ตอนที่ 329 เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์ (1)
คนของนางมีเพียงนางเท่านั้นที่ด่าทอได้ แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่อาจด่าว่า นับประสาอะไรกับหมัวมัวคนหนึ่ง
ซูชีพูดล่วงเกิน แต่เนื้อแท้เขาเป็นพวกอนุรักษ์นิยม เป็นสุภาพชนที่หาได้ยาก
สตรีทั่วไป ขอเพียงมีฐานันดรศักดิ์เล็กน้อย แม้ว่าจะไร้ยางอายเพียงใด คิดหวังสูงเพียงใด เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ เพื่อเกียรติของตนเอง เพื่อฐานันดรศักดิ์ของตนเอง ไม่ว่าภายในใจจะคิดเช่นไร อย่างน้อยเบื้องหน้าก็ต้องแสดงท่าทีเดือดดาล โกรธเคืองทันที นับประสาอะไรกับท่านหญิงซูซูผู้หยิ่งทะนง
ซูชีวางตัวเฉยเมย ทำทีดูการแสดง รอรับมือกับความขุ่นเคืองของท่านหญิงซูซู
วิธีการนี้ เขาทำมานักต่อนักไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว ลดปัญหาให้เขาได้มาก
ท่านหญิงซูซูคลายฟันที่กัดแน่น ทว่าสีหน้าของนางกลับยิ้มกว้าง ช่างงดงามยิ่งนัก “ข้าอยากจะลอง ขอเพียงคุณชายเจ็ดไม่รู้สึกว่าที่แห่งนี้มีผู้คนมากจนเกินไปก็พอแล้ว…” หากเขากล้าจูบ ประจวบเหมาะยิ่ง เช่นนั้นนางจะให้เสด็จพ่อบีบบังคับตระกูลซูมาสู่ขอนางถึงจวน !
ซูชีชะงัก ไม่พูดอะไรต่อ
บนท้องถนน ใช่ว่าเขาไม่มีความกล้าที่จะจูบสตรี แต่เขาไม่อาจทำได้จริงๆ สตรีที่เขาอยากใกล้ชิด มีเพียงคนเดียว สตรีที่เขาเคยใกล้ชิด ก็มีเพียงคนเดียว เพียงคิดถึงภาพนั้น คล้ายมีความรู้สึกอบอุ่นแล่นผ่านหัวใจของซูชี แต่ก็ปวดร้าวขึ้นมากะทันหัน…
ทันทีที่ท่านหญิงซูซูพูดออกมา ไม่เพียงแค่ซูชีเท่านั้นที่ตะลึงงัน จางหมัวมัวก็ตะลึงงันเช่นเดียวกัน
นี่คือคำพูดของคุณหนูของตนจริงๆ หรือ คุณหนูไม่เพียงไม่โกรธเคือง ไม่เพียงไม่โมโห ทั้งยังตบตนเพราะชายหนุ่มที่ดูถูกนาง บอกให้ตนเงียบปาก มาก…มากไปกว่านั้นยังตอบรับอย่างไร้ยางอาย…
ผีเข้าหรือไม่!
จางหมัวมัวมองดวงหน้าของท่านหญิงซูซูด้วยความฉงน มองซ้ายทีขวาที กระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
ทว่าท่านหญิงซูซูกลับอารมณ์ดีอย่างมาก
นางคิดถูกจริงๆ นี่คือหน้ากากของเขา เขาอยากจะทำให้นางตกใจเพื่อจะได้ยอมถอย
เมื่อวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล สีหน้าของซูชีบูดบึ้ง ทั้งยังเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะใช้ถ้อยคำล่วงเกินหยาบคายยิ่งกว่านี้ ทำให้สตรีคนนั้นเกลียดตน
แต่วันนี้ เขากลับไม่มีอารมณ์
ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย
เขาไม่อาจพูดได้ว่าเกลียดชังนางเพียงใด แต่ว่า เขาไม่อยากเสียเวลากับนางอีก
ป่าไม้ในเดือนห้างดงามจนทำให้คนตกตะลึง ท้องทะเลสีฟ้าคราม ลมพัดแผ่วเบา คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดขึ้นมาบนฝั่ง ดอกไม้บานสะพรั่ง แต่งแต้มบนพื้นสีเขียวขจี งดงามราวกับผ้าอันวิจิตร ยามเคลื่อนไหวราวกับภูผาและแม่น้ำกำลังร่ายรำ
หนิงเซ่าชิงลงจากรถม้า แล้วอุ้มมั่วเชียนเสวี่ยลงด้วยความอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรัก
ทั้งสองคล้องแขนกัน เดินอย่างผ่อนคลายท่ามกลางท้องฟ้าสีครามและต้นหญ้าเขียวขจี เดินอยู่นานแต่พวกเขาไม่พูดสิ่งใด เพียงเดินเงียบๆ เท่านั้น ยามเหนื่อย ก็นั่งพักบนโขดหิน รอพระอาทิตย์อัสดง นั่งซบไหล่ดูพระอาทิตย์ตก
แสงแดดค่อยๆ ลาลับไปทางทิศตะวันตก หลังจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปครึ่งดวง ทั่วผืนฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง แสงอาทิตย์ตกกระทบลงปุยเมฆราวกับทองคำที่ถูกละลาย ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นทะเลไฟ ส่องประกายเหลืองทองอร่าม โนเวล-พีดีเอฟ
มองวังหลวงจากที่ตรงนี้ พื้นกระเบื้องร่ายยาว ยอดหลังคาทองอร่ามทอประกายแวววับ ยามกลางวันวังหลวงอันเป็นที่เคารพปกคลุมด้วยสีทองอร่าม ราวกับแท่นหยกใต้นภา งดงามไร้ที่ติ
ท่ามกลางความเงียบ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มั่วเชียนเสวี่ยนึกถึงความผิดปกติของอวิ๋นอิ๋น “เซ่าชิง ไม่รู้ว่าข้าคิดมากหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าวันนี้อวิ๋นอิ๋นทำตัวแปลกๆ แววตาของนางคล้ายรู้จักกับหลูเจิ้งหยางอย่างไรอย่างนั้น”
หลังออกมาจากภัตตาคารอวี่จี้ ซูจิ่นอวี้ก็ตรงกลับตระกูลซูทันที เขาเข้าไปในห้องหนังสือของหัวหน้าตระกูลซู
เมื่อฟังข่าวที่ซูจิ่นอวี้รายงาน หัวหน้าตระกูลซูหัวเราะเยือกเย็น “มีผู้อยู่เบื้องหลังตามที่คาดไว้จริงๆ ด้วย กล้ายุยงราชวงศ์กับตระกูลชั้นสูง ทั้งยังกล้ากระตุกหางเสืออย่างตระกูลหนิง อยากจะวางแผนทำลายตระกูลซูของพวกเรา…”
หลังจากโกรธเคือง หัวหน้าตระกูลซูทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ “…วีรบุรุษเยี่ยงมั่วเทียนฟ่าง กลับต้องตายภายใต้แผนการที่เชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่เช่นนี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”
หลังจากทอดถอนหายใจด้วยความเสียดาย หัวหน้าตระกูลซูเปลี่ยนบทสนทนา “หลูเจิ้งหยางเป็นเพียงพ่อค้าที่ต่ำต้อย แม้หลายปีมานี้จะมีชีวิตที่ดี แต่ก็ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึง เรื่องสำคัญเช่นนี้ หนิงเซ่าชิงเอาเขามาเข้าร่วมได้อย่างไร”
“ลูกก็คิดถึงความแปลกประหลาดของเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่ว่า กิริยาวาจาของหลูเจิ้งหยางคนนั้นไม่ธรรมดา ไม่อาจเหมารวมกับพ่อค้าทั่วไป ยิ่งไม่ใช่ผู้ที่คนทั่วไปในยุทธจักรสามารถนำมาเปรียบเทียบได้”
“อืม เขาสนิทสนมกับหนิงเซ่าชิงได้ ย่อมมีความไม่ธรรมดาของเขา หลังจากนี้เจ้าส่งคนไปคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาด้วย”
“ขอรับ” “เจ้าเจ็ดเล่า เหตุใดจึงไม่กล้ามาพร้อมกับเจ้า…”โนเวล-พีดีเอฟ
หลังจากหนิงเซ่าชิงพามั่วเชียนเสวี่ยควบม้าวิ่งออกไป เตาหนูก็สั่งให้สารถีขับรถม้าพามั่วเหนียงและพวกสาวใช้กลับจวนกั๋วกง แล้วขับรถม้าของนายท่านกลับตระกูลหนิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในสายตาของทุกคนจึงคิดว่านายท่านเพียงออกไปนั่งรถม้าเล่นนอกเมืองรอบหนึ่ง แล้วส่งคุณหนูใหญ่มั่วกลัวจวนกั๋วกง ส่วนตนก็กลับตระกูลหนิง
