ตอนที่ 95-1 บุกบ้านรับบุตร
ยามเฉียวเวยพาเจ้าซาลาเปาน้อยออกจากหรงจี้ก็ดึกมากแล้ว ร้านเช่ารถม้าปิดหมด เฉินต้าเตาจึงเป็นคนมาส่งพวกเขากลับหมู่บ้าน
ป้าหลัวยังไม่หลับ เด็กๆ ยังอยู่ข้างนอก ใจนางเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาจนนอนไม่หลับ เมื่อได้ยินเสียงกีบเท้าม้ากับเสียงล้อดังกึกกัก นางจึงรีบเปิดประตูเดินออกมา เห็นเฉียวเวยกับเฉินต้าเตาอุ้มเด็กน้อยมาฝั่งละคนเดินมาด้านนี้
“ข้าเองๆ” ป้าหลัวรีบรับจิ่งอวิ๋นจากอ้อมแขนของเฉินต้าเตา เจ้าตัวน้อยหนักกว่าปีกลายอยู่บ้าง อุ้มแล้วปวดแขนไปหมด แน่นอนว่าเทียบกับวั่งซูตัวน้อยที่จ้ำม่ำแล้ว จิ่งอวิ๋นก็ยังเป็นเจ้าตัวน้อยผอมแห้งคนหนึ่งอยู่ดี
สองแม่ลูกอุ้มเด็กน้อยไปถึงเตียง
ป้าหลัวคิดว่าดึกป่านนี้แล้วเฉินต้าเตาอุตส่าห์ลำบากมาส่งจึงรั้งเขาไว้ทานอาหารมื้อดึก “เจ้ามานั่งสักประเดี๋ยว ข้าจะต้มบะหมี่ชามหนึ่งให้เจ้า!”
“ไม่ต้องขอรับๆ” เฉินต้าเตายิ้มตอบ “ข้ายังต้องไปอีกงาน ท่านไม่ต้องวุ่นวายหรอก”
“ยัง…ต้องไปอีกงานหรือ” ป้าหลัวทำหน้าไม่เข้าใจ
เฉียวเวยถอดเสื้อผ้าให้เด็กๆ ปล่อยมุ้งกันยุงลงมาแล้วอธิบายว่า “เขานัดคนเล่นไพ่นกกระจอกไว้ ข้าลากเขาออกมาจากโต๊ะเล่นไพ่ ตอนนี้เขาคงคันมือแทบไม่ไหว อยากติดปีกบินกลับไปยิ่งนักแล้ว”
ป้าหลัวมองเฉินต้าเตา เฉินต้าเตาก็หัวเราะแหะๆ รอยแผลเป็นน่ากลัวบนใบหน้าซีกขวาเมื่ออยู่ใต้แสงโคมแลดูซื่อบื้อเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ในเมื่อจะไปเล่นไพ่ ป้าหลัวก็ไม่สะดวกรั้งเขาไว้ จึงกำชับให้เขาเดินทางระวังๆ
เฉียวเวยตักปลาทอดชามหนึ่งออกมาจากห้องครัว แล้วหั่นเนื้อรมควันอีกชิ้นหนึ่งใส่ตะกร้าถือไปวางไว้บนรถม้า
นี่เป็นสาเหตุที่เฉินต้าเตาชอบมาส่งหัวหน้าพรรคเฉียวกลับบ้านบ่อยๆ เพราะทุกครั้งล้วนจะได้ ‘ฉก’ ขออร่อยสักนิดสักหน่อยกลับไปเสมอ ข้างนอกซื้อหาไม่ได้ทั้งนั้น
เฉินต้าเตาจากไปอย่างเบิกบานใจ
ป้าหลัวไปต้มน้ำในห้องครัว พลางถามว่าเฉียวเวยจะกินอะไรสักหน่อยหรือไม่ เฉียวเวยส่ายหน้า “ทานที่หรงจี้มาเยอะแล้ว ท้องยังอิ่มอยู่”
ป้าหลัวใช้ตะบันไฟจุดฟืนแล้วโยนเข้าเตา “ดูเครื่องเรือนเป็นอย่างไรบ้าง มีที่ถูกใจหรือไม่”
