาแก้แค้นบนศีรษะข้า!”

ดูสิดู นางรู้อยู่แล้วเชียวว่าจีหว่านต้องเข้าใจผิด!

นางถูกใส่ร้ายแท้ๆ นางไม่เคยคิดจะไปแก้แค้นจีหว่านเสียหน่อย จีหว่านกับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิด นางคงกินอิ่มไม่มีงานทำแล้วจึงจะไประบายโทสะใส่ศีรษะของจีหว่าน!

จีหว่านหัวเราะหยัน “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นด้วยเรื่องงานแต่งงานของบุตรสาวเจ้ากับหมิงซิว เจ้าเองก็แค้นข้าแทบแย่แล้วสินะ คงคิดว่าข้าเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลังการถอนหมั้นของจีหมิงซิวใช่หรือไม่”

มีแรงจูงใจในการก่อคดีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างแล้ว!

ต่อให้สวีซื่อกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินมิได้เสียแล้ว ปวดศีรษะแทบตายจริงๆ!

สุดท้ายสวีซื่อก็ถูกคนของทางการจับตัวไป เพื่อหลบเลี่ยงข้อครหา จีหว่านจึงเรียกคนของจวนเจ้าเมืองมา ความจริงเพียงสาดชาเนยถ้วยหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจเท่านั้น นับเป็นเรื่องใหญ่ประการใดมิได้ แต่จีหว่านจะเอาเรื่องให้ได้ คนของทางการยังจะมีหนทางใดอีก

จนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานของทางการลากออกจากโรงน้ำชาไป สวีซื่อก็ยังไม่มีโอกาสได้ ‘พูด’ เรื่องคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว

จีหว่านถูกน้ำชาสาดจนตัวสกปรก จะให้อยู่พบหน้าผู้คนต่อย่อมเป็นไปไม่ได้ นางจึงกำชับวั่งซูประโยคหนึ่งว่า “วันหน้าข้าค่อยไปพบมารดาของเจ้า” จากนั้นจึงนั่งรถม้ากลับจวนกั๋วกง

จีหมิงซิวอุ้มวั่งซูเดินเล่นรอบถนนเหนือเส้นที่สอง จากนั้นจึงหาสองแม่ลูกพบที่ร้านบะหมี่เล็กๆ แห่งหนึ่ง เฉียวเวยสั่งถั่วเขียวต้มน้ำตาลสองถ้วย กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยจนแก้มพองอยู่กับบุตรชาย

จีหมิงซิวอุ้มวั่งซูเข้าไปนั่ง

วั่งซูไม่ได้พบหน้ามารดามาพักใหญ่ก็โถมเข้าไปซุกในอ้อมแขนเฉียวเวย ออดอ้อนอยู่ครู่หนึ่ง

เฉียวเวยเดิมทีอยากสั่งสอนนาง มีอย่างที่ไหน แสดงละครอยู่ดันไปหลับอุตุในอ้อมแขนของผู้อื่น หากไม่รู้ คงคิดว่านั่นเป็นบิดาแท้ๆ ของนางแล้ว! แต่พอนางเข้ามาเกาะหนึบเช่นนี้ เอาศีรษะน้อยๆ ถูไถกับบ่าของเฉียวเวย หัวใจเฉียวเวยก็ถูกคลอเคลียจนละลาย

“หมดปัญญากับเจ้าจริงๆ!” เฉียวเวยจิ้มหน้าผากน้อยของนาง “กินถั่วเขียวต้มหรือไม่”

วั่งซูผงกศีรษะดั่งตำกระเที่ยม “กิน!”

เฉียวเวยวางวั่งซูลงบนม้านั่ง ให้นั่งเรียงกับบุตรชายจนเรียบร้อย จิ่งอวิ๋นป้อนนางหนึ่งช้อนอย่างใส่ใจยิ่งนัก “หวานหรือไม่”

“หวาน!” วั่งซูเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก

เฉียวเวยหยิบช้อนสะอาดคันหนึ่งส่งให้นาง นางกับพี่ชายจึงเริ่มกินทีละคำน้อยๆ

เจ้าตัวน้อยสองคนกินถ้วยเดียวก็พอแล้ว เฉียวเวยคิดจะสั่งให้จีหมิงซิวอีกถ้วย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นผู้ที่แม้แต่อาหารค้างคืนยังไม่กิน ถั่วเขียวต้มของร้านเล็กๆ เช่นนี้ไม่รู้ว่าจะเข้าไปอยู่ในสายตาเขาได้หรือไม่ “ท่านจะกินหรือไม่ หากกินจะสั่งให้ท่านอีกถ้วยหนึ่ง”