เพราะถึงอย่างไร แม้จะทาบทามสู่ขอแล้ว แต่การที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังเป็นเวลานานก็ไม่น่าฟังเท่าใดนัก อีกทั้ง การที่นายท่านพาคุณหนูใหญ่ออกไปเที่ยวเตร่ด้านนอกตามลำพัง หากมีคนทราบเรื่องนี้เข้า ก็ไม่ค่อยปลอดภัย
หลังจากมั่วเหนียงกลับจวน นางก็รอที่เรือนตลอดเวลา รอมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความเป็นห่วง
ความมืดย่างกราย ทั้งสองที่ซบกัน แม้จะอาลัยอาวรณ์เพียงใดก็จำต้องกลับเข้าเมืองแล้ว
หนิงเซ่าชิงช้อนตัวมั่วเชียนเสวี่ยแล้วอุ้มนางขึ้นบนหลังม้า เขาง้างแส้ม้าขึ้น ควบขี่ม้ามุ่งตรงเข้าเมือง เมื่อเข้าไปในเมืองหลวง ความอ่อนโยนบนใบหน้าของหนิงเซ่าชิงลดลง เคล้าไปด้วยความเคร่งขรึม เขาโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ย ไม่ได้เข้าทางประตูใหญ่ของจวนกั๋วกง แต่ใช้วิชาตัวเบาส่งมั่วเชียนเสวี่ยกลับเรือนเสวี่ยหว่านโดยไม่มีผู้ใดรับรู้ แล้วค่อยจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
หากหันหน้ากลับไปมองนาง เขากลัวว่าตนจะอยู่ต่อและไม่ยอมกลับแล้ว…
ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในห้อง มั่วเหนียงก็เดินมารายงานด้วยความกระวนกระวาย บอกว่าตั้งแต่พวกนางกลับมาในตอนเย็นกระทั่งเวลานี้ คุณชายทั้งสามส่งคนมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับนาง ส่งคนมาเชิญสองครั้งแล้ว แต่ล้วนถูกมั่วเหนียงอ้างกลับไปว่านางเหนื่อยเกินไป กลับมาก็งีบหลับทันที
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม เรื่องบางเรื่องไม่อาจหลีกเลี่ยง ในเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยง เช่นนั้นก็รีบเผชิญหน้าแล้วรีบทำให้จบ
ขณะเดียวกันที่นางบอกให้ชูอีไปตักน้ำมาให้ตนล้างหน้าล้างตา มั่วเชียนเสวี่ยก็ให้มั่วเหนียงไปหาคุณชายทั้งสามคน บอกว่าตนตื่นแล้ว ให้คุณชายทั้งสามรอที่โถงใหญ่
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ มั่วเชียนเสวี่ยปรากฏตัวขึ้นที่โถงใหญ่ในเรือนนอกด้วยสีหน้าสดชื่น
ความเป็นจริงเรือนในของจวนกั๋วกงมีขนาดใหญ่ มีหลายเรือน ทว่าล้วนไม่มีคนอยู่อาศัย ทั้งยังมีโถงบุปผาสำหรับต้อนรับแขก สามารถใช้ต้อนรับญาติสนิทที่เป็นบุรุษ แต่มั่วเชียนเสวี่ยไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้ามา
ตามศักดิ์แล้วมั่วจื่อถัง มั่วจื่อฮว่า มั่วจื่อเยี่ยเป็นญาติผู้พี่ของมั่วเชียนเสวี่ย แต่ฐานันดรศักดิ์ของมั่วเชียนเสวี่ยคือสตรีชั้นสูง ทว่าพวกเขาไม่มีฐานันดรศักดิ์ใดๆ เป็นธรรมดาว่าต้องลุกขึ้นแล้วโค้งตัวลงทำความเคารพนางอย่างสุภาพ
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้า เดินไปนั่งที่นั่งหลัก มั่วจื่อถังพูดเข้าเรื่องทันที เขาพูดเสียงใส “อีกสิบกว่าวันจะถึงพิธีปักปิ่นของน้องเชียนเสวี่ยแล้ว ด้วยฐานันดรศักดิ์ของน้องเชียนเสวี่ยในตอนนี้ แน่นอนว่าต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ ไม่รู้ว่าน้องเชียนเสวี่ยอยากให้ญาติผู้หญิงคนใดมาร่วมพิธี ข้าที่เป็นพี่จะได้ส่งเทียบเชิญ ช่วยน้องเชียนเสวี่ยจัดการ”