บทที่ 312 ปลดปล่อยปีศาจในหัวใจ
บทที่ 312 ปลดปล่อยปีศาจในหัวใจ

“แน่ใจหรือว่าที่นี่?”

ลึกเข้าไปในป่าทึบที่ไกลสุดลูกหูลูกตามีเพียงสีขาวโพลนแสบตา เหมือนเหมันต์ที่ไร้ฤดูกาลใดอีก

ที่โลกด้านนอกเพิ่งเข้าฤดูร้อนเท่านั้น แต่ที่นี่…..

ชิงอวี่ลองยื่นนิ้วไปจิ้มลำต้นของต้นไม้ด้านข้าง หิมะหนามากจนไม่เห็นด้านในด้วยซ้ำ แต่แรงกดจากนิ้วเพียงเล็กน้อยก็ทิ่มเข้าไปได้ครึ่งนิ้วแล้ว

เท่านี้ก็รู้เลยว่าหิมะตกสะสมบนลำต้นหนาเพียงไหน

ไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างมีสภาพอากาศเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นหรือไม่ ที่มีพายุหิมะโปรยไม่หยุดจนปกคลุมทุกสิ่งด้วยหิมะ

แต่ถึงแม้นางจะแต่งตัวบาง แต่นางฝึกวิชาฝังวิญญาณมาแต่เล็กแต่น้อยทำให้สภาพร่างกายนางเปลี่ยนไป ดังนั้นอุณหภูมินางจึงดูเย็นยะเยือกอยู่ตลอด นางไม่หนาว อีกทั้งความทนทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นยังมีมากกว่าคนอื่น

และในกายนางมีไฟหงส์ ดังนั้นแม้ภายนอกควรจะแข็งไปแล้ว แต่ภายในกลับอบอุ่นจนแทบร้อน

“นายหญิง ท่านต้องเชื่อข้านะ ร่องรอยกลิ่นไอมันหายไปทันที ท่านแม่ของท่านอาจจะเข้าไปที่นี่ก็ได้”

เจ้าเด็กน้อยสีแดงยืดอกประกาศด้วยสายตาหยัน พลางส่งสายตาเป็นเชิงเหนือกว่าไปทางเด็กหนุ่มผมทองด้านข้าง

เด็กหนุ่มผมทองเพียงยกมุมปากขึ้น ราวกับไม่ใส่ใจเจ้าเด็กน้อยสักนิด

เขาจะไม่แข่งกับเจ้าแคระนี่หรอก เพราะยังไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะสามารถช่วยเหลือนายหญิงได้กันแน่!

ปล่อยให้ไอ้เด็กแคระนี่ได้ใจไปก่อนดีกว่า

นางหรี่ตาเงียบเสียงไปชั่วครู่ก็เอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นก็ไป หวังว่าเราจะพาท่านแม่กลับมาได้สำเร็จ”

มือข้างหนึ่งพลันวางเบา ๆ ลงบนไหล่ ชิงอวี่หันไป เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มกำลังส่งยิ้มให้ ดวงตาน่ามองสีเงินและทองดูส่องประกายราวกับมีแสงตะวันน้อย ๆ “นายหญิง ข้าจะคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายท่านตลอดเอง”

ชิงอวี่ชะงักไปด้วยตกใจ ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เจ้าเด็กนี่จะทำให้นางรู้สึกปลอดภัยได้เช่นนี้!

ทั้งเมื่อชาติก่อนและชาตินี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือเขาคอยอยู่ข้างกายนางตลอด เปลี่ยนจากจิตวิญญาณอาวุธเย็นชาไร้อารมณ์กลายเป็นมีร่างและเลือดเนื้อ เป็นเพราะเขาอยู่ข้างกายนางมานานงั้นหรือ จึงได้มีความอบอุ่นเฉกเช่นมนุษย์ขึ้นมา มีความสามารถอ่านความคิดอ่านอารมณ์นางออกแล้ว?

แต่ก่อน เจ้านี่มีแต่ดื้อรั้นเอาแต่ใจทั้งนั้น!

ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปาก ไม่พูดอะไร เพียงแต่ยื่นมือไปยีผมสีทองงดงามนั่นเท่านั้น

จั้งไหมกะพริบตาประหลาดใจ ราวกับไม่คิดว่านางจะทำเช่นนั้นตอบกลับมา ดูท่าจะเคยถูกยีหัวมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว จึงยืนนิ่งอย่างน่ารัก หากแต่มีสีหน้าอึ้งน้อย ๆ อยู่เช่นนั้น

ดูเหมือนว่าครั้งก่อนที่นางยีหัวเขาเช่นนี้จะนานมากแล้ว และเขาเองก็รู้สึกคิดถึงมันอยู่บ้าง ดังนั้นจึงยอมก้มหัวให้นางยีเล่นตามใจชอบ

ท่าทางที่ชี้ให้เห็นว่าสนิทสนมกันมากเช่นนั้นย่อมทำให้เจ้าเด็กน้อยข้างกายเขาหน้าแดงขึ้นมา กัดฟันแน่นทันที ในใจก็คิดว่าเจ้าผมทองนี่เจ้าเล่ห์นัก

ชิงอวี่จึงมุ่งหน้าเข้าไป

จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่เจ้าตัวเล็ก แต่นางก็สัมผัสกลิ่นอายคุ้น ๆ ได้จากในนั้นเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไมมันจึงจางมากจนนางเกือบสัมผัสไม่ได้

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงมีความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา เป็นเพราะท่านแม่พบอันตรายใดงั้นหรือ?

หรือเป็นเพราะ….. นางได้รับบาดเจ็บจนกลิ่นอายนางจางเสียจนสัมผัสแทบไม่ได้?

ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร นางก็ได้แต่หวังว่าจะหาท่านแม่เจอ หวังว่าไม่ได้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับท่านแม่

ที่อีกฟากหนึ่ง หลังจากรอดพ้นอันตรายมาได้แล้ว หนทางที่คนทั้งหมดเดินทางต่อบนยอดเขาใจสงบก็ค่อนข้างจะสงบสุขปลอดภัยทีเดียว

โร่วโร่วเดินนำทางอยู่ด้านหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นอายทรงพลังจากสายเลือดของมันดูข่มขวัญมากเสียจนไร้อสูรวิญญาณตัวใดปรากฏกายขวางทางเลยหรือไม่ การเดินทางจึงเงียบสงบและปลอดภัยยิ่งนัก

เห็นดังนั้นแล้ว ชิงเป่ยก็มุ่นคิ้ว เอ่ยถามเสียงฉงน “โร่วโร่ว อสูรวิญญาณที่โจมตีพวกเราก่อนหน้านี้ ระดับสูงกว่าเจ้าหรือไม่?”

เมื่อเจ้าอสูรน้อยที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยินเข้า มันไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ “ท่านอย่าคิดมากเลย อสูรวิญญาณแมวเงามืดนั้นเกิดมาก็ระดับยี่สิบแล้ว หากเป็นเรื่องระดับ อสูรวิญญาณตัวใดก็มิอาจเทียบอสูรวิญญาณแมวเงามืดได้”

ถ้อยคำมั่นใจเหล่านั้นราวกับแฝงแววภาคภูมิไว้ด้วย

“เช่นนั้นหากเจ้าพบอสูรวิญญาณที่มีระดับพลังลึกล้ำแล้ว เจ้าก็สามารถเอาชนะมันได้ด้วยพลังจากสายเลือดงั้นหรือ?”

“ปกติก็จะเป็นเช่นนั้น”

“เช่นนั้นตอนที่เราเจออสูรวิญญาณเมื่อก่อนหน้า ทำไมเจ้าถึงไม่ขู่พวกมันไปสักหน่อย แต่กลับปล่อยให้เราต้องสู้กันจนเหนื่อยเช่นนั้นเล่า?” ชิงเป่ยจึงถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย

โร่วโร่วหยุดก้าวเท้าแล้วทำหน้ามึนงง “ทำไมข้าต้องทำด้วยเล่า? พวกมันไม่ได้โจมตีข้านี่”

ชิงเป่ยสำลักคำพูดทันที ก่อนจะเค้นคำออกมาตอบได้ “พวกเราไม่ใช่ว่าอยู่ฝั่งเดียวกันหรอกหรือ?”

“ย่อมไม่ใช่” โร่วโร่วกลอกตาว่า “ข้าอยู่ฝั่งท่านแม่เท่านั้น ไม่ได้อยู่ฝั่งคนอื่น”

เป็นอย่างที่คิดเลย หากไม่มีชิงอวี่อยู่ เจ้าตัวเล็กนี่ก็ดูถูกเขาจนเห็นชัดเจนเหลือเกิน ไม่คิดปิดบังด้วยซ้ำ

ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ไม่ชอบเขามากเช่นนั้น

ไม่สิ เหมือนกับว่านอกจากชิงอวี่แล้ว มันจะไม่เคยแสดงทีท่าชอบคนอื่นเลย

โหลวจวินเหยาเดินตามหลังมา เงียบมาโดยตลอดอย่างน่าอัศจรรย์ใจ กระทั่งสวินลั่วคนช่างพูดยังไม่เดินเข้ามาคุยด้วยเพราะใครบางคนกำลังอารมณ์ไม่ดี เห็นได้ชัดเจนนัก ก็เพราะกลิ่นอายรอบกายเขามันชั่วร้ายเป็นพิเศษอย่างไรเล่า

ระหว่างที่เดิน ๆ ไปนั่นเอง ฝีเท้าชายหนุ่มก็พลันชะงัก

สวินลั่วกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายพลันเข้มขึ้น นัยน์ตาสีม่วงชั่วร้ายจ้องไปตำแหน่งหนึ่งอย่างดุดัน ทันใดนั้น เสียงอะไรบางอย่างกำลังปริแตกก็ดังก้องขึ้น

สีหน้าทุกคนจริงจังขึ้นทันที ร่างกายตึงเครียดขึ้นดูระแวดระวัง

ปีศาจน้อยเคลื่อนตัวไปยังต้นเสียงอย่างเฉื่อยชา จากนั้นเอ่ยเสียงคร้านขึ้น “ข้าก็บอกอยู่ว่าสัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งคอยจ้องเราอยู่ตลอด แล้วก็คิดถูกจริง ๆ”

ทุกคนจึงหันไปมอง เห็นเศษแก้วคล้ายกระจกหล่นเกลื่อนอยู่ทั่วพื้น โดยสะท้อนแสงประหลาดออกมา

“นั่นมัน….. กระจกทำนายไม่ใช่หรือ?” คนหนึ่งร้องถามเสียงประหลาดใจ

เมื่อได้ยินว่ามันคือสิ่งใด คนทั้งหลายก็พลันตอบสนอง

เป็นกระจกทำนายในตำนานเองหรอกหรือ มันเป็นกระจกที่เชื่อมกับกระจกแฝดของตนที่อีกฝั่งหนึ่ง ทำให้สามารถใช้มองเห็นสิ่งใดก็ตามในอีกฟากหนึ่งได้ ราวกับดวงตาใช้มองสอดส่องคู่หนึ่งก็มิปาน

ทว่ามันเป็นของที่หายากและล้ำค่านัก จะสร้างกระจกชั้นดีขึ้นมาสักคู่ต้องใช้ทั้งกำลังและทรัพยากรมากมายเหลือจะจินตนาการ ดังนั้นแม้จะเป็นทั้งแดนเมฆาสวรรค์ก็ยังหาได้ยาก

แต่ไม่หมดเท่านั้น ในสถานที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ หลังจากโหลวจวินเหยาทำลายกระจกทำนายนั่นไปแล้ว ก็เกิดเป็นแสงแสบตาวาบขึ้น เผยให้เห็นกระจกทำนายอีกนับไม่ถ้วน ทั้งยังเป็นแสงจ้ามากจนลืมตาไม่ขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นกัน? จะมีกระจกทำนายอยู่ทั่วทุกที่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?!”

“ผิดปกติแล้ว กระจกทำนายนั้นหายากและเป็นสมบัติล้ำค่ามาก ไม่อาจทำลายได้โดยง่าย เพราะมันจะซ่อนตัวอยู่ในกระจกตัวแทนทั้งหลาย เว้นเสียแต่ว่ากระจกตัวจริงจะถูกทำลายลงแล้ว มีกระจกทำนายปลอมอยู่มากมายเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าอันไหนจริงหรือปลอม แต่พลังวิญญาณยังจะถูกกระจกปีศาจนี่ดูดเอาไว้ สุดท้ายก็จะสิ้นใจอีกด้วย!”

ที่กระจกทำนายหายากมากนั้น ไม่เพียงแต่วัตถุดิบในการทำมันขึ้นมาหายากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะวิญญาณปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ในกระจก ที่คอยล่อลวงจิตใจคน เอาพลังที่ดูดมาจากเหยื่อป้อนให้แก่นพลังในกายตนนั่นเอง

และว่ากันว่าเมื่อมันดูดเอาแก่นพลังจากร่างคนไปพันคนแล้ว ก็นับว่าทำหน้าที่ลุล่วง วิญญาณปีศาจภายในก็จะสามารถแหกคุกกระจกออกมาได้ และแปลงร่างกลายเป็นมนุษย์ที่ชั่วช้าสามานย์ มีแต่ความคิดชั่วร้าย กระหายชีวิตคนอีกนับพัน

“มีวิธีทำลายมันหรือไม่?”