“ไม่ต้องลำบาก” จีหมิงซิวเอ่ยตอบ

เฉียวเวยคิดว่าเขาคงหมายความว่าจะไม่กิน จึงขานรับคำหนึ่งแล้วก้มหน้ากินของตนเองต่อ ไหนเลยจะทราบว่าเพิ่งตักขึ้นมาได้หนึ่งช้อนก็เห็นมือเรียวดั่งหยกข้างหนึ่งยื่นมาฉวยช้อนของนางไปอย่างแผ่วเบาแล้วยกถ้วยของนางตามไปด้วย

ถ้วยเป็นถ้วยกระเบื้องขาว ช้อนก็เป็นช้อนกระเบื้องขาว มีตำหนิอยู่เล็กน้อยจึงดูออกว่าราคาถูกอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อมีมือเช่นนี้ข้างหนึ่งถืออยู่ กลับรู้สึกว่ากระเบื้องขาวฉับพลันส่องประกายใสดั่งหยกเนื้อดี แม้แต่รอยตำหนิเล็กน้อยนั่นก็ให้ความรู้สึกงดงาม

เขากินคำหนึ่งแล้วกล่าวว่า “หวานทีเดียว”

ก็ไม่รู้ว่าพูดถึงถั่ว หรือหมายถึงช้อนที่นางกินไปแล้วกันแน่

“นั่นข้ากินไปแล้วนะ” เฉียวเวยเอ่ยเตือน

จีหมิงซวิมองนางแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “นั่นข้าก็กินไปแล้ว”

เฉียวเวยเริ่มแรกยังคิดตามไม่ทัน คิดว่าเขาหมายถึงช้อน แต่ในใจครุ่นคิดว่าท่านเคยกินตั้งแต่เมื่อใดทำไมข้าไม่ทราบ ทว่าเมื่อสบกับสายตาของเขาที่จับจ้องริมฝีปากของนาง ใบหน้าก็พลันแดงก่ำในพริบตา!

เมื่อกินเสร็จแล้ว จีหมิงซิวก็จ่ายเงิน เขาควักเงินก้อนน้อยก้อนหนึ่งออกมามอบให้อีกฝ่ายอย่างใจกว้างยิ่งนัก

เฉียวเวยหัวใจบีบรัดอย่างเจ็บปวด ลูกล้างลูกผลาญหนอลูกล้างลูกผลาญ รู้หรือไม่ว่าเงินหนึ่งตำลึงซื้อของได้มากเท่าไร ไข่เป็ดหนึ่งร้อยฟอง แป้งสาลีหนึ่งร้อยชั่ง ข้าวสารหนึ่งร้อยชั่ง เนื้อหมูสิบชั่ง เนื้อวัวสิบชั่งกับเนื้อแพะสิบชั่ง อาหารมากมายเช่นนี้เพียงพอให้ครอบครัวชนบทครอบครัวหนึ่งกินได้หลายเดือน หรืออาจจะนานกว่านั้นเพราะตัดใจซื้อเนื้อไม่ลง ซื้อแต่ข้าวกับแป้ง

ช่างเถิดๆ คุณชายใหญ่โตจากตระกูลขุนนางผู้มีความดีความชอบเช่นนี้ จะเข้าใจความเศร้าของการใช้ชีวิตอย่างคนชนชั้นล่างสุดได้เช่นไรเล่า

เขาเกิดมาก็อยู่สูงกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง แม้ตนเองไม่ดิ้นรนก็อยู่อย่างสบายไร้กังวลได้ทั้งชาติ ไหนเลยจะเหมือนแม่ม่ายยังสาวเช่นนาง ทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ หนึ่งคนทำงานสามคนใช้ แต่จนแล้วจนรอดแม้แต่เตียงป๋าปู้หลังหนึ่งก็ไม่มีปัญญาซื้อ

พอขึ้นรถม้า จิ่งอวิ๋นก็ง่วงงุน เฉียวเวยอุ้มเขาขึ้นมาลูบหลัง เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

