ตอนที่ 94-2 บุตรชาย
หลังออกจากร้านขายเครื่องเรือน เฉียวเวยกับเด็กๆ ก็ล้วนหิวเล็กน้อย จึงเตรียมไปทานอาหารค่ำเบาๆ กันที่หรงจี้ ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งเดินมาถึงประตูก็เห็นถาดใบหนึ่งร่อนออกมา มันหมุนคว้างอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ขณะที่มันกำลังจะกระแทกเข้ากับหน้าผากของเฉียวเวย นางก็ปล่อยมือขวาที่จูงบุตรชายอยู่แล้วคว้ามันไว้ด้วยมือเดียว!

ทว่าทุกสิ่งยังห่างไกลจากคำว่าจบ ไม่นานก็มีชามใบหนึ่ง ช้อนคันหนึ่ง ตะเกียบข้างหนึ่ง ปลาตัวหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่งและอื่นๆ ลอยออกมาจากด้านในอีก

เฉียวเวยรับแต่ละอย่างไว้ จากนั้นวางแต่ละชิ้นไว้ในอ้อมแขนของเจ้าซาลาเปาน้อย

อ้อมแขนของเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองมีข้าวของกองเป็น ‘ภูเขาลูกเล็ก’ สองลูกอย่างรวดเร็ว

เจ้าซาลาเปาน้อยเบิ่งตาโต สีหน้ามึนงง

เฉียวเวยรับ ‘อาวุธลับ’ ชิ้นที่เท่าไรแล้วก็ไม่ทราบ สุดท้ายอดทนจนทนมิไหว ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปตวาดเสียงดุดัน “ผู้ใดกัน ไม่กินข้าวดีๆ โยนของออกมาอยู่นั่น! ข้าวของเสียหายผู้ใดจะชดใช้”

เสี่ยวลิ่วที่อยู่ด้านข้างนึกในใจ ‘ไม่ใช่สมควรถามว่าหากขว้างถูกคนตายขึ้นมา ผู้ใดจะชดใช้หรือ’

สิ่งที่อยู่บนพื้นคือลูกจ้างทั้งหลายที่ถูกข้าวของ ‘ขว้างจนบาดเจ็บ’ เดินโซเซ

สนามต่อสู้อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ สองโต๊ะที่อยู่ติดกัน แต่ละโต๊ะมีลูกค้ายืนอยู่คนหนึ่ง หนึ่งในนั้นถือขาเป็ดข้างหนึ่ง กำลังจะโยนไปอีกฝั่ง แต่ถูกเสียงตวาดดุดันของเฉียวเวยทำให้ตะลึงนิ่งค้าง ส่วนอีกคนในมือถือตีนห่านอันโตอยู่ข้างหนึ่ง กำลังตั้งท่าจะขว้างออกไปอยู่เหมือนกันแต่ถูกเสียงตวาดของเฉียวเวยหยุดไว้

ทั้งสองคนต่างถลึงตาใส่อีกฝ่ายครั้งหนึ่งก่อนหันไปมองเฉียวเวยอย่างพร้อมเพรียง แล้วเอ่ยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดว่า “ไสหัวไป!”

เพิ่งเอ่ยคำว่า ‘ไสหัวไป’ จบ ทั้งสองคนก็นิ่งค้าง

“เหตุใดเป็นเจ้า” ทั้งสองคนเอ่ยพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดอีกครั้ง

หญิงสาวเอ่ยขึ้นว่า “ห้ามเจ้าพูดตามข้า!”

ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าต่างหากที่พูดตามข้า!”

เฉียวเวยมองตัวหลัวหมิงจูที่ถือขาเป็ดอยู่ แล้วหันไปมองหลี่อวี้ผู้กำตีนห่านไว้ในมือ สีหน้าเย็นยะเยือกอย่างรวดเร็ว “พวกท่านคิดจะทำอันใด ทำลายเหลาสุราของข้าหรือ”

“เหลาสุรานี่ของเจ้าหรือ”

“เหลาสุรานี่ของเจ้าหรือ”

สิ้นเสียงพูด ทั้งสองคนก็ถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเหี้ยมเกรียม “บอกแล้วว่าห้ามพูดตามข้า!”