เฉียวเวยถอนหายใจ “อย่าพูดถึงเลย เตียงหลังหนึ่งตั้งห้าร้อยตำลึง”
“อะไรนะ ห้าร้อยตำลึงหรือ นี่มันจะ จะทำมาจากอะไรกัน ทำมาจากทองหรือไร” ป้าหลัวตกใจไม่เบา เตียงแพงที่สุดของบ้านหลัวเป็นของนางกับตาเฒ่าหลัว ทั้งหมดจ่ายไปเก้าร้อยอีแปะ ให้ช่างไม้ในหมู่บ้านทำให้ ตอนนั้นก็นับว่าค่อนข้างแพงแล้ว แม้แต่บ้านตระกูลจ้าวก็บอกว่านางใช้เงินฟุ่มเฟือย แค่เตียงหลังเดียว มีค่าให้เสียเงินหนึ่งตำลึงหรือ เตียงของเจ้าใหญ่กับเจ้ารองยิ่งถูกกว่า ไม่ถึงเก้าร้อยอีแปะด้วยซ้ำ “มิใช่แค่เตียงไม้ไม่กี่หลังหรือ ต้องใช้เงินมากมายปานนั้นเชียว เป็นเตียงจย้าจื่อแบบเดียวกับครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านหรือ”
เตียงจย้าจื่อเป็นเตียงขนาดใหญ่ประเภทหนึ่งที่มีเสาตั้งขึ้นจากสี่มุมของเตียง ด้านบนสุดมีหลังคาคลุมอยู่ หากทำประณีตสักหน่อยก็จะมีผนังฉลุลายสูงราวสองฉื่อประกอบอยู่สามด้านด้วย เตียงจย้าจื่อแบ่งเป็นแบบสี่เสากับหกเสา แบบหกเสาย่อมมีผนังล้อมแน่นอน อีกทั้งขนาดของผนังที่ล้อมยังใหญ่มาก ราคาแพงกว่าเตียงจย้าจื่อสี่เสาอยู่เล็กน้อย
เตียงของบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเฉียวเวยเคยเห็นแล้ว เป็นเตียงจย้าจื่อหกเสา คุณภาพเป็นเช่นไร นางมองมิออก แต่ค่อนข้างดูโบราณ ฝีมือก็ไม่นับว่าประณีตนัก ทว่าใช้เงินไปมากถึงหลายตำลึงเงิน
สิ่งที่เฉียวเวยถูกใจคือเตียงป๋าปู้ เตียงป๋าปู้เรียกอีกอย่างว่าเตียงแปดก้าว เป็นเตียงขนาดใหญ่ที่สุด สี่มุมมีเสาตั้งขึ้นไป กรุด้วยผนังไม้ฉลุลาย ผนังที่ล้อมรอบตัวเตียงสูงกว่าของเตียงจย้าจื่อ สูงจรดเพดานที่คลุมด้านบน ผนังล้อมจะยื่นออกมาด้านหน้าเป็นเฉลียง ตรงส่วนเฉลียงทำพื้นหยั่งเท้าไว้ สองฝั่งของเฉลียงวางโต๊ะเก้าอี้ โต๊ะเครื่องแป้ง ลิ้นชัก เสมือนหนึ่งเป็นห้องส่วนตัวขนาดเล็กห้องหนึ่ง
ราคาของเตียงชนิดนี้สูงกว่าเตียงจย้าจื่อเล็กน้อย แต่แพงถึงห้าร้อยตำลึงก็ออกจะผิดปกติอยู่จริงๆ
เฉียวเวยผายมือ “บอกว่าทำมาจากไม้ประดู่ ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องไม้ ผู้ใดจะทราบว่าเขาขายไม้ประดู่จริงหรือไม้ประดู่ปลอม”
ป้าหลัวมิอาจเข้าใจการที่ไม้ไม่กี่ท่อนขายได้ถึงห้าร้อยตำลึง “นี่แพงเกินไปแล้ว!”