วั่งซูเพิ่งนอนหลับมาจึงยังคึกอยู่มาก นางเกาะหน้าต่างรถม้าชะเง้อมองนั่นมองนี่

เฉียวเวยเงียบงันยิ่งนัก

จีหมิงซิวเอนกายเข้าไปหานาง “ยังโกรธอยู่หรือ”

เฉียวเวยไม่ตอบ

จีหมิงซิวมองนาง “โกรธจริงหรือ”

ไม่โกรธได้หรือ ลองบุตรสาวท่านถูก ‘ลักพาตัว’ ไปบ้างสิ

แต่ความจริง…ก็ไม่ได้โกรธปานนั้น

หากกล่าวให้ชัดเจนก็คือนางโกรธจนหายโกรธแล้ว ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้มาก่อนว่ามารดาของเขาจากโลกไปแล้ว จึงหงุดหงิดว่าเหตุใดพี่สาวของเขาจู้จี้กับการแต่งงานของเขาไม่เลิกรา ตอนนี้จึงได้รู้ แล้วก็เข้าใจการกระทำของพี่สาวเขาแล้ว

เมื่อนั่งลงตรองให้ดี ยามนั้นในสถานการณ์เช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นตนก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าเขา พี่สาวของเขานิสัยดื้อดึง ไม่เล่นไม้แข็งสักครั้ง คงไม่มีวันล้มเลิกความคิดของนางได้

ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นตัวนางเองที่ส่งวั่งซูไปให้เขา เขาจึงปล่อยให้วั่งซูช่วยเขาตัดวาสนาดอกท้อจนย่อยยับ หากจะกล่าวโทษกันจริงๆ ก็ต้องโทษตัวนางเองที่คิดแผนการพิเรนทร์ออกมา

เพียงแต่ไม่โกรธก็ส่วนไม่โกรธ แต่อย่างไรก็ต้องวางท่าเอาไว้บ้าง ไม่ให้เขาคิดว่านางรังแกง่ายนัก

จีหมิงซิวเห็นนางแสร้งทำท่าโกรธเคือง ริมฝีปากก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย

รถม้าแล่นผ่านร้านขายเครื่องเรือน จีหมิงซิวถามอย่างใส่ใจ “ดูเครื่องเรือนเรียบร้อยแล้วหรือไม่ จะไปดูอีกสักหน่อยหรือไม่”

ยังไม่…ไม่ต้องแล้ว ชิ้นไหนก็ซื้อไม่ไหว ดูไปก็เปล่าประโยชน์

“ไม่ต้องแล้ว ดูเรียบร้อยแล้ว” นางตอบสีหน้านิ่งสนิท

“สั่งแล้วหรือ” จีหมิงซิวถาม

“สั่งแล้ว!” นางตีหน้านิ่งแล้วพยักหน้า

จีหมิงซิวยกมุมปาก “สั่งแล้วก็ดี”

ล้อรถม้าส่งเสียงดังกึกกักอีกพักหนึ่ง รถม้าก็แล่นออกจากถนนเหนืออันเจริญรุ่งเรือง เข้ามายังถนนใหญ่ราบเรียบอันกว้างขวางฝั่งตรงข้ามแล้วมุ่งหน้าลงใต้ ทางฝั่งใต้ไม่เพียงมีประตูเมืองทิศใต้ที่จะกลับบ้าน ยังมีเรือนสี่ประสานของจีหมิงซิวด้วย

จิ่งอวิ๋นหลับสบายอุราอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย เขาไม่กรน ลมหายใจสงบและสม่ำเสมอ ใบหน้างดงามยิ่งกว่าน้องสาวดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง

วั่งซูยืนอยู่ฝั่งจีหมิงซิวพลางเปิดม่านรถด้านข้างขึ้นสูง ร่างกายเล็กจ้อยเกาะอยู่บนหน้าต่างรถชื่นชมทิวทัศน์ที่พุ่งผ่านไปด้านหลังไม่หยุด พลางส่งเสียงร้องว้าวอย่างตื่นเต้น

“ชู่” เฉียวเวยทำมือบอกให้เบาเสียง “พี่ชายหลับอยู่”