ทั้งสองคนชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้ายังจะพูดอีก!”

การสอดรับเข้าจังหวะกันอย่างประหลาดนี้ทำเอามุมปากของเฉียวเวยกระตุก ก่อนจะเดินเข้าไปเอ่ยว่า “เหลาสุราแห่งนี้ของข้ามีไว้ค้าขาย มิใช่สถานที่ให้พวกท่านทะเลาะวิวาท หากอยากวิวาท ได้ ข้าจะนำพวกท่านไปพรรคชิงหลง พวกท่านจะได้ตีกันให้พอ รับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดขวางพวกท่าน”

ผู้ใดมิทราบบ้างว่าพรรคชิงหลงเป็นเจ้าถิ่นแห่งเมืองซีหนิว พวกเขาตัวคนเดียว ไหนเลยจะกล้าไปที่นั่นเล่า

หลี่อวี้เบ้ปาก ในใจไม่กล้าไป แต่ปากยังต้องวางท่าไว้ก่อน “ช่างเถิด เห็นแก่หน้าเถ้าแก่รอง ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับการหาเรื่องของใครบางคน”

ตัวหลัวหมิงจูแค่นเสียงคล้ายเย้ยหยัน “ผู้ใดกันแน่ที่ต้องเป็นฝ่ายไม่คิดเล็กคิดน้อย ข้าขอบอกเจ้า หากบิดาข้าอยู่ที่นี่ แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าก็คงปลิวไปแล้ว!”

“บิดาเจ้าสู้พี่สี่…องครักษ์ของพี่สี่ข้าได้หรือ” เพราะสาเหตุบางประการ พี่สี่จึงใช้วรยุทธ์พร่ำเพรื่อมิได้ มิเช่นนั้นจะอันตรายยิ่งนัก แต่พี่สี่มีสือชีอยู่ มีเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยู่ ใครสักคนลงมือสบายๆ ก็ซัดบิดาของแม่สาวน้อยน่าชังคนนี้ให้กลายเป็นเนื้อบดได้แล้ว!

ตัวหลัวหมิงจูย่อมทราบว่าพี่สี่ที่เขากล่าวหมายถึงจีหมิงซิว องครักษ์ของจีหมิงซิวโด่งดังนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสือชี ประมือทั่วเมืองหลวงไร้คู่ต่อกร บิดาของนางชำนาญตำราพิชัยสงคราม เป็นยอดแม่ทัพผู้พิทักษ์แผ่นดิน รบศึกใดมิเคยแพ้ บุกเมืองใดมิเคยพ่าย ทว่าเมื่อกล่าวถึงการต่อสู้ตัวต่อตัว น่ากลัวว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของสือชี

“มีความสามารถ เจ้าก็เข้ามาเองสิ!” นางเอ่ยอย่างไม่ยอม

“เอาก็เอาสิ! มาเลย!” หลี่อวี้ก้าวเข้าไปหานาง

เฉียวเวยมองเจ้าปืนใหญ่น้อยสองคนที่ส่งเสียงหนวกหู แล้วรู้สึกปวดตา”เสี่ยวลิ่ว เถ้าแก่หรงเล่า”

เสี่ยวลิ่วเกาหัว กระแอมเบาๆ จากนั้นชี้เถ้าแก่หรงผู้ถูกถาดใบหนึ่งกระแทกจนสลบ นอนทรุดไม่ได้สติเสมือนตายอยู่บนพื้น “อยู่ตรงนั้นขอรับ”

เฉียวเวยยอมเถ้าแก่หรงแล้ว คนมากมายปานนั้นเพียงถูกกระแทกจนหัวปูด เหตุไฉนเขาจึงอ่อนแอเช่นนี้ ถูกกระแทกทีเดียวสลบเหมือด