เฉียวเวยพยักหน้า “ใช่แล้ว ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจกลับมาซื้อในตัวเมือง”
“ในเมืองขายเท่าใด”
“เตียงป๋าปู้ สามสิบตำลึง”
เมื่อได้ยินห้าร้อยตำลึง ‘มาก่อน’ เมื่อได้ยินว่าสามสิบตำลึง ป้าหลัวจึงแลดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง “อย่างอื่นเล่า ทั้งหมดเท่าไร เงินในมือเจ้าพอหรือไม่ ไม่พอข้าจะไปขอพี่ชายเจ้าให้ เขารับซื้อกุ้งได้มาไม่น้อย อย่างน้อยสิบตำลึงก็ยังมีอยู่”
เฉียวเวยยิ้มละไม “ข้ามีอยู่ ท่านวางใจเถิด”
“มีจริงหรือ” ป้าหลัวไม่เชื่ออยู่บ้าง นี่ไม่เหมือนไม่กี่สิบตำลึงที่สร้างบ้าน นี่เป็นเงินตั้งนับร้อยตำลึง ชั่วชีวิตของนางยังไม่เคยเห็นเงินมากมายเช่นนี้เลย!
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “มีจริงๆ”
มีวิธีอยู่
ป้าหลัวเห็นว่านางไม่เหมือนกำลังโป้ปดจึงพยักหน้า “เจ้าอย่าได้เก็บปัญหาไว้ในใจเด็ดขาด เงินไม่พอก็บอกข้า”
“เข้าใจแล้ว แม่บุญธรรม” เฉียวเวยยิ้มตอบรับ
น้ำเดือดแล้ว ป้าหลัวจึงตักน้ำไปเช็ดตัวให้เด็กๆ วั่งซูทำตัวเหมือนก้อนบะหมี่ ถูกยกมาแล้วก็ถูกยกไป ทำอย่างไรก็ไม่ตื่น พอถึงตาจิ่งอวิ๋น เพียงเช็ดหน้าก็ตื่นแล้ว
จิ่งอวิ่นลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นป้าหลัวก็นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วรีบมองด้านข้าง เมื่อแน่ใจว่าเฉียวเวยกับวั่งซูอยู่กันพร้อมหน้าจึงหลับตาลง กลับไปนอนอีกครั้ง
ป้าหลัวเช็ดตัวให้จิ่งอวิ๋นเสร็จก็รับเสื้อผ้าจากมือเฉียวเวย สวมไปพลางก็เอ่ยเบาๆ “เขาคิดมากนัก นอนหลับไม่ลึก แตะก็ตื่นแล้ว”
เฉียวเวยนึกถึงตอนที่ตนเองเพิ่งมาถึง จิ่งอวิ๋นเป็นคนคอยดูแล ‘นาง’ กับน้องสาว ‘นาง’ ตายไปตั้งหลายวันแล้วแต่จิ่งอวิ๋นไม่รู้ ทว่าเขาไม่เคยยอมแพ้ ทุกวันล้วนออกไปข้างนอกหาของกินกลับมา
ตกกลางคืนไม่มีโคม ในห้องมืดสนิท เขาเฝ้ามารดาที่สิ้นใจไปแล้วเช่นไร คอยเฝ้าน้องสาวที่ยังเล็กไม่รู้ความเช่นไร ยากจะจินตนาการออก
เขาคอยตื่นตลอดคืนอยู่ทุกคืนใช่หรือไม่ กังวลว่าจะมีคนบุกเข้ามาพาพวกเขาไปใช่หรือไม่
เฉียวเวยแทบจะจินตนาการท่าทางขณะที่เขานั่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเฝ้ามองนอกประตูอย่างหวาดระแวงได้
เด็กน้อยผู้เพิ่งจะอายุสี่ขวบ เหตุไฉนต้องประสบเรื่องเหล่านี้
นึกดูก็ชวนให้คนปวดใจ
เฉียวเวยล้างหน้าล้างตาเสร็จก็อุ้มวั่งซูไปไว้ด้านในสุด
จิ่งอวิ๋นลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เฉียวเวยจูบหน้าผากเขาอย่างอ่อนโยน “นอนเถิด”
จิ่งอวิ๋นพลิกตัว ซุกศีรษะน้อยเข้ามาในอ้อมแขนของมารดา จากนั้นจึงหลับฝันหวาน
…
