บทที่ 348 เจอโดยบังเอิญ

บทที่ 348 เจอโดยบังเอิญ

“ข้อความอะไร?” หวงถิงเฟิงชะงักไปก่อนจะเอ่ยถาม “นี่ไม่ถูกนะ! พวกนายขายฉันอย่างนั้นเหรอ?”

“พวกเรา… พวกเราไม่ได้อยากขาย แต่อีกฝ่ายใช้วิธีโหดร้าย ทุบตีพวกเราจนแทบตาย ถ้าพวกเราไม่บอก เขาบอกว่าจะไม่ปล่อยให้พวกเรากลับจากที่นั่น ถ้าปล่อยไว้ไม่รู้ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร แต่คงไม่ปล่อยพวกเราออกมาจริง ๆ แน่”

“สวะ! ไอ้พวกสวะ!” หวงถิงเฟิงโกรธเกรี้ยว เขาไปหาพวกคนขี้แพ้เหล่านี้มาทำงานได้อย่างไร ตอนนี้งานยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีซะด้วยซ้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับขายเขาเสียแล้ว ไม่ให้เรียกสวะแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

เมื่อถูกหวงถิงเฟิงต่อว่า พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าลงไม่ตอบอะไร แต่ในใจนั้น พวกเขากลับไม่ได้นึกเสียใจอะไรเลย สถานการณ์ตอนนั้น ถ้าพวกเขาไม่พูดออกไป สภาพแค่นี้ก็เลวร้ายอยู่แล้ว เช่นนั้นมันจะไม่เลวร้ายลงไปอีกงั้นเหรอ? เพราะคนที่ถูกอีกฝ่ายทำร้ายไม่ใช่ตัวเอง คนตรงหน้าถึงพูดออกมาได้

แน่นอนว่า ‘คำเหล่านั้น’ พวกเขาทำได้เพียงคิดในใจ ตนไม่กล้ายั่วยุอู๋ฝานเช่นไร ก็ไม่กล้ายั่วยุหวงถิงเฟิงเช่นนั้น

“ก็ได้ ก็ได้ ขี้เกียจจะต่อว่าอะไรพวกแกแล้ว คอยเฝ้าจับตามองโกดังนั้นให้ฉันต่อไป หามาให้ได้ว่าวัตถุดิบพวกนั้นมาจากที่ไหน หามาได้ก็จบ หาไม่ได้ ไว้ดูกันว่าฉันจะทำอะไรกับพวกแกบ้าง” หวงถิงเฟิงยังคงใช้อารมณ์ตอบกลับมา

“แต่ว่า…” คนหนุ่มเหล่านี้ยังจำคำเตือนของอู๋ฝานได้ดี พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้โกดังแห่งนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง

“ไม่มีแต่!” หวงถิงเฟิงตอบชัดขัดประโยคของอีกฝ่าย “ไปเดี๋ยวนี้! คอยจับตามองเอาไว้! พวกแกกลัวมัน แล้วไม่กลัวฉันหรือยังไง?”

เมื่อเห็นสีหน้าดำมืดของหวงถิงเฟิง กลุ่มคนหนุ่มเหล่านี้ก็ไม่กล้าพูดจาไร้สาระตอบกลับ พวกเขากลัวอู๋ฝานก็จริง แต่ก็กลัวหวงถิงเฟิงเท่ากัน

หลังกลุ่มคนหยุดตอบโต้ หวงถิงเฟิงจึงเอ่ยอีกครั้ง “ตอนนี้ไสหัวออกไปกันได้แล้ว รีบไปจับตาดูโกดังนั่นเอาไว้!”

“ครับ! ครับ!” กลุ่มคนทำได้เพียงรับคำและเดินกลับออกไป

หลังจับตามองกลุ่มคนเดินกลับกันไป สีหน้าของหวงถิงเฟิงก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย เพราะเศษเดนเหล่านี้ ทำให้อู๋ฝานได้รู้แล้วว่าเขากำลังสืบหาที่มาของวัตถุดิบที่ร้านโลกในแหวนนำมาใช้งาน หลังจากนี้อีกฝ่ายจะยิ่งต้องระมัดระวัง อีกทั้งยังอาจหาทางล้างแค้น

“อู๋ฝาน อย่าคิดว่าฉันจะกลัวคนอย่างแก ฉันคนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ตลอดเวลาที่อยู่ในเจียงโจวมาหลายปีก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ!” หวงถิงเฟิงพึมพำกับตัวเอง