ตอนนี้หลี่อวี้กับตัวหลัวหมิงจูเพิ่งสังเกตเห็นความวุ่นวายที่ตนเองก่อ พวกเขาลูบจมูกด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน

เฉียวเวยจับชีพจรให้เถ้าแก่หรง จากนั้นตรวจลูกตา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอันใดมากจึงให้คนแบกกลับห้องบัญชี หลังจากนั้นจึงสั่งการลูกจ้างที่เหลือ คนที่ทำงานได้ก็ให้ไปทำงาน คนที่ทำงานไม่ไหวก็ให้กลับไปพักผ่อน

“ขออภัยด้วย แม่นางเฉียว ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ตัวหลัวหมิงจูเดินเข้ามา เอ่ยอย่างไม่สบายใจ

นางไม่ได้ตั้งใจริงๆ นางเพียงอยากสั่งสอนเจ้าเด็กหน้าเหม็นไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้สักหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนจะพลาดทำคนรอบข้างบาดเจ็บ

หลี่อวี้ก็เดินมาข้างตัวเฉียวเวยด้วย “ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจ”

ตัวหลัวหมิงจูชี้หน้าเขา “เจ้าทำไมยังจะพูดตามข้าอีก”

หลี่อวี้ชี้หน้านางบ้าง “แต่เดิมข้าก็คิดจะพูดเช่นนี้! เจ้าแย่งคำพูดข้า!”

ตัวหลัวหมิงจูถลึงดวงตารูปเมล็ดซิ่งจนกลมดิก “ข้าทำนายทายทักรู้ล่วงหน้าหรือไรจึงแย่งคำพูดเจ้ามาได้”

เฉียวเวยขัดทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “พอแล้ว! พวกท่านสองคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว! หากทะเลาะกันอีกข้าจะโยนพวกท่านออกไปทั้งคู่!”

ทั้งสองคนหุบปากเงียบสนิท

ช่างแปลกเสียจริง พวกเขาคนหนึ่งเป็นโอรสขององค์หญิง คนหนึ่งเป็นคุณหนูจวนแม่ทัพ แต่กลับถูกเถ้าแก่เหลาสุราคนหนึ่งดุจนไม่กล้าส่งเสียง

เฉียวเวยมองคนทั้งสองรอบหนึ่ง “ทะเลาะเรื่องอันใดกันแน่”

“ข้า…”

“ข้า…”

ทั้งสองคนแย่งกันตอบ เฉียวเวยจึงยกมือห้าม “ทีละคน คุณหนูตัวหลัวเชิญพูดก่อน”

ตัวหลัวหมิงจูเชิดคางขึ้น “เขาแย่งกุ้งของข้า!”

“เจ้าหน้าหนาจริงนะ โกหกไม่มีหน้าแดงเลยหรือไร ที่แท้ผู้ใดแย่งของผู้ใดกันแน่ ข้าต่างหากสั่งก่อน”

“ข้าสั่งก่อน!”

“ข้า!”

“ข้า!”

ทะเลาะกันอีกแล้ว

สองคนนี้ช่างเหมือนกระบอกปืนใหญ่ จุดปุ๊บติดปั๊บ ก่อนหน้านี้ไม่กระทบกระทั่งกันก็แล้วไปเถิด แต่พอกระทบกันขึ้นมาไม่มีเรื่องดีเลยจริงๆ

เฉียวเวยถามเสี่ยวลิ่วว่าที่แท้เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ คำตอบของเสี่ยวลิ่วทำให้เฉียวเวยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หลังจากได้กินกุ้งของหรงจี้ ทั้งสองคนนี้ก็กลายเป็นลูกค้าประจำของหรงจี้ ตกค่ำทุกวันต้องมาสั่งกุ้งหลายจาน วันนี้ก็มิใช่ข้อยกเว้น

