บทที่ 262 ประกอบชิ้นส่วนมหามรรค

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 262 ประกอบชิ้นส่วนมหามรรค

หานเจวี๋ยไม่รู้ว่าบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์กำลังตามหามือสังหารที่สังหารพุทธะพิชิตชัยอยู่ เขากำลังฝึกบำเพ็ญอย่างสบายอกสบายใจ

หลังจากเหลือแค่จักรพรรดิปีศาจที่เป็นศัตรู หานเจวี๋ยรู้สึกกดดันน้อยลง

เป้าหมายต่อไปคือพุ่งเข้าสู่จักรพรรดิเซียนสองวัฏจักรอย่างสุดตัว

แม้ว่าระดับจักรพรรดิจะฝึกบำเพ็ญยาก แต่เขาไม่อาจอยู่หยุดอยู่ที่จักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏจักรได้ตลอด

ยิ่งยากลำบากยิ่งต้องคว้าทุกวันเวลาไว้ให้ดี

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

เวลาแต่ละปีผ่านพ้นไป

เผ่ามังกรแท้ไม่ได้มาโลกเขย่าพิภพอีก แม้แต่ต้นฝูซังก็ไม่สั่นไหว ราวกับว่าวิกฤตได้คลี่คลายแล้ว

ดูท่าในเผ่ามังกรแท้คงมีแต่องค์ชายสิบสามที่สนใจโลกเขย่าพิภพ

ชั่วแวบเดียว เวลาก็ผ่านไปยี่สิบปี

ตบะของหานเจวี๋ยถูกยกระดับอย่างมั่นคง แต่ยังคงอยู่ห่างจากจักรพรรดิเซียนสองวัฏจักรมาก

วันนี้ ดวงชะตาโลกเขย่าพิภพเลื่อนขึ้นอีกครั้ง เพดานระดับในโลกมนุษย์เลื่อนขึ้นถึงระดับเซียนพิภพ

มีแค่ผู้ที่อยู่เหนือกว่าระดับเซียนพิภพเท่านั้น ถึงจะถูกขับไล่ออกจากมรรคาสวรรค์ของโลกเขย่าพิภพ

พลังวิญญาณฟ้าดินก็เพิ่มขึ้นทวี ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าล้วนรับรู้ได้ ชั่วเวลาหนึ่งคำเล่าลือก็เริ่มแพร่กระจายออกไป

ไม่จำเป็นต้องขึ้นสวรรค์ โลกมนุษย์ก็คือแดนเซียน!

คำเล่าลือนี้แพร่กระจายมากขึ้นเรื่อยๆ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งในโลกมนุษย์ต่างก็เห็นด้วย ในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี พลังวิญญาณฟ้าดินเพิ่มขึ้นอยู่ตลอด

ที่ผู้บำเพ็ญขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่เพราะว่าโลกมนุษย์ไม่อาจทำให้พวกเขาก้าวสูงได้อีกขั้นหรอกหรือ

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคำเล่าลือเหล่านี้ก็คือพุทธะอาภรณ์ขาว

เพื่อเลื่อนขั้นพลังแท้จริงของโลกเขย่าพิภพ สามารถพูดได้ว่าพุทธะอาภรณ์ขาวใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่พลังฟ้าดินถูกยกระดับขึ้น หานเจวี๋ยเริ่มอนุญาตให้บรรดาศิษย์ที่ยังไม่บรรลุระดับเซียนสวรรค์ออกไปฝึกประสบการณ์ได้

โดยเฉพาะพี่น้องหานทั้งแปด จะได้ออกไปเพิ่มความรอบรู้ไปด้วย

ชั่วเวลาหนึ่ง เขาเพียรบำเพ็ญเซียนเงียบเหงาไปไม่น้อย

หานเจวี๋ยกำลังฝึกฝนวิชาชุบร่างวัฏจักรดาราอยู่ในถ้ำเทวา

แม้จะบรรลุระดับจักรพรรดิเซียน กายดาราอนธการของเขายังคงสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ต่อเนื่อง

[ตรวจสอบพบว่าแดนสวรรค์เปิดศึกกับวังปีศาจ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง รีบขึ้นสวรรค์ เข้าร่วมแดนสวรรค์รุดหน้าไปช่วงชิงมหาดวงชะตา จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น สืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]

[ยังไม่ขึ้นสวรรค์ชั่วคราว อยู่ห่างจากผิดถูก ฝึกฝนอย่างสงบเสงี่ยม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]

หานเจวี๋ยอึ้งไปทันที แดนสวรรค์เปิดศึกกับวังปีศาจหรือ

แต่ก่อนล้วนเป็นคนอื่นที่มายุแหย่แดนสวรรค์ ครั้งนี้…

จักรพรรดิสวรรค์ลำพองตัวแล้วนี่!

ดูรางวัลของระบบนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าคิดจะดึงดูดให้หานเจวี๋ยเข้าร่วมศึก

หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต

ไม่ได้!