ร้านคัลเลอร์แมนเป็นร้านแถวหน้าของเจียงโจวมาโดยตลอด เป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับความนิยมจนต้องขยาย หวงถิงเฟิงเป็นผู้จัดการที่นี่มาหลายปี ดังนั้นจึงได้รู้จักผู้มีอำนาจในเจียงโจว แม้เขารู้ว่าในตอนนี้อู๋ฝานก็รู้จักพวกเขาเหล่านั้นแล้วเช่นกัน แต่ในความเห็นของหวงถิงเฟิง อีกฝ่ายที่เพิ่งผงาดขึ้นมาเติบโต รากฐานย่อมยังไม่หยั่งลึกมากพอ หากคนทั้งสองหรือร้านทั้งสองเผชิญหน้ากันขึ้นมาจริง ๆ เขาก็ไม่ได้จะพ่ายแพ้ต่อชายหนุ่มและร้านโลกในแหวนเสมอไป

ดังนั้นการที่กลุ่มคนเมื่อครู่นี้บอกตัวตนของเขาให้อู๋ฝานทราบ แม้หวงถิงเฟิงจะโกรธพอสมควร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เขาไม่เก็บคำเตือนของอีกฝ่ายมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

การแข่งขันทางธุรกิจก็เปรียบดังสมรภูมิรบ เพื่อยืนหยัดดำรงอยู่จนถึงท้ายที่สุด บางครั้งก็ต้องไม่เลือกใช้วิธีการ หวงถิงเฟิงมองว่าการกระทำในครั้งนี้ไม่ควรต้องคิดอะไรให้มากเกินไป ความสัมพันธ์ที่เป็นคู่แข่งทางการค้าย่อมต้องถล่มศัตรูร่วมสมรภูมิเสียให้ราบ ขอเพียงจัดการศัตรูไม่ให้ยืนหยัดขึ้นมาได้อีก กระบวนการก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด

อีกทางหนึ่ง หลังกลุ่มคนหนุ่มออกจากร้านคัลเลอร์แมน พวกเขาก็ถ่มน้ำลายใส่ประตูร้านอย่างรุนแรงพร้อมสบถออกมา “ไอ้เวรนั่น! มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร เรียกพวกเราเป็นสวะงั้นเหรอ? ไม่มองย้อนเลยรึไงว่าตัวมันเองก็เป็นสุนัขที่คนอื่นเลี้ยงดูอยู่?”

“ชู่ อย่าเสียงดังสิ ที่นี่หน้าประตูร้านนะ ไม่กลัวเขาได้ยินเลยหรือยังไง?” ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ พยายามกล่าวเตือน

“ได้ยินก็ได้ยินไปสิ ไม่กลัวมันอยู่แล้ว!” แม้อีกฝ่ายตอบเช่นนั้น แต่น้ำเสียงก็เบาลงไปหลายส่วน

“พอแล้ว อย่าพูดอะไรไร้สาระกันอีก ตอนนี้พวกเราจะเอายังไงดี?” อีกคนหนึ่งที่เหลือเอ่ยถามขึ้น

“เรื่องอะไรล่ะ? ได้เจอความดุร้ายขนาดนั้นมากับตัวแล้ว ยังคิดจะกลับไปให้ถูกอัดจนตายหรือไง?” ชายหนุ่มคนที่สบถก่อนหน้านี้ตอบคำกลับมา

“ก็ตามนั้น ฉันไม่ได้อยากกลับไปถูกอัด แต่คนสกุลหวงนั่นพูดอะไรไปก็ไม่ฟัง” ชายคนที่เอ่ยคำถามตอบกลับมา

“ในเมื่อเป็นแบบนั้น พวกเราก็หาคนอื่นมาเฝ้าจับตามองแทนเถอะ ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นอีก พวกเราก็ไม่ใช่คนที่จะถูกเล่นงาน หลังพวกเราได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มา ไว้ค่อยไปบอกให้คนสกุลหวงนั่นรู้ก็พอ” ขณะนี้เองที่อีกคนในกลุ่มนึกวิธีขึ้นมาได้

คำพูดของเขาทำให้กลุ่มคนต้องสายตาเป็นประกาย

จริงด้วย แค่ไม่ไปด้วยตัวเอง แต่ให้คนอื่นไปแทนก็พอ พวกเขาไม่คิดเชื่อว่าเถ้าแก่ของภัตตาคารโลกในแหวนจะคอยเฝ้าโกดังนั้นด้วยตัวเองตลอดเวลา ต่อให้ถูกเจอตัว คนที่ต้องเจ็บตัวก็ไม่ใช่พวกเขา อีกทั้ง พวกเขาก็ยังจะได้ข้อมูลไปรายงานหวงถิงเฟิง