บังเอิญวันนี้ขายดียิ่งนัก ไม่นานกุ้งหกร้อยชั่งก็ขายหมดเกลี้ยง ท่านบรรพบุรุษน้อยสองคนนี้ตะโกนสั่งอย่างเดียวกัน แต่ลูกจ้างที่ดูแลพวกเขาอยู่เป็นคนละคน เมื่อลูกจ้างทั้งสองไปสั่งอาหารที่ห้องครัวก็ได้รับแจ้งว่าเหลือเพียงหนึ่งชั่งสุดท้าย

แล้วจะขายให้ผู้ใดดีเล่า ฝั่งหรงจี้ลำบากใจ จึงถามทั้งสองคนว่าแบ่งกันคนละครึ่งชั่งได้หรือไม่ ปกติบรรดาพ่อครัวไม่ปรุงกุ้งครึ่งชั่ง แต่เพื่อทั้งสองคนจะเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ ผู้ใดจะคาดคิดว่าทั้งสองคนกลับไม่รับน้ำใจ จะเป็นจะตายก็ต้องกินหนึ่งชั่งนั้นของตนให้ได้ สุดท้ายจึงวิวาทกัน

“ท่านสั่งรสอะไร” เฉียวเวยถามท่านหญิงตัวหลัว

ท่านหญิงตัวหลัวดวงตาวาววับ “รสพริกเกลือ! กุ้งพริกเกลือ!”

รสพริกเกลือเป็นรสชาติที่เพิ่งออกมาใหม่ พูดกันตามตรงตัวเฉียวเวยเองไม่คุ้นชินนัก แต่ลูกค้าเหมือนจะชื่นชอบอย่างมาก

“ท่านเล่า” เฉียวเวยถามหลี่อวี้ต่อ

หลี่อวี้กลอกตาใส่ท่านหญิงตัวหลัวครั้งหนึ่ง แล้วสะบัดพัด เอ่ยตอบด้วยท่าทางสง่างาม “กุ้งตุ๋นน้ำมัน”

เฉียวเวยพยักหน้า แล้วบอกเสี่ยวลิ่ว “ทำกุ้งต้มพะโล้มาจานหนึ่ง”

“เอ๋” หลี่อวี้กับท่านหญิงตัวหลัวตะลึงพร้อมกัน “เหตุใดเป็นกุ้งต้มพะโล้เล่า ข้าสั่งกุ้งพริกเกลือ / กุ้งตุ๋นน้ำมันต่างหาก!”

เฉียวเวยยิ้มหวาน “ผู้ใดบอกว่าจะทำให้พวกท่านกิน วั่งซู จิ่งอวิ๋นเข้ามา”

เจ้าซาลาเปาน้อยกอด ‘ภูเขาน้อย’ อันหนักอึ้งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ แล้ววางข้าวของไว้ในมือเสี่ยวลิ่ว วั่งซูหอบน้อยๆ เอ่ยว่า “ให้ท่าน พี่ชายเสี่ยวลิ่ว”

ฟู่ เหนื่อยแทบตาย หนักมากๆ!

หลี่อวี้มองดูเด็กน้อยน่ารักทั้งสองคน ดวงตาเบิกโตอย่างฉงน นี่มิใช่ฝาแฝดชายหญิงที่พบในร้านต้าฟังเมื่อตอนปีใหม่หรือ พวกเขาเป็น…

“ท่านแม่!” วั่งซูโถมเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวย

เป็นลูกของนางนี่เอง!