ข้าเข้าร่วมเคราะห์ไม่ได้!

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบๆ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคอีกชิ้น

จนถึงขณะนี้เขาสะสมชิ้นส่วนมหามรรคได้ทั้งหมดเก้าชิ้น!

รวมชิ้นส่วนมหามรรคทั้งเก้าเข้าด้วยกัน จะได้รับการสนองตอบของมหามรรค ซาบซึ้งมรรควิถีสูงสุด!

หานเจวี๋ยรอเวลานี้มานานแล้ว!

เดิมทีเขาคิดว่าต้องรอสามพันปีเต็มๆ ถึงจะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคชิ้นที่เก้า คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิสวรรค์จะทำให้เขาตกใจระคนดีใจ

ระดับความประทับใจของหานเจวี๋ยที่มีต่อจักรพรรดิสวรรค์เพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 9 ดาว

หานเจวี๋ยปรับอารมณ์และไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไป จากนั้นนำชิ้นส่วนมหามรรคทั้งเก้าชิ้นออกมา

ชิ้นส่วนมหามรรคดูคล้ายชิ้นส่วนของเข็มทิศ สีสันแตกต่างกัน ดูๆ แล้วไม่กลมกลืนกันมาก ไม่เหมือนกับมาจากสิ่งของเดียวกัน

หานเจวี๋ยใช้พลังเวทประกอบชิ้นส่วนมหามรรคทั้งเก้าอย่างระมัดระวัง

พริบตานั้น มีแสงสว่างจ้าส่องประกายในถ้ำเทวา

หานเจวี๋ยรับรู้ถึงกลิ่นไอน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด!

ไม่เคยรับรู้ถึงกลิ่นไอน่ากลัวระดับนี้มาก่อน!

ตรงหน้ากลิ่นไอนี้ ราวกับจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏจักรอย่างเขาจะกลายเป็นเถ้าธุลีได้ตลอดเวลา

‘นี่คือกลิ่นไอมหามรรคหรือ’

หานเจวี๋ยตื่นตระหนกตกใจมาก มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดของเขาไม่ได้ร้ายกาจเช่นนี้หรือ

แสงเจิดจ้าตรงหน้าพรั่งพรูเข้าไปในร่างเขา ดวงตาทั้งสองปิดลง

ลำแสงสลายไป ชิ้นส่วนมหามรรคทั้งเก้าหายไปแล้ว

นอกถ้ำเทวา

ลี่เหยา หลงเฮ่า อู้เต้าเจี้ยน ไก่คุกรัตติกาล สวินฉางอัน ฉู่ซื่อเหริน และราชามังกรสามหัวที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ใต้ฝูซังอดเหลือบตามองไม่ได้

นอกจากพวกเขาแล้ว คนอื่นล้วนออกไปฝึกประสบการณ์

สวินฉางอันเกิดสีหน้าประทับใจ และกล่าวพึมพำ “กลิ่นไอนี้…”

แต่ก่อนเขาเคยรับรู้ถึงกลิ่นไอนี้!

รับรู้มาจากร่างของบรรพชนพุทธ!

ฉู่ซื่อเหรินใจเต้นเร็วกว่าเดิม ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด พอรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอที่ออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทานก็อดใจลอยไม่ได้

ท่ามกลางความมืดมิด เขามองเห็นภาพแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคย

“ไม่ใช่หรอกมั้ง นายท่านจะทะลวงอีกแล้วหรือ” ราชามังกรสามหัวกล่าวอย่างตกตะลึง

‘นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าใดกัน’

ไม่มีคนตอบคำพูดของเขา ทุกคนล้วนเห็นเป็นเรื่องปกติแล้ว

ฉู่ซื่อเหรินค่อยๆ หลับตาลง

ฉวินฉางอานปราดตามองเขาทีหนึ่ง ดวงตาแฝงความหมายลึกซึ้ง

……

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยมาถึงมิติลึกลับที่มีหมอกสีม่วงตลบอบอวล นอกจากหมอกสีม่วงแล้วไม่มีสิ่งใดอีก

เขาสติล่องลอย จนกระทั่งได้สติขึ้นมา

หานเจวี๋ยหยุดลงและคิดด้วยความงุนงง “ที่นี่คือ…ไม่ใช่ว่าข้ากำลังประกอบชิ้นส่วนมหามรรคอยู่หรือ”

‘เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่’

หานเจวี๋ยสังเกตดูรอบๆ อย่างละเอียด

‘เอ๊ะ?’

