บทที่ 313 มองปีศาจในกระจกออก
บทที่ 313 มองปีศาจในกระจกออก

มีความทรงจำสองเรื่องที่เขาไม่อยากนึกถึงมันมากที่สุด

เรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ครอบครัวเขาตายอย่างโหดร้าย อีกเรื่องคือตอนที่เขาเสียสติสังหารศัตรูล้างตระกูลในคืนเดียว เป็นภาพฉากที่เลือดไหลดั่งสายน้ำ

หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความแค้น

แต่เด็กเปราะบางดูน่าสงสารคนนั้น เขากลับไม่อยากทำร้าย

เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นร่างชุ่มเลือด ดิ้นอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว หัวใจของเขาก็เกิดความสงสารขึ้นโดยไร้เหตุ ทำให้อยากอุ้มเขาขึ้นมา

แต่กระทั่งเด็กตัวน้อยที่ใสซื่อเช่นนั้น ยังรู้ว่าโหลวจวินเหยาเป็นตัวประหลาดน่าผวา พยายามใช้กำลังทั้งหมดหลบหนีจากเงื้อมมือปีศาจของโหลวจวินเหยาให้ได้

เฮ้อ น่าขันนัก เจ้าจะกลัวไปทำไม!?

อย่างน้อยเขาก็ไว้ชีวิตเด็กคนนี้กระมัง? อย่างตัวเขาเอง หากท่านแม่ไม่เสี่ยงชีวิต ใช้แรงเฮือกสุดท้ายผ่าท้องคลอดเขาออกมา เขาก็อาจไม่ได้ลืมตาดูโลกแล้วก็ได้

ใบหน้าเขาขบขันเป็นยิ่งนัก แต่กระนั้นก็ไร้ความคิดทำร้ายเด็กคนนั้น

แต่ยามเอื้อมมือออกไปหมายจะอุ้มเขาขึ้นมา เด็กน้อยกลับคว้ามือเขาไว้ด้วยความโกรธแล้วกัดเสียแรง

เด็กวัยหัดเดินเช่นเขา ในฟันมีเพียงฟันซี่สองซี่เท่านั้น แต่น่าแปลกที่กลับเผยกำลังเช่นนั้นออกมายามหวาดกลัวได้ ฟันกัดลึกเข้ามือโหลวจวินเหยาราวกับอยากกระชากเนื้อออกมา

โหลวจวินเหยารู้สึกเจ็บจึงเอื้อมอีกมือเข้าไป เผลอบีบคางน้อยนั่นแรงไปหน่อย หวังจะให้เขาอ้าปากปล่อยมือ

แต่ฟันของเด็กน้อยยังคงยึดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ นัยน์ตากลมโตฉายแววเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด ราวกับอยากจดจำภาพเขาให้มั่น ใบหน้าของศัตรูตัวฉกาจที่ฆ่าล้างตระกูลเขา

และดูท่าจะทำให้โหลวจวินเหยาโกรธมาก ความสงสารเสี้ยวสุดท้ายในใจดับมอด เขาหัวเราะเสียงเย็นชา จากนั้นก็ปลิดชีวิตอันเปราะบางนั่นทิ้งทันที

เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งการแก้แค้นงอกงามก็ยากจะขจัดให้หมดไป อีกทั้งเขายังเป็นเด็กเล็กขนาดนี้ แต่กลับรู้ความจนสามารถจำเรื่องราวรอบกายได้แล้ว

เขาย่อมไม่ปล่อยให้ใครที่คิดร้ายต่อเขามีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ว่าไม่ว่าโอกาสจะน้อยแค่ไหนก็ตามที

นั่นเป็นความทรงจำเมื่อครั้งเขายังเป็นเด็กหนุ่ม และตลอดความเจ็บปวดรวดร้าวนั้น โหลวจวินเหยาก็ยังมีสติดี ทว่ากลับไม่อาจหลุดออกมาจากมันได้

เพราะมีเสียงนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ข้างหู ค่อย ๆ กัดเซาะเกราะป้องกันที่อ่อนแอที่สุดในใจเขาไปทีละน้อย