นางก็คือ…คือ…หญิงชาวบ้านยากจนข้นแค้นผู้นั้นหรือ

คางของหลี่อวี้เกือบจะร่วงลงมา

เฉียวเวยไม่สนใจพ่อหนุ่มชุดแดงผู้ในที่สุดก็จำนางได้สักที นางหันไปเอ่ยกับเสี่ยวลิ่ว “ทำไข่ตุ๋นไป่เหอหนึ่งถ้วย เนื้อผัดผักกวางตุ้งหนึ่งจาน แล้วเอาแตงกวากับถั่วงอกทำหมี่เย็นมาอีกสามชาม” กล่าวจบก็จูงมือเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนขึ้นชั้นบน คนเดินหายไปแล้วแต่ยังมีเสียงไม่รีบไม่ร้อนดังลอยมา “ลูกค้าทั้งสองท่านทำข้าวของของหรงจี้แตกเสียหายมากเช่นนี้ แล้วยังทำร้ายลูกจ้างอีกตั้งมาก จำไว้ด้วยว่าต้องชดใช้ตามราคา แล้วยังมีลูกค้าที่ตกใจเสียขวัญอีก ค่าอาหารจะคิดเอากับพวกท่านทั้งสองคน!”

ไม่ได้กินกุ้ง แล้วยังต้องชดใช้เงินก้อนโตอีก ท่านหญิงตัวหลัวเบ้ปากอย่างขุ่นเคือง เห็นแก่ที่จับพวกเจ้ายัดเข้าคุกทั้งที่ไม่มีความผิด ข้ายอมก็ได้…

ท่านหญิงตัวหลัวฝั่งนี้ชดใช้เงินอย่างว่าง่าย ฝ่ายหลี่อวี้ก็ไม่สะดวกก่อเรื่องวุ่นวายต่อจึงล้วงกระเป๋าข้างเอวออกมาชดใช้ครึ่งหนึ่งเช่นกัน

ท่านหญิงตัวหลัวไม่ปวดใจเรื่องเงิน แต่นางไม่ยินยอมที่ถูกหลี่อวี้ทำลายโอกาสกินกุ้งของตัวเอง “ข้าจะจำเจ้าไว้ หลี่อวี้!”

หลี่อวี้ประชดกลับ “ข้าจะไม่จำเจ้าหรอก คุณหนูตัวหลัว!”

จวนองค์หญิงผิงซีกับจวนแม่ทัพตัวหลัวอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน นับได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านกันอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่จวนแม่ทัพกับยิ่นอ๋องเป็นญาติกันผ่านการแต่งงาน นอกจาคุณหนูรองผู้ป่วยออดแอด ตัวหลัวหมิงจูกับพี่ใหญ่ตัวหลัวจื่ออวี้ล้วนได้รับเชิญไปยังงานเลี้ยงต่างๆ ของเชื้อพระวงค์อยู่เป็นครั้งคราว จวนองค์หญิงผิงซีก็ไปร่วมด้วย

ตัวหลัวหมิงจูกับหลี่อวี้รู้จักกันตั้งแต่เล็ก เพียงแต่ไม่สนิทกันนัก บางครั้งพบหน้าก็พยักหน้าทักทายเท่านั้น นับได้ว่าทั้งทำตัวห่างเหินและรักษามารยาท วันนี้บังเอิญพบกัน แรกเริ่มทั้งสองคนก็ทักทายกันดี ผู้ใดจะคิดว่ากินไปได้ครึ่งทางกลับทะเลาะกันเพราะกุ้งหนึ่งชั่ง

“เจ้ารอดูเถิดหลี่อวี้ ไม่ต้องให้บิดาข้าจัดการเจ้า กลับไปข้าบอกพี่เขย เจ้าก็โดนตีลุกจากเตียงไม่ขึ้นสามวันแล้ว!”

“โอ๊ะโย๋ พี่เขยของเจ้าก็เสด็จพี่เจ็ดของข้า เสด็จพี่เจ็ดของข้าจะมาตีข้าเพราะคนนอกคนหนึ่งหรือไร”

“ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ เสียหน่อย!” ตัวหลัวหมิงจูกลอกตา

“เจ้า…” หลี่อวี้ฝั่งนี้กำลังจะโต้ หน้าต่างชั้นบนก็ถูกเปิดออก เสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าซาลาเปาน้อยดังออกมา ท่ามกลางตลาดกลางคืนอันเสียงดังเอะอะ มีกลิ่นอายความอบอุ่นอีกแบบหนึ่งแทรกเข้ามา