หมอกสีม่วงเหล่านี้ไม่ใช่ปราณฮุ่นตุ้นในร่างเขาหรอกหรือ

เหตุใดถึงมีมากเช่นนี้

หรือว่าจิตรับรู้ของเขาอยู่ในร่างของตนเอง

แต่เหตุใดถึงไม่มีดวงดารานับล้านๆ ดวง

หานเจวี๋ยงุนงงยิ่งกว่าเดิม และเริ่มเดินเตร่ไปรอบด้าน

แต่ทว่ามิติแห่งนี้ไร้ซึ่งขอบเขต ต่อให้เขาจะระเบิดความเร็วของจักรพรรดิเซียนออกมา ก็หาจุดสิ้นสุดไม่พบ แม้กระทั่งไม่อาจออกไปจากมิติแห่งนี้

หานเจวี๋ยลนลานเล็กน้อยแล้ว หรือเขาถูกผู้ทรงพลังโจมตี และวิญญาณถูกขังอยู่ในนี้

เป็นเวลาเนิ่นนาน

หลังจากหานเจวี๋ยรู้แน่ชัดว่าตนเองไม่อาจหนีออกไปได้แล้ว เขาก็ละทิ้งความพยายาม

เขาเริ่มนั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญ

“หืม?”

หานเจวี๋ยรู้สึกตกใจระคนดีใจเมื่อค้นพบว่าความเร็วของตบะเหนือกว่าแต่ก่อนมาก

‘เดี๋ยวก่อน!’

ที่แท้เขาไม่ได้ถูกกักขัง หรือว่านี่คือขั้นตอนของการประกอบชิ้นส่วนมหามรรค

มรรควิถีสูงสุดไม่สามารถสืบทอดได้โดยตรง แต่ต้องให้ตัวเองสร้างขึ้นหรือ

หลังจากหานเจวี๋ยคิดทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็เริ่มทำความเข้าใจวิชาวัฏจักรหกวิถี

ที่เขาสามารถฝึกฝนมาถึงวันนี้ได้ อาศัยวิชาวัฏจักรหกวิถีเป็นหลัก หากเขาอยากสร้างวิชายุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ได้แต่ใช้วิชาวัฏจักรหกวิถีเป็นพื้นฐานเท่านั้น

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เกิดความคิดอาจหาญขึ้นมา

หากผสานวิชาวัฏจักรหกวิถีกับวิชาชุบร่างวัฏจักรดารา…

วิชาวัฏจักรหกวิถีเน้นหนักกฎเกณฑ์ทั่วทุกด้าน วิชาชุบร่างวัฏจักรดาราก็เป็นวิชาที่ใช้พลังพิสูจน์มรรค ยกระดับกายเนื้ออย่างร้ายกาจ

ตู๊ม…

หมอกสีม่วงรอบด้านทะลักเข้าร่างหานเจวี๋ยอย่างบ้าคลั่ง จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยตามเข้าไปอยู่ในสถานะที่ล้ำลึกอย่างหาที่เปรียบมิได้

ชั่วพริบตาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ในก่อนหน้านั้น ราวกับท้องฟ้าที่ถูกดึงเมฆหมอกออกไป ทุกอย่างกระจ่างแล้ว

ความคิดนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นในสมองหานเจวี๋ย ราวกับจักรวาลระเบิดออกมาครั้งใหญ่ เต๋าก่อกำเนิดหนึ่ง หนึ่งก่อกำเนิดสอง สองก่อกำเนิดสาม สามก่อกำเนิดสรรพสิ่ง!

เขาเริ่มสร้างวิชายุทธ์ชนิดหนึ่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด!

……

วังสวรรค์ พระราชวังเทียมเมฆา

บรรดาเทพเซียนกำลังถกกันอยู่ว่าจะโจมตีวังปีศาจอย่างไร จักรพรรดิสวรรค์ทรงสดับอยู่บนบัลลังก์เงียบๆ

ขณะนั้นเอง พระราชวังเทียมเมฆาพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

หมู่เซียนตื่นตะลึง พากันนำของวิเศษออกมาเตรียมพร้อมรับศึก

“เกิดอะไรขึ้น”

“ศัตรูโจมตีหรือ”

“ไม่ได้รับรู้ถึงกลิ่นไอของศัตรูนี่!”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ศัตรูโจมตี คือดวงชะตา! ดวงชะตาของวังสวรรค์กำลังเพิ่มฉับพลัน!”

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”

บรรดาเทพเซียนฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตกตะลึง พวกเขาพากันแผ่พลังจิตออกไป

จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้ว พองอนิ้วคำนวณดู สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปมาก

เขาคำนวณพบว่าดวงชะตาของวังสวรรค์กำลังเพิ่มขึ้นฉับพลันด้วยความเร็วอันน่าหวาดกลัว ไม่เพียงเท่านี้ พลังกฎเกณฑ์บางอย่างที่แข็งแกร่งกว่ามรรคาสวรรค์เยื้องกรายเข้ามาปกคลุมวังสวรรค์ไว้

‘มีคนกำลังพิสูจน์ต้าหลัวหรือ

เป็นไปไม่ได้’

จักรพรรดิสวรรค์เข้าใจวังสวรรค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่มีคนเช่นนี้แน่นอน!

……………………………………….