วันต่อมาหลังจากเฉียวเวยส่งเด็กๆ ไปยังสำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่า นางก็นั่งรถเทียมลาของหลัวหย่งจื้อเดินทางไปในเมือง ครอบครัวมีรถแล้วช่างรู้สึกไม่เหมือนเดิม
หลัวหย่งจื้อต้องลงไปทำนา เมื่อส่งเฉียวเวยถึงร้านเถ้าแก่หวงแล้วจึงกลับหมู่บ้านไปก่อน
ตอนเช้ายังไม่มีคนมาซื้อของ เถ้าแก่หวงจึงช่วยบรรดาช่างไม้ต่อตู้อยู่หลังร้าน เมื่อเห็นเฉียวเวยมา ก็ตกใจ แต่จากนั้นก็ยิ้มแย้มกล่าวว่า “มาเช้าเช่นนี้เชียว ทานข้าวเช้ามาหรือยัง”
เฉียวเวยเอ่ยกึ่งล้อเล่น “กินมาแล้ว ข้ามิใช่กลัวท่านเปลี่ยนใจหรือไร จึงต้องรีบมาจัดการตกลงซื้อขายให้เรียบร้อย”
“ดูเจ้าพูดเข้า” เถ้าแก่หวงหัวเราะแกนๆ แล้ววางค้อนลงบนพื้น ล้างมือเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่กับเฉียวเวย
เฉียวเวยนำ ‘บัตรประจำตัวประชาชน’ ‘โฉนดบ้าน’ กับ ‘ใบอนุญาตใช้ที่ดิน’ รวมไปถึง ‘สัญญาเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้น’ ฉบับโบราณของตนเองออกมาวางไว้บนโต๊ะ
เถ้าแก่หวงกวาดสายตาเห็นชื่อ ‘หรงจี้’ บนหัวสัญญา สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ฮูหยินเป็นอันใดกับ…หรงจี้”
“เถ้าแก่รอง” เฉียวเวยตอบอย่างสบายๆ
เมื่อคืนวานตอนเฉียวเวยเสนอการจ่ายเงินรายเดือนขึ้นมา เถ้าแก่หวงคิดว่านางไม่มีเงินเท่าไรนัก ผู้ใดจะคิดว่านางเป็นเถ้าแก่รองของหรงจี้ ไม่เพียงเท่านี้ นางยังมีที่ดินใหญ่โตขนาดนี้อยู่ในหมู่บ้านอีก เพียงที่ดินนั่นก็มีค่าหลายร้อยตำลึงแล้ว
พูดความจริง หลังจากขบคิดมาหนึ่งคืน เถ้าแก่หวงนึกเสียใจอยู่บ้างที่ตนเองตกลงเร็วเกินไป จึงเตรียมหาข้ออ้างเปลี่ยนใจเอาไว้แล้ว ทว่าเมื่อเห็นเอกสารเหล่านี้ตรงหน้า เขาก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง
“ฮูหยิน โปรดอภัยที่ข้าต้องถามล่วงเกินสักประโยค ในเมื่อท่านเป็นเถ้าแก่รองของหรงจี้ เหตุไฉนแม้กระทั่งเงินซื้อเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นยังควักออกมามิได้เล่า” ข้าวของในร้านเขาแพงเขาทราบอยู่ แต่กิจการของหรงจี้ดีปานนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกุ้งของพวกเขาแทบจะดังไปทั่วทั้งเมือง เป็นถึงเถ้าแก่รองของเหลาสุรา จะไม่มีเงินใช้สอยสักหน่อยเชียวหรือ
เฉียวเวยยิ้มละไมเอ่ยว่า “ไม่ปิดบังเถ้าแก่หวง ข้าเพิ่งทำงานที่หรงจี้ไม่นาน ต้องรอสิ้นปีจึงจะได้เงินส่วนแบ่ง ตอนนี้ทำงานให้เปล่าอยู่ทั้งนั้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เถ้าแก่หรงมิได้ดูเนื้อหาในสัญญาอย่างละเอียด เพียงกวาดตามองวันเวลาแวบหนึ่ง เขียนไว้ว่าสองเดือนก่อนหน้าจริงๆ “กิจการขายกุ้ง ท่านก็เป็นเจ้าของหรือ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า