ทั้งสองคนออกจากหรงจี้มาแล้ว จากมุมฝั่งตัวหลัวหมิงจูบังเอิญมองเห็นเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งคู่ที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างพอดี เด็กหญิงหัวเราะจนตัวโยก เด็กชายยิ้มอย่างขัดเขินเล็กน้อย แต่ดวงตาก็โค้งหยี มองออกว่าเขาอารมณ์ดียิ่งนัก

“นี่ หลี่อวี้” ตัวหลัวหมิงจูกระตุกแขนเสื้อของเขา

“อะไร” จู่ๆ มาพูดจาดีกับเขาแบบนี้ เขาไม่คุ้นชินอยู่บ้าง

ตัวหลัวหมิงจูมองจิ่งอวิ๋นบนชั้นสองอย่างตกตะลึง “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเหมือนเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน”

หลี่อวี้เหลือบมองนางอย่างแปลกประหลาด “เจ้าอยากพูดอะไร”

ตัวหลัวหมิงจูชี้นิ้ว “เขา เขาหน้าตาเหมือนเสด็จพี่เจ็ดของเจ้าเลย เจ้าไม่รู้สึกหรือ” ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าคุ้นๆ แต่คิดไม่ออกมาตลอดว่าเคยเห็นที่ไหน วันนี้ทะเลาะกับหลี่อวี้ยกหนึ่งจึงเพิ่งนึกออกว่าความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้มาจากที่ใด

“พี่สี่ของข้าบอกแล้วว่านั่นไม่ใช่ลูกพี่เขยเจ้า!” ตอนหลี่อวี้พบเฉียวเวยกับเจ้าซาลาเปาน้อยครั้งแรกที่ร้านต้าฟังก็รู้สึกว่าเด็กชายตัวน้อยเหมือนยิ่นอ๋อง กลับไปเขาจึงเปรยกับพี่สี่ แต่ต่อมาพี่สี่บอกเขาว่าไม่ใช่บุตรของยิ่นอ๋อง

ตัวหลัวหมิงจูแค้นเสียงดังเหอะ “ไม่ใช่ดีที่สุด! พี่สาวข้ายังไม่ทันแต่งเข้าบ้านเลย ข้าไม่อยากให้นางมีลูกอนุแล้วสองคนหรอก!”

ณ จวนยิ่นอ๋องอันเงียบสงัด

ยิ่นอ๋องนั่งอ่านสารอยู่ในห้อง จักรพรรดิมีบุตรธิดามากมาย เขาไม่ใช่ทั้งคนที่เกิดออกมาคนแรกสุด และไม่ได้คลานออกมาจากท้องของฮองเฮา พี่ชายทั้งหลายที่เกิดมาก่อนยึดครองตำแหน่งสำคัญในหกกรมตั้งแต่เขายังไม่เป็นผู้ใหญ่ เมื่อถึงตาเขารับตำแหน่งก็เหลือเพียงตำแหน่งไม่สำคัญในกรมพิธีการเท่านั้น

ตำแหน่งไม่สำคัญก็มีข้อดีของตำแหน่งไม่สำคัญ นั่นก็คือเขามีเวลามากมายมาสร้างเส้นสายในราชสำนัก รวมถึงสร้างอำนาจในหมู่ประชาชนกับในยุทธภพ

ห้าปีแห่งการขวนขวายอำนาจและขบคิดวางแผนการ ในที่สุดเขาก็ก่อร่างสร้างฟ้าดินของตนเองขึ้นมาได้ อำนาจของเขาเหนือกว่าเสด็จพี่ทั้งหลายแล้ว ผ่านไปอีกสามปีห้าปี บางทีอาจสูสีทัดเทียมกับรัชทายาท

แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น เขาจำเป็นต้องจัดการจีหมิงซิวที่หนุนหลังรัชทายาทให้ได้เสียก่อน