“วิญญาณกระจกนั่นเป็นปีศาจชั่วร้าย ที่มันกลัวที่สุดคือคนที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้า เป็นสายเลือดที่ทำให้พวกปีศาจบ้าคลั่งไปด้วยความกลัวความเสียขวัญ จนกระทั่งมันยอมปลิดชีพตนเอง”

สายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด หมายความว่าเป็นสายเลือดไร้มลทินใดที่ไม่แปดเปื้อนโดยความชั่วร้าย สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างคนผู้ที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง

ทุกคนชะงักงันไปทันใด ใต้หล้านี้จะมีคนเช่นนั้นอยู่ด้วยหรือ?

แต่จะมีหรือไม่ ก็แน่นอนว่าไม่ได้มีอยู่ในคนกลุ่มนี้แน่

ในตอนที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันอยู่นั่นเอง กระจกทำนายที่อยู่โดยรอบก็ยิ่งกระจายตัวออกมาจนมีจำนวนมากมาย ลอยมาอยู่เหนือศีรษะพวกเขา โดยที่มีใบหน้าของแต่ละคนสะท้อนอยู่ในนั้น

และไม่ใช่เพียงใบหน้าเดียวเท่านั้น แต่ยังมีใบหน้าอื่น ๆ อีกหลายใบหน้ารวมอยู่ด้วย

ทุกคนสับสนมึนงง ภาพในนั้นบ้างร้องไห้ บ้างหัวเราะ บ้างเกรี้ยวโกรธ บ้างมีความสุข ทั้งหน้าตางดงาม และหน้าตาอัปลักษณ์…..

ทุกภาพล้วนเป็นภาพของตัวพวกเขาเอง แต่กลับไม่กล้าลืมตามามองหน้าตรง ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นหน้าของพวกเขาเองแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกแปลกประหลาดไม่คุ้นตาไปในเวลาเดียวกัน

ทุกคนมีมุมมืดเป็นของตนเอง และต่อหน้ากระจกทำนายแล้ว ก็ไม่อาจซุกซ่อนสิ่งใดไว้ได้

พวกเขายืนอยู่ด้วยกันเมื่อครู่ก่อน แต่พริบตากลับเหมือนว่าคนข้าง ๆ พลันหายไป ปล่อยให้เหลือตัวคนเดียวในมิติเวลาหนึ่ง ไม่มีใครอยู่ข้างกายสักคน

และบนกระจกที่อยู่รอบกายนั้น ภาพตนเองนับไม่ถ้วนก็กำลังทำท่ากระโจนเข้าใส่ หมายจะกลืนกินพวกเขา

โหลวจวินเหยาก็เช่นกัน

เขาได้เห็นกระทั่งภาพที่เขาทำลายล้างศัตรูทั้งตระกูล เมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่มเพื่อล้างแค้น

ร่างเขาชุ่มไปด้วยเลือดขณะที่ยกร่างเล็กของทารกคนหนึ่งที่ยังร้องไห้หิวนมอย่างน่าสงสาร พลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดูราวกับปีศาจกระหายเลือด

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงจะอยู่อย่างมีความสุขบนโลกใบนี้ มีพ่อแม่ที่รักเจ้า ทะนุถนอมเจ้า แต่ข้ากลับไม่อาจได้เห็นพ่อแม่ข้าสักครั้ง ทั้งยังเกือบตายอยู่ในครรภ์มารดากัน?”

“เหตุใดจึงยังใช้ชีวิตอยู่ได้หลังจากกระทำเรื่องชั่วช้า ยังมีชีวิตอยู่ต่ออย่างมีสุขโดยไม่รู้สึกเศร้าหรือผิดบาปสักนิดบ้างเลย?”

“ทำไมพวกคนชั่วที่แท้จริงเหล่านี้ถึงไม่ตายไปเสีย แต่คนที่ตายกลับเป็นคนดี ๆ ที่พวกชั่วเหล่านี้กล่าวหาว่าชั่วร้ายกัน!?”

เขาไม่สนใจเสียงร้องหวาดกลัวของเด็กน้อย พลางเอ่ยคำเหล่านั้นราวกับถูกสิง มือที่กระชับรอบลำคอน้อยค่อย ๆ กำแน่นขึ้น จนกระทั่งไม่เหลือลมหายใจในร่างน้อยไร้ชีวิตอีกต่อไป

สุดท้าย เขาก็ได้แต่นั่งอยู่เช่นนั้น นัยน์ตาว่างเปล่าอย่างน่ากลัว

คนผู้หนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังในเรือนที่เต็มไปด้วยซากศพ ร่างแข็งค้างแน่นิ่งไปนาน ไม่ขยับสักนิดเดียว