ตอนที่ 330 เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์ (2)
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะดูแคลนเขา แต่ท่ามกลางญาติผู้พี่ทั้งสามคน มั่วจื่อถังคือคนที่ไม่ขัดหูขัดตานางที่สุด อีกทั้งเขาก็พูดถูก ควรพูดถึงกำหนดการของเรื่องนี้แล้ว
แม้จะกล่าวว่าพิธีปักปิ่นล้วนเป็นญาติผู้หญิง แต่ฐานันดรศักดิ์ของนางในตอนนี้เด่นชัดแล้ว ไม่อาจเชิญเพียงมิตรสหายที่ยังไม่ได้ออกเรือน ฮูหยินที่มีชื่อเสียงบางคน ก็ควรจะเชิญมาร่วมงานด้วย
ญาติผู้หญิงมาร่วมพิธี ญาติผู้ชายบางคนก็ต้องมาร่วมพิธีเช่นเดียวกัน ต้องจัดเตรียมรายชื่อให้ดี เตรียมตัวให้พร้อม
ยุ่งยากเสียจริง เพียงฉลองวันเกิดเท่านั้น
นางเป็นเพียงดวงวิญญาณที่มาจากโลกอื่น ถูกปลูกฝังด้วยการศึกษาในยุคปัจจุบัน สำหรับนางพิธีปักปิ่นไม่มีความหมายใดๆ มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เชียนเสวี่ยไว้อาลัยท่านพ่อไม่ครบหนึ่งปี งานนี้ไม่เหมาะที่จะจัดอย่างใหญ่โต เชิญคนสนิทมาร่