เถ้าแก่หวงเกิดความรู้สึกชื่นชมขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ สตรีคนหนึ่งคิดกิจการที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้ มิใช่ธรรมดาเลย เถ้าแก่หวงครุ่นคิดสักครู่ก็ถามอีกว่า “ข้าได้ยินว่าเถ้าแก่รองของหรงจี้มีความสัมพันธ์กับพรรคชิงหลง”
ตอนเฉินต้าเตายกสุราคารวะจีหมิงซิว คำพูดที่บอกว่า ‘เรียกหัวหน้าพรรคของพวกเจ้ามา’ ประโยคนั้นของจีหมิงซิว มีคนได้ยินอยู่ไม่น้อย
เฉียวเวยไม่ปฏิเสธ “เล่าไปแล้วก็ยาว”
นี่ก็เท่ากับยอมรับกลายๆ แล้ว
รากฐานของหรงจี้ หน้าตาของพรรคชิงหลง ไม่ว่าเอาอย่างไหนออกมาก็เพียงพอเป็นเครื่องรับประกันทั้งสิ้น หากตนปฏิเสธการค้าครั้งนี้ น่ากลัวว่าสักวันต้องนึกเสียดาย
เขาคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ฮูหยิน ต้องเลือกเครื่องเรือนอีกสักรอบหรือไม่”
เฉียวเวยเลือกเครื่องเรือนไว้เรียบร้อยแล้ว ราคาทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบตำลึง แบ่งจ่ายครึ่งปี คิดดอกเบี้ยหนึ่งส่วน
ดอกเบี้ยหนึ่งส่วนสูงพอสมควร เฉียวเวยกดดอกเบี้ยมิได้ จึงหั่นราคาทั้งหมดลงจนมาเหลือหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ทำเอาเถ้าแก่หวงหวิดจะกระอักเลือด เถ้าแก่หวงหยิบเอาสมุดบัญชีปลอมเล่มหนึ่งออกมาให้เฉียวเวยดู บอกว่าท่านดูสิข้าขายราคาใดให้ผู้อื่น แล้วขายราคาใดให้ท่าน ผลปรากฏว่าเฉียวเวยมองปราดเดียวก็มองออก สุดท้ายเถ้าแก่หวงเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองมึนงงสับสนตอบรับไปได้อย่างไร ท้ายที่สุดเงินยี่สิบตำลึงก็ปลิวหายไปเช่นนี้
เฉียวเวยกำชับว่า “อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับไม้ที่ใช้ทำเชียว ข้าจะพาคนในแวดวงเดียวกันมาตรวจสอบสินค้า หากกล้าเอาเนื้อสุนัขมาขายเป็นเนื้อแพะ พรรคชิงหลงจะจัดการอย่างไร ท่านคงรู้”
เถ้าแก่หวงนึกในใจ เหตุใดจึงรู้สึกว่าตนเองตกหลุมพรางหลุมเบ้อเริ่มเข้านะ
เฉียวเวยฝั่งนี้กำลังซื้อเครื่องเรือนอยู่ในเมือง อีกฝั่งหนึ่งรถม้าที่ภายนอกไม่สะดุดตาคันหนึ่งจอดที่ทางเข้าของหมู่บ้านซีหนิว
บนรถม้ามีคนทั้งหมดสามคน ยิ่นอ๋อง ขันทีหลิวและองครักษ์มั่วผู้ทำหน้าที่สารถี
ยิ่นอ๋องมาเยือนหมู่บ้านเล็กจ้อยแห่งนี้เป็นครั้งที่สาม ครั้งแรกมาตามหาคนร้ายที่ทำร้ายองครักษ์หลิน ครั้งนั้นเขาเห็นภาพเหมือนของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวจึงไปเยือนถึงบ้านเพื่อยืนยันด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าถูกคุณหนูใหญ่เฉียวหลอก ครั้งที่สองคือเมื่อหลายวันก่อน สายลับตรวจพบร่องรอยของจีหมิงซิวเข้าออกป่าละแวกหมู่บ้าน ส่วนครั้งนี้….