สารเหล่านี้ล้วนเป็นจดหมายลับที่แมงเม่าจากที่ต่างๆ ส่งมา มีข่าวการเคลื่อนไหวของขุนนางใหญ่แต่ละคนและพรรคในยุทธภพ แต่กลับไม่มีของจีหมิงซิวกับนายท่านหก

ยิ่นอ๋องโยนจดหมายลงบนโต๊ะแล้วถอนหายใจอย่างหดหู่

“ท่านอ๋อง!” ขันทีหลิวมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ

ยิ่นอ๋องนวดขมับที่ปวดร้าว พลางเอ่ยเสียงทุ้มเบา “เรื่องใด”

ขันทีหลิวเอ่ยอย่างลำบากใจ “บ่าว…ตรวจสอบพบ…สถานการณ์บางอย่าง”

ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ต้องอึกอัก มีเรื่องใดรีบพูด!”

ขันทีหลิวเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “บ่าว…บ่าวไม่ทราบจริงๆ ว่าสมควรพูดเช่นไร…”

“มีข่าวของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวหรือไม่มีข่าวของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว” มีอยู่เพียงสองอย่างนี้เท่านั้น ทุกวันนี้ขันทีหลิวจดจ่ออยู่กับร่องรอยของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวไม่มีเวลาดูแลสิ่งอื่น

ขันทีหลิวลังเลครู่หนึ่งก็ดึงม้วนภาพชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “ท่านอ๋องโปรดดูเองเถิด”

ยิ่นอ๋องรับม้วนภาพมาแล้วคลี่ออกช้าๆ พลางถามว่า “สิ่งนี้คืออะไร”

“มันคือภาพเหมือนที่บ่าวนำกลับมาจากกรมพิธีการ”

ยิ่นอ๋องครองตำแหน่งไม่สำคัญตำแหน่งหนึ่งในกรมพิธีการ หากไม่มีธุระก็จะไม่เข้าไปกรมพิธีการ แต่ขันทีหลิวจะไปฟังความเคลื่อนไหวที่กรมพิธีการทุกวัน เพื่อจะได้คุมสถานการณ์ในกรมพิธีการได้สะดวก วันนี้บังเอิญนัก ห้องเก็บเอกสารของกรมพิธีการถูกปลวกเล่นงาน ทุกคนจึงขนเอกสารชิ้นแล้วชิ้นเล่า หีบแล้วหีบเล่าออกมา ภาพเหมือนภาพนี้ร่วงอยู่บนพื้น เมื่อเขาเก็บขึ้นมาดูก็ตกตะลึงจนนิ่งค้าง

เขาเอ่ยว่า “การสอบเคอจวี่ปีกลาย กรมขุนนางเป็นผู้จัดการ หลังประกาศคะแนน กรมพิธีการจึงเป็นผู้มอบตำแหน่ง การสอบเสินถงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

ม้วนภาพวาดคลี่ออกจนสุด บนผืนหญ้าสีเขียวหยก เด็กชายตัวน้อยผู้มีหน้าตางดงามคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่กลางวงกลมสีขาว มือถือม้วนสายวัดกำลังจับจ้องเงาคนบนพื้น

ขันทีหลิวอธิบาย “นี่คือด่านสุดท้ายของด่านทดสอบหกประตูปีนี้ ให้ใช้ม้วนสายวัดยาวหนึ่งจั้งประมาณความสูงของหอสมบัติหกชั้น เด็กคนนี้ฉลาดยิ่งนัก แรกสุดใช้สายวัดวัดความสูงของตนเอง หลังจากนั้นใช้ความสูงของตนเองวาดวงกลมวงหนึ่ง เขายืนอยู่ตรงใจกลางวงกลม รอคอยจนเงาของตนยาวเท่ากับความสูง จากนั้นรีบวิ่งไปทำเครื่องหมายตรงปลายยอดเงาหอ หลังจากนั้นจึงดึงสายวัด วัดความยาวทีละช่วงๆ วัดระยะห่างระหว่างหอกับสัญลักษณ์ เขากล่าวว่านี่ก็คือความสูงของหอ”