“เป็นความคิดที่ดี เอาแบบนั้นก็แล้วกัน!“ กลุ่มคนร่วมเห็นพ้องต้องกัน

ด้วยเหตุนั้น กลุ่มคนเหล่านี้จึงเตรียมหาคนอื่นมารับช่วงต่อ ที่พวกเขาต้องทำก็เพียงแค่รอรับข่าวคราว

อู๋ฝานรู้ดีว่าหวงถิงเฟิงไม่มีทางปล่อยวางเรื่องราวนี้โดยง่าย อีกฝ่ายจะต้องพยายามหาทางสืบทราบมาให้ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเสริมความเข้มงวดด้านความปลอดภัยของโกดัง เพื่อทำให้มั่นใจว่าวัตถุดิบถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัย

อู๋ฝานที่เข้าครัวรับหน้าที่งานอันยุ่งวุ่นวาย ขณะกำลังจะกลับบ้าน บังเอิญได้พบเจ้าเสวี่ยอี๋ที่มาใช้บริการ ในช่วงที่อู๋ฝานยุ่งกับงานในครัว เจ้าเสวี่ยอี๋ได้ขอให้คนอื่นช่วยส่งข้อความ บอกว่าต้องการพบเจอเขา แต่เวลานั้นชายหนุ่มค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้ตอบรับอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเพียงแค่เดินออกมาหน้าทางเข้าร้านจะเจอเธอซะแล้ว

เจ้าเสวี่ยอี๋ที่เห็นอู๋ฝาน จึงแสดงความยินดีออกมาทางสีหน้า กระทั่งตะโกนเรียก “อู๋ฝาน ทางนี้!”

เดิมอู๋ฝานไม่คิดเข้าไปทักทายเจ้าเสวี่ยอี๋แต่อย่างใด แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มตะโกนทักทายเสียก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น รอบตัวเธอก็ยังมีเพื่อนร่วมทางมาด้วย หากเขาเมินเฉยย่อมไม่ใช่เรื่องดี

“บังเอิญดีจริง ๆ เพิ่งทานกันเสร็จเหรอ?” อู๋ฝานก้าวเดินเข้าไปพลางถาม

“ใช่” เจ้าเสวี่ยอี๋ออกหน้ารับคำ เห็นได้ว่ากระตือรือร้นจะได้พูดคุยกับอู๋ฝาน กระทั่งคว้าแขนของชายหนุ่มมากอดคล้องเอาไว้ ก่อนจะเริ่มพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฉันก็อยากโทรเรียกมาทานอาหารด้วยกันนะ แต่นายยุ่งตลอด เลยไม่มีเวลาให้นัดเจอกันเลย”

จบคำ เธอไม่รอให้อู๋ฝานตอบอะไรทั้งนั้น หันหน้ากลับไปบอกกลุ่มเพื่อนของตัวเอง “ให้ฉันแนะนำตัวแทนก็แล้วกัน นี่เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของฉันเอง อู๋ฝาน อย่ามองว่าเขาอายุแค่นี้นะ ที่จริงแล้วเขาเป็นเถ้าแก่ของภัตตาคารแห่งนี้แหละ”

แม้เจ้าเสวี่ยอี๋ออกปากว่าอู๋ฝานเป็นเพื่อนสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย แต่ตอนที่แนะนำตัวชายหนุ่มนั้น เธอไม่เพียงแค่คล้องแขนของเขาเอาไว้เท่านั้น แต่ยังเผยสีหน้าภูมิอกภูมิใจออกมา เป็นสายตาอันเหนือกว่าที่ได้แนะนำให้กลุ่มคนได้รู้จัก ประหนึ่งกำลังอวดแฟนหนุ่มก็ไม่ปาน

และก็เป็นตามที่คาดคิดเอาไว้ คนอื่นต่างคิดไปแล้วว่าอู๋ฝานและเจ้าเสวี่ยอี๋เป็นอะไรกัน ดังนั้นจึงมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เพราะพวกเขาได้เห็นกับตาว่าทั้งคู่ไม่คล้ายมีสัมพันธ์ธรรมดาเช่นเพื่อนสมัยเรียนอย่างที่บอก

แต่ตอนนี้เองที่อู๋ฝานพยายามเอาแขนของเจ้าเสวี่ยอี๋ออกไปให้พ้นตัว แม้เจ้าเสวี่ยอี๋มองคนอื่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่แขนกลับลอบออกแรงยึดแน่น ไม่ให้ชายหนุ่มหาทางนำแขนที่เธอกำลังคล้องอยู่ออกจากตัว