“มั่นใจว่าเป็นที่นี่ใช่หรือไม่” ยิ่นอ๋องถาม
ขันทีหลิวตอบ “มั่นใจพ่ะย่ะค่ะ ในหมู่บ้านมีสำนักศึกษาอยู่แห่งหนึ่ง เด็กคนนั้นกำลังเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา”
ยิ่นอ๋องเลิกม่านรถขึ้นแล้วพยักหน้าให้องครักษ์มั่วผู้นั่งอยู่ด้านนอกตัวรถ องครักษ์มั่วผูกรถม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่ จากนั้นใช้วิชาตัวเบาเข้าไปในสำนักศึกษาพร้อมกับยิ่นอ๋อง
หลังจากเข้าไปแล้ว ยิ่นอ๋องจึงพบว่าสถานที่แห่งนั้นแตกต่างจาก ‘สำนักศึกษา’ ที่ขันทีหลิวเรียกอย่างมาก มันเป็นเพียงเรือนหลังหนึ่งที่ใช้ห้องโถงเก่าคร่ำคร่าห้องหนึ่งเป็นห้องเรียน ฝั่งตะวันตกมีห้องครัวคับแคบหนึ่งห้อง ฝั่งตะวันออกมีห้องนอนซึ่งมีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นหนึ่งห้อง สุขาอยู่ด้านหลังติดกับเล้าหมู
ก่อนหน้านี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้เลี้ยงหมู แต่เพื่อบำรุงสุขภาพของเด็กทั้งสองคน เขาจึงเลี้องแม่หมูตัวน้อยไว้สองตัวเ
อากาศร้อน กลิ่นนั่น จินตนาการดูก็ทราบ
สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือพอเสียงอ่านตำราดังขึ้นมาจากด้านนั้นครั้งหนึ่ง แม่หมูตัวน้อยในคอกก็ร้องรับครั้งหนึ่ง สอดประสานกันยิ่งนัก
เมื่อคิดว่าบุตรชายของตนต้องมาร่ำเรียนในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ ยิ่นอ๋องก็ขมวดคิ้วจนเป็นปม หลังจากนั้นสะกิดปลายเท้าครั้งหนึ่งโฉบผ่านเล้าหมู หยั่งเท้าบนยอดต้นไหวแก่ต้นหนึ่ง
ร่มไม้บดบังแดดและซ่อนร่างของทั้งสองคนไว้พร้อมกัน
ยิ่นอ๋องมองลอดใบไม้ลายพร้อยบนกิ่งก็เห็นภาพห้องเรียนชัดเจน โต๊ะสองสามตัวที่ไม่รู้วาไปรวบรวมมาจากที่ใดจึงขนาดไม่เท่ากัน ม้านั่งบางตัวสูงบางตัวเตี้ย เด็กๆ ก็มีทั้งอายุมากอายุน้อยคนที่อายุมากที่สุดดูเหมือนจะอายุสิบสองปีแล้ว คนที่อายุน้อยที่สุดก็คือฝาแฝดชายหญิงคู่นั้น ทั้งสองคนนั่งเรียงกันอยู่แถวแรก บนตักของเด็กหญิงตัวน้อยมีเพียงพอนหิมะตัวจ้อยนั่งอยู่ เพียงพอนน้อยตั้งสมาธิฟังพลางลูบขนของตนเองเป็นระยะเหมือนนับบางอย่าง
วั่งซูบังใบหน้าของจิ่งอวิ๋นอยู่ ยิ่นอ๋องจึงมองเห็นไม่ชัด แต่เมื่อพิจดวงหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยก็พบว่าเหมือนคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวยิ่งนัก
ไม่นาน ชั้นเรียนก็เลิก
เด็กทั้งหลายวิ่งออกมาราวกับผึ้งแตกรัง แล้วเริ่มเล่นสนุกหัวเราะคิกคักกันในลานบ้าน
วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋ออกมาตากแดด แล้วถือโอกาสเพิ่มสารอาหารสักหน่อย นางแอบซุกลูกกวาดสองเม็ดไว้ในกระเป๋านักเรียนล่ะ!