วิธีการที่ฉลาดเช่นนี้ทำให้ผู้คุมสอบจากกรมขุนนางเหล่านั้นอึ้งทึ่ง มีผู้คุมสอบผู้เชี่ยวชาญการวาดภาพคนหนึ่งวาดท่าทางในยามนั้นของเขาเอาไว้

ยิ่นอ๋องตกใจจนตาค้าง ไม่ใช่เพราะความฉลาดของเด็กคนนี้ แต่เพราะหน้าตาของเด็กคนนี้

ดวงหน้านั่น…แทบจะเหมือนหน้าของเขาทุกประการ

แม้เขามิได้เสเพลเป็นนิสัยดังข่าวลือ แต่ก็มิได้ระงับตนเองในเรื่องอย่างว่าเช่นกัน เพียงแต่หลังเสร็จสมเขาจะให้อีกฝ่ายกินน้ำแกงห้ามครรภ์ โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางอุ้มท้องเลือดเนื้อของเขาได้…

“เขานามว่าอะไร” ยิ่นอ๋องเอ่ยถาม

ขันทีหลิวตอบว่า “เฉียวจิ่งอวิ๋นพ่ะย่ะค่ะ”

“แซ่เฉียวหรือ” ยิ่นอ๋องอ่อนไหวกับแซ่นี้ยิ่งนัก

ขันทีหลิวกลับไม่รู้สึกว่าแซ่นี้มีอันใดพิเศษ แซ่เฉียวเป็นแซ่ทั่วไป มีคนใช้แซ่นี้มากมาย กรมขุนนางยังมีผู้คุมสอบคนหนึ่งแซ่เฉียวด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาสนใจคือใบหน้าที่เหมือนกับท่านอ๋องของตน ดังนั้นเขาจึงตรวบสอบข้อมูลของเด็กคนนี้แล้วก็พบเรื่องใหญ่!

ขันทีหลิวรีบรายงาน “เขาขาดสอบวิชาหนึ่ง แต่กลับได้ตำแหน่งทั่นฮวาน้อย ท่านอ๋อง เด็กคนนี้คือเด็กที่ถูกพวกเราขวางไว้นอกสนามสอบคนนั้น!”

‘แรกสุดลูกน้องท่านเกือบทำข้าตาย ต่อมาท่านยังใส่ร้ายข้า ทำให้บุตรชายข้าขาดสอบเสินถงหนึ่งวิชา ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะท่าน บุตรชายข้าต้องพลาดสิ่งใด เขาต้องพลาดจากตำแหน่งจ้วงหยวน หากเปลี่ยนเป็นบุตรชายท่านถูกทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ ท่านจะอภัยให้ข้าได้หรือไม่เล่า’

คำพูดที่เฉียวเวยเอ่ยกับเขาตอนอยู่ในตรอกฉายวาบขึ้นในสมอง ยิ่นอ๋องเปลี่ยนสีหน้าไปทันใด “บุตรชายของนางหรือ”

ขันทีหลิวพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านอ๋อง บุตรชายของนางหน้าตาเหมือนท่านเช่นนี้ได้อย่างไรกัน…คงไม่ใช่ว่าเป็นบุตรชายของท่านหรอกกระมัง” ท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวชาวบ้านนางนั้นอยู่ตลอด ทำให้ลึกๆ แล้วบ่าวนึกสงสัยแรงจูงใจของท่าน…

บุตรชายของเขาหรือ

มือของยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น “เด็กคนนี้อายุเท่าใด”

“ห้าขวบพ่ะย่ะค่ะ”

ห้าขวบ…

เวลาตรงกันพอดี!

เป็นบุตรชายของนาง แล้วก็เป็นบุตรชายของเขาด้วย!

เฉียวเวยหนอเฉียวเวย เจ้าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวจริงๆ เจ้าปิดบังข้าจนข้าลำบากนัก!

ให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าลับหลังข้า แล้วยังเสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้าอีก ดียิ่ง ดียิ่ง!