“ทำไมถึงได้โหดร้ายเช่นนั้น? เขาเป็นแค่เด็กไร้ทางสู้คนหนึ่ง”

“ทั้งตระกูลมีชีวิตนับร้อย เจ้าไม่ปล่อยไปกระทั่งสัตว์เลี้ยง เจ้าจะไปต่างอะไรจากคนพวกนั้น? เจ้าช่างเลือดเย็นและไร้หัวใจยิ่งกว่าพวกเขาอีก ฆ่าคนตาไม่กะพริบ”

“เจ้าเป็นความฉิบหายของมนุษย์ เป็นมาร ลิขิตให้เป็นกาลกิณีต่อครอบครัวและคนรอบตัว ทุกคนที่เจ้าใส่ใจ สุดท้ายก็จะพบจุดจบไม่ดี และนั่นคือผลกรรมที่เจ้าสมควรได้รับ!”

“หากแม่เจ้าไม่คลอดเจ้าออกมาเมื่อตอนนั้น นางก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ แต่เป็นเพราะเจ้า เจ้าตัวกาลกิณี นางถึงได้เหนื่อยจนตายไปเช่นนั้น!”

“เจ้าไม่สมควรมีชีวิตอยู่”

“เจ้ามันคนบัดซบ เจ้าสิน่าจะเป็นคนที่ตาย!”

“ทำไมไม่ตาย ๆ ไปเสีย? หากเจ้าตายไป เรื่องพวกนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น”

“ตายไปเสียเถอะ เจ้าตายไปแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปเป็นอย่างที่สมควร พ่อแม่เจ้าก็จะยังมีชีวิตอยู่ดีมีความสุข”

“นี่ข้าเพิ่งจะตาย…..”

โหลวจวินเหยากำมือแน่นจนข้อขึ้นสีขาว หว่างคิ้วผุดเหงื่อ เสียงดังขึ้นข้างหูมิหยุดหย่อน พร่ำบอกเรื่องชั่วช้าที่เขากระทำทุกอย่าง

รู้สึกราวกับว่าการดำรงอยู่ของเขาเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ

และทุก ๆ เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูนัก เพราะมันเป็นเสียงของเขาเอง

หากเขาตายไปจะดีกว่าหรือ? การมีอยู่ของเขาเป็นเรื่องผิดพลาดเช่นนั้นเลยหรือ?

จริงหรือว่าหากเขาตายไป เรื่องทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น?

เช่นนั้น…..

มือที่กำพลันคลาย ร่างกายกลับแข็งเกร็ง ราวกับใจกำลังดิ้นรนอย่างหนัก ทำให้เขาสั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง

“อาเหยา ข้าต้องการท่าน”

น้ำเสียงอ่อนโยนของเด็กสาวพลันดังขึ้นข้างหู

ท่ามกลางเสียงด่าทออีกนับไม่ถ้วน เสียงของนางดังขึ้นชัดเจนยิ่ง

โหลวจวินเหยาสะดุ้ง เบิกตากว้างขึ้นมา

เขาเห็นหญิงสาวร่างสูงสง่ายืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาด ใบหน้างามล้ำส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมองมาทางเขา

โหลวจวินเหยาสับสนเล็กน้อยเมื่อมองเด็กสาวตรงหน้า “จิ้งจอกน้อย…..”

นาง….. จู่ ๆ มาปรากฏที่นี่ได้อย่างไร?

นางถูกจับไม่ใช่หรือ? จากที่อสูรวิญญาณแมวเงามืดว่า นางไม่อาจเคลื่อนกายได้อิสระ แล้วนางจะมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

หรือนี่อาจเป็นเพียงภาพหลอนที่คิดไปเองเพราะเขาคิดถึงนางมากเกินไป?

“อาเหยา ในที่สุดข้าก็เจอท่านสักที” นัยน์ตาหงส์งดงามของเด็กสาวระยิบระยับด้วยหยาดน้ำตา ดูน่าสงสารและน่ารักเป็นพิเศษ

นางค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเอนร่างเข้าอ้อมแขนเขาหาที่พึ่งพิงใจ แขนเรียวโอบรอบเอวเขาไว้แน่น

โหลวจวินเหยาร่างแข็งค้าง นี่ไม่ใช่ภาพหลอน

เป็นสัมผัสที่จริงนัก กระทั่งกลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ จากร่างนางยังเหมือนกัน หรือจะเป็น….. ชิงอวี่จริง ๆ?