นางอมเองเม็ดหนึ่ง แล้วให้เสี่ยวไป๋เม็ดหนึ่ง
เสี่ยวไป๋ยื่นอุ้งเท้าไปรับ ตอนนี้เองสุนัขเฝ้าไร่สีขาวขนาดมหึมา (เมื่อเทียบกับเสี่ยวไป๋) ตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามา วั่งซูตกใจหลุดร้องว้าย ลูกกวาดในปากร่วงตกพื้น สุนัขตัวโตสีขาวไม่พูดพล่ามอ้าปากงับลูกกวาดแล้วเผ่นแผล็วทันใด!
วั่งซูร้องไห้โฮ!
ฝ่ามือใหญ่ของยิ่นอ๋องกำหมัดทันที
เสี่ยวไป๋มองสุนัขสีขาวตัวโตอย่างดุร้าย จากนั้นโก่งตัว ดีดขาหลัง ร่างทั้งร่างพุ่งออกไปเหมือนลำแสงสีขาว!
สุนัขตัวโตสีขาวได้ลูกกวาดก็วิ่งไปหลบหลังโอ่งน้ำนอกห้องครัว เลียแผล็บๆ ความจริงเจ้าสุนัขสีขาวก็ไม่ชมชอบกินลูกกวาดนัก แต่เถี่ยหนิวเจ้านายของมันชอบดูมันกินลูกกวาด ทุกครั้งที่มันกินเหมือน ‘สุนัข’ สีขาวตัวจ้อยที่อ่อนแอตัวนั้น เจ้านายก็จะชอบใจเป็นพิเศษ เพื่อประจบให้เจ้านายชอบใจ มันจึงขยันขันแข็งฝึกฝนอยู่ทุกวัน
เสี่ยวไป๋ไล่ตามมา ยามเผชิญหน้ากับสุนัขที่ตัวใหญ่กว่าตนเองถึงห้าหกเท่า เสี่ยวไป๋แสดงความมุ่งมั่นและความกล้าอันน่าตกตะลึงออกมา
เสี่ยวไป๋กระโดดอย่างรวดเร็วแล้วตวัดกรงเล็บใส่หัวของสุนัขตัวโตสีขาว ตบจนสุนัขตัวโตสีขาวล้มคว่ำกับพื้น กลิ้งไปรอบหนึ่งกว่าจะตั้งตัวได้อย่างหวุดหวิด
สุนัขตัวโตสีขาวถูกตบจนมึนงง มันมองเสี่ยวไป๋อย่างนิ่งอึ้ง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตัวเล็กกระจ้อยเท่าฝ่าเท้าเอากำลังที่ไหนมาตบ
เสี่ยวไป๋ส่งกรงเล็บมาอีกหน ตบมันจนปลิวไปกระแทกโอ่งน้ำ ร่วงลงกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง
สุนัขตัวโตสีขาวถูกตบจนหวาดกลัว มันยกเท้าได้ก็วิ่งหนี!
แต่เสี่ยวไป๋จะให้มันสมหวังได้อย่างไร เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นขี่บนตัวของมัน กรงเล็บข้างหนึ่งคว้าขนของมันไว้ ส่วนกรงเล็บอีกข้างหนึ่งเล็งที่หน้าผาก ตบซ้ายตบขวาสลับกัน ตบจนมันร้อง เอ๋ง!