จิงอวิ๋นเป็นคนหลับไม่ลึก ถูกปลุกให้ตื่นง่ายมาก

วั่งซูหันกลับไปมองพี่ชายแวบหนึ่งก็เห็นว่าพี่ชายกำลังหลับอยู่จริงๆ จึงรีบปิดปากน้อยของตนเอง แล้วไปเกาะขอบหน้าต่างรถต่อ ปากอ้ากว้างแต่ไม่มีเสียงตะโกนดังออกมา

แขนของจีหมิงซิวโอบร่างเล็กจ้อยของนางไว้ ไม่ให้นางตื่นเต้นจนร่วงตกลงไป

วั่งซูบอกไม่ถูกว่านางตื่นเต้นเพราะได้เห็นทิวทัศน์ข้างทางหรือเพราะว่าถูก ‘บิดา’ ปกป้องไว้ในอ้อมแขน

ไม่ว่าอย่างไรนางก็กำลังมีความสุขยิ่งนัก อยากจะกระโดดอยากกระโดดนักเชียว!

วั่งซูกระโดดโลดเต้นอย่างคึกคัก แต่ไม่ว่านางจะกระโดดอย่างไรก็มีแขนแข็งแรงข้างหนึ่งคอยปกป้องนางไม่ห่าง

เฉียวเวยเห็นภาพนี้ หัวใจก็สั่นไหว บางทีนางอาจไม่ต้องการสามี แต่ลูกของนางต้องการบิดาสักคน

ฝ่ามือใหญ่ของจีหมิงซิวทาบทับลงมากุมมือของนางที่อยู่ใต้แขนเสื้อกว้าง

เฉียวเวยขยับจะดึงมือกลับ แต่เขากลับกุมไว้แน่นกว่าเดิม

บุตรชายกำลังหลับสบายอยู่ในอ้อมแขนของนาง บุตรสาวกระโดดโลดเต้นอย่างตื่นเต้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา ส่วนมือของนางก็ถูกฝ่ามือหนาที่ใหญ่แต่อบอุ่นของเขากอบกุมเอาไว้

ผู้ใดก็มิได้เอ่ยวาจา ภายในรถม้าอันสงบเงียบ ความรู้สึกบางเบาอันไม่คุ้นเคยผุดพรายขึ้นมาอย่างไร้ที่มา มันอบอุ่นและชวนให้คนนึกชอบ

จีหมิงซิวขอให้เฉียวเวยค้าง แต่เฉียวเวยปฏิเสธ จะค้างทำอะไรเล่า แม่ม่ายสาวคนหนึ่ง บุรุษฉกรรจ์โสดสนิทคนหนึ่ง ฟืนแห้งเจอกับเปลวเพลิงร้อนไหม้บ้านง่ายนักมิรู้หรือ

เฉียวเวยโดยสารรถม้ากลับเมือง ฟ้ามืดสนิทแล้ว แผงร้านค้าจุดโคมไฟสว่างไสว เวลานี้บังเอิญเป็นช่วงที่กุ้งก้ามแดงอวบแน่นอร่อยที่สุดเข้ามาพอดี ลูกค้าที่เดินทางมาลองลิ้มชิมกุ้งมากกว่าเดือนก่อนอยู่มาก มิว่าแผงร้านค้าของเหลาสุราแห่งใด ต่างก็กิจการรุ่งเรือง แน่นอนว่าร้านที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าที่สุดก็ยังเป็นหรงจี้ หรงจี้ไม่เพียงมีลูกค้านั่งเต็มแผงด้านนอก แม้แต่ในเหลาสุราเองก็ไม่มีโต๊ะว่าง

เฉียวเวยไม่ได้กลับหรงจี้ทันที แต่แวะไปร้านขายเครื่องเรือนก่อน เมื่อเทียบกับเตียงป๋าปู้ราคาแพงเท่าฟ้าห้าร้อยตำลึงของเมืองหลวง เฉียวเวยพลันรู้สึกว่าราคาของในตัวเมืองยอมรับได้อย่างยิ่ง

ส่วนคุณภาพ ก็เป็นไปตามราคา ไม่มีสิ่งใดให้พูด

เฉียวเวยตามหาร้านค้าที่เปรียบเทียบแล้วคุณภาพค่อนข้างดีร้านหนึ่ง นางแวะเวียนมาหลายครั้ง จนเถ้าแก่จำนางได้ เขาคลี่ยิ้มต้อนรับนางกับลูกแฝดเข้ามาในร้าน “ฮูหยินยังตัดสินใจมิได้หรือว่าจะซื้อของร้านใด”

เฉียวเวยบอกตามตรง “ของแบบนี้ก็ต้องเดินวนดูให้มาก เปรียบเทียบให้มากหน่อยสิ”

นางกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ กลับเป็นฝ่ายเถ้าแก่ที่อึ้งไปชั่วครู่ หลังจากนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ “ฮูหยินช่างเป็นคนตรงไปตรงมาเสียจริง! ข้าเห็นแก่ฮูหยินอยากจะซื้อจากใจจริง เอาเช่นนี้ ข้าไม่โก่งราคากับฮูหยิน หากฮูหยินต้องการเตียงป๋าปู้ ข้าคิดสามสิบตำลึง เตียงจย้าจื่อ[1]กับเตียงหลัวฮั่น[2]หลังละยี่สิบห้าตำลึง ข้าเสนอราคาจริงใจแล้วจริงๆ!”

ความจริงแล้วยังมีเตียงไม้แบบที่เรียบง่ายกว่านี้ อย่างถูกที่สุดเพิ่งจะหนึ่งตำลึงเงิน อย่างแพงก็เพิ่งจะสามสี่ตำลึง เพียงแต่ว่าวันนี้เมื่อคุณภาพชีวิตพัฒนาขึ้นแล้ว เฉียวเวยจึงดูแคลนเตียงเหล่านั้นอยู่บ้าง

เฉียวเวยไม่ชอบเตียงหลัวฮั่น ดูแก่เกินไป เตียงจย้าจื่อก็ไม่เลว ซื้อให้เด็กๆ ได้สองหลัง ส่วนตัวนางเอง ความจริงชอบเตียงป๋าปู้มากกว่า มันดูเหมือนห้องเล็กๆ นอนอยู่ด้านในแล้วรู้สึกปลอดภัยยิ่งนัก

แต่เงินในมือเฉียวเวยไม่พอ นางชะงักแล้วถามว่า “ร้านท่านมีผ่อนจ่ายหรือไม่”

“อะไรนะ”

เฉียวเวยอธิบาย “ก็คือ ข้าทยอยจ่ายเงินให้ท่านหลายๆ ครั้ง ท่านเก็บดอกเบี้ยข้าเพิ่มเล็กน้อย ข้าจะจ่ายเป็นรายเดือน ผ่อนครึ่งปีหรือผ่อนหนึ่งปี พวกเราลองหารือกันดู ยิ่งเวลานาน ดอกเบี้ยก็ยิ่งมาก”

เถ้าแก่ไม่เคยคิดถึงวิธีจ่ายเงินเช่นนี้มาก่อน โดยปกติแล้วหากไม่จ่ายเงินทันทีก็ติดบัญชีไว้ก่อน หากจ่ายคืนครั้งเดียวไม่ไหว จ่ายคืนหลายครั้งก็มีอยู่ แต่…จ่ายจำนวนแน่นอนทุกเดือนค่อนข้างจะ…

เฉียวเวยคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “วิธีจ่ายเงินแบบนี้ใช้กันแพร่หลายในบ้านเกิดของข้า ท่านลองดูก่อนก็ได้ หากรู้สึกว่าได้กำไร หลังจากนี้จะค้าขายเช่นนี้กับผู้อื่นก็ได้”

เถ้าแก่ค่อนข้างเป็นคนมีความคิดก้าวหน้า หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจลองกับเฉียวเวย ให้เฉียวเวยนำของที่ยืนยันตัวตนได้มาทำสัญญากันในวันพรุ่งนี้

[1] เตียงจย้าจื่อ เตียงโบราณประเภทหนึ่งของจีน ลักษณะคือมีเสาตั้งขึ้นมาจากเตียง พร้อมกับมีราวกั้นเตี้ยๆ หรือผนังเชื่อมระหว่างเสา กั้นสองหรือสามด้านของเตียงเอาไว้และมีหลังคา มีทั้งแบบสี่เสาและหกเสา

[2] เตียงหลัวฮั่น เตียงโบราณประเภทหนึ่งของจีน ลักษณะเป็นเตียงที่มีพนักพิงต่อขึ้นมาสามด้านคล้ายเก้าอี้ยาวหรือตั่ง สามารถใช้นอนและใช้นั่งเล่นตอนกลางวันได้