แต่ว่า….. นางเคยแสดงท่าทีอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ให้เขาเห็นมาก่อนหรือ?

ราวกับนางกำลังแสวงหาการคุ้มครองจากเขา ดูเหมือนสตรีอ่อนแอไร้หนทางคนหนึ่ง

แม้จะมีจังหวะที่ชิงอวี่อ่อนแอบ้าง แต่นางก็ยังเด็ดเดี่ยวอดทนต่อความทุกข์ยาก ไม่มีกระดูกสักชิ้นในร่างกายของนางเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้

หรือก็คือ แม้ชิงอวี่จะมีใบหน้างดงามนัก แต่ก็มิใช่บุปผาอ่อนแอคอยเกาะเกี่ยวใครที่จะเติบโตได้ยามต้องพึ่งบุรุษเท่านั้น

กลิ่นอายนางมีบรรยากาศพิเศษอยู่เสมอ พิเศษเป็นเอกลักษณ์เสียจนหากมีคนที่หน้าเหมือนกันสองคน หรือใบหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน โหลวจวินเหยาก็ยังจำนางได้

ดังนั้นเมื่อร่างกายของเขาถูกร่างอ่อนโยนนี้กอดเข้า ดวงตาที่ดูสับสนเล็กน้อยและเจ็บปวดก็ฟื้นคืนความกระจ่างขึ้นทันที

เขาเอื้อมมือไปวางบนไหล่นางเบา ๆ เสียงของเขาทุ้มต่ำและอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย แต่น้ำเสียงไม่อาจอ่านออก “เจ้าออกมาได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าถูกขังไว้หรือ?”

“ข้าพยายามอย่างมากจึงหลบหนีออกมาได้ ข้ารู้ว่าท่านต้องมาช่วยข้าแน่” น้ำเสียงนางแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ดูไร้หนทางนัก

ได้ยินเช่นนั้น ไม่ว่าใจบุรุษใดย่อมปวดร้าวทันที ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ได้แต่ปลอบโยนสมบัติล้ำค่าอันอบอุ่นที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดเช่นนาง

ทว่าโหลวจวินเหยายิ่งเห็นยิ่งกระจ่าง ที่มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ “เจ้าลำบากมากจริง ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก หากมีท่าน ทุกอย่างก็ไม่เป็นไร” ว่าแล้วเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นจากอกเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดีระคนเขินอาย

แม้จะเป็นใบหน้าแสนคุ้นเคย แต่มองยามนี้กลับทำให้ภายในเขาต่อต้าน รู้สึกเพียงความรังเกียจ ใบหน้านี้ทั้งเสแสร้งแกล้งทำ เขาจึงไม่เห็นความงามสักนิดจากนาง

ทว่าเท่านั้นยังไม่พอ เด็กสาวใช้ปลายเท้าแขย่งขึ้น ค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากเย้ายวนสีแดงทำท่าราวกับจะจูบเขา

โหลวจวินเหยาหัวเราะหยัน และนัยน์ตาสีม่วงก็ฉายแววอันตราย ใช้ปลายนิ้วเรียวทะลวงเข้าร่างเด็กสาวตรงหน้า

“อึ่ก….. ท่าน…..” เด็กสาวเบิกตากว้างจ้องเขาด้วยความตกตะลึงไม่อยากเชื่อ ก่อนจะสัมผัสถึงคงามรู้สึกเจ็บปวดจนแทบชา

โหลวจวินเหยาหลุบตาลงช้า ๆ มองร่างที่เขาใช้มือทะลวงเข้าไป บาดเจ็บสาหัสแต่กลับไร้เลือดสักหยด ด้วยแผลนั้น ใบหน้างามไร้ที่ติก็เริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปไป

พริบตาเดียวก็เผยใบหน้าที่แท้จริง

มันซีดขาวไร้สีใด น่ากลัวเล็กน้อย ผิวเหี่ยวย่นห้อยลงมาจากใบหน้า ราวกับว่าแค่ดึงน้อย ๆ ก็จะหลุดออกมาได้

มีสีเขียวจาง ๆ ที่มุมตาและม่านตาเป็นสีแดงเข้มผิดปกติ มองรวม ๆ แล้วดูชั่วร้ายน่ากลัวเป็นยิ่งนัก

คือปีศาจที่ถูกผนึกไว้ในกระจกทำนาย

โหลวจวินเหยาไม่แม้แต่จะมองนาง แต่ยกมือขึ้นเรียกเพลิงสีม่วงขึ้นที่ปลายนิ้ว ก่อนจะเผาชุดตัวนอกที่นางแตะต้องจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

สตรีใดเห็นภาพนั้นย่อมเป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจนางอย่างจัง

เขาดูถูกรังเกียจนางอย่างชัดเจนไม่ปิดบัง

เขาไร้ที่ติ อยู่สูงส่งเหนือกว่าใครเอื้อม ถูกเขาเกลียดชังเช่นนี้ แค่คิดก็เกินกว่าจะรับไหวแล้ว!

“เจ้ามองข้าออกได้อย่างไร?”

แม้นางจะดูอัปลักษณ์นัก แต่น้ำเสียงน่าฟังมาก ราวกับเป็นของโฉมงามน่าหลงใหล นางเอ่ยคำไม่อยากเชื่อว่าตนถูกจับได้และยังติดใจไม่หาย

“ข้าก็หน้าตาเหมือนนางไม่มีผิดนี่? มีเสน่ห์กว่านางด้วยซ้ำ รู้จักเอาชนะใจบุรุษได้มากกว่า ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบข้า?”

โหลวจวินเหยาพ่นลมเหยียด ก่อนเอ่ยคำหยามออกมา “เจ้าคิดว่าข้าเข้าหานางเพียงเพราะรูปโฉมหรือ?”

“ก็หรือไม่ใช่?” นางโต้กลับอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเสียดสี “ใต้หล้านี้บุรุษก็เหมือนกันหมดนี่? ดูแต่รูปโฉมสตรี หากนางหน้าเช่นข้า เจ้าจะยังชอบนางไหมเล่า?”

“ที่เจ้าต้องถูกขังไว้ในกระจกทำนายตลอดกาลเป็นเพราะเจ้าอยู่รอดได้ด้วยการแย้มพรายเรื่องลึกล้ำในใจของคน และใช้มันเป็นเครื่องมือบรรลุจุดประสงค์ น่าสมเพชนัก ที่เจ้าไม่รู้จักความรักที่แท้จริง”

“ความรักหรือ?”

นางดูอึ้งไปเล็กน้อย ราวกับได้ยินเรื่องขำขัน นางแหงนหน้าหัวเราะดังลั่น ทว่าเสียงหัวเราะนั่นกลับเจือไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ ใบหน้ามีหยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมา

เสียงหัวเราะค่อย ๆ เบาลง ก่อนชี้นิ้วไปยังใบหน้าน่าสะอิดสะเอียนของตนแล้วเอ่ยเสียงเหยียด “ความรักที่เจ้าว่า คือการเปลี่ยนคนให้มีหน้าตาเช่นนี้หรือ?”

“ในคืนวันแต่งงาน เขาทิ้งข้า ขังข้าไว้ในห้องแล้วจุดไฟเผาข้าทั้งเป็นเพราะเข้าล่วงรู้ความลับของเขา จากนั้นเขาก็บอกคนอื่นว่าเป็นเพราะข้ามีมลทินก่อนแต่ง รู้สึกผิดนักหนา จึงฆ่าตัวตายด้วยการจุดไฟเผาตนเองเพราะไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก”

“เจ้าเรียกนั่นว่ารักหรือ?” นางจ้องเขาเขม็ง ก่อนเอ่ยคำพร้อมรอยยิ้มเยาะ “หากนั่นคือความรัก เช่นนั้นข้าก็รู้จัก มันฝังลึกลงในใจข้าจนไม่อาจลืมลง”