“ตบได้ดี! สุนัขตัวนั้นต่ำช้าเกินไปแล้ว!” องครักษ์มั่วโห่ร้องชม
ยิ่นอ๋องเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา องครักษ์มั่วหุบปากทันที
ยิ่นอ๋องมองไปทางวั่งซูอีกครั้ง วั่งซูเลิกร้องไห้แล้ว จิ่งอวิ๋นหยิบลูกกวาดหนึ่งเม็ดที่เตรียมไว้ให้นางโดยเฉพาะออกมาจากกระเป๋านักเรียนของตนแล้วส่งให้ นางเลิกร้องไห้เปลี่ยนมาแย้มยิ้ม จากนั้นแทะ กรุ๊บๆ! เหมือนกระรอกอ้วนตัวน้อย
หลังจากจิ่งอวิ๋นปลอบน้องสาวเสร็จก็หมุนตัวจากไป
สายตาของยิ่นอ๋องถูกเสี่ยวไป๋ดึงความสนใจจึงพลาดการสำรวจหน้าตาของจิ่งอวิ๋น รอจนเขาเคลื่อนสายตากลับมาบนร่างจิ่งอวิ๋นอีกครั้ง จิ่งอวิ๋นก็เดินไปทาง ‘ท้ายเรือน’ ยืนอยู่กับเด็กที่โตกว่าเขามากหลายคนตรงเล้าหมูแล้ว
เด็กเหล่านั้นแต่งตัวดูดีไม่เหมือนเด็กจากครอบครัวยากจน แลดูไม่เข้าพวกกับสภาพทรุดโทรมยากจนรอบด้านอยู่บ้าง
พวกเขาล้อมจิ่งอวิ๋นอยู่ตรงกลาง ดูไปแล้วเหมือนกำลังจะยกพวกรุม
สีหน้ายิ่นอ๋องเย็นชาขึ้นทันใด
จากนั้นจิ่งอวิ๋นก็เอ่ยปาก “คัดลอกบทกวีสิบอีแปะ แต่งบทกวีตามหัวข้อยี่สิบอีแปะ ทำการบ้านทั้งหมดห้าสิบอีแปะ จ่ายก่อนจึงจะได้งาน จ่ายสดไม่มีติดไว้ก่อน”
ยิ่นอ๋องสงสัยว่าตนเองฟังผิด…
เด็กคนหนึ่งถามว่า “เจ้าเขียนบทกวีอวยพรวันเกิดให้ท่านย่าข้าได้หรือไม่”
จิ่งอวิ๋นตอบอย่างสุขุมนิ่งสงบ “บทกวีอวยพรวันเกิด หนึ่งร้อยอีแปะ”
เด็กคนที่สองถามบ้าง “ข้าอยากแลกที่นั่ง ข้าไม่อยากนั่งด้านหน้าแล้ว”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “แลกที่นั่งสิบอีแปะ”
องครักษ์มั่วเกือบหน้าทิ่ม!
นี่คือนายน้อยของตนจริงหรือ เหตุไฉนไม่เหมือนที่เขาจินตนาการไว้ ไหนว่าเป็นหนอนหนังสือ ไหนว่าเป็นเทพแห่งการเรียนตัวน้อย นี่มันคนชั่วตัวน้อยที่สายตามีแต่เงินชัดๆ!
เด็กน้อยหลายคนนี้ล้วนเป็นคุณชายตระกูลมีเงินที่เดินทางมาเรียนเพราะชื่นชมชื่อเสียงหลังจากการสอบเสินถง พวกเขาเคยร่ำเรียนที่สำนักศึกษาในตัวเมือง แต่เพราะซุกซนเกินไปจึงถูกขับออกจากสำนัก หลังมาถึงที่นี่กลับถูกจิ่งอวิ๋นจัดการจนสงบเสงี่ยม ไม่เพียงมาเรียนอย่างว่าง่าย การบ้านก็ ‘ตั้งใจ’ ทำจนเสร็จ บิดามารดาล้วนดีใจนัก เด็กทั้งหลายไม่ต้องถูกหวดก้นลายย่อมดีใจยิ่ง จิ่งอวิ๋นเองก็ได้เงิน ทุกคนล้วนเปรมปรีดา
การแลกเปลี่ยนจบลงด้วยการที่พวกเขาทยอยกันควักกระเป๋าเงินข้างเอวออกมา กระเป๋าข้างเอวของจิ่งอวิ๋นตุงนูน ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องเรียนด้วยสีหน้าอารมรณ์ดี หลังจากนั่งลง จิ่งอวิ๋นก็เหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงมองไปยังต้นไหวอายุมากต้นนั้น
ยิ่นอ๋องรีบเร้นกายหลบ
จิ่งอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยอย่างแปลกใจ รู้สึกว่ามีคนกำลังมองเขาอยู่ชัดๆ…
การมองครั้งนี้ของจิ่งอวิ๋นทำให้ยิ่นอ๋องเห็นหน้าของเขาชัดในที่สุด นั่นเป็นใหน้าที่เหมือนตนอย่างแท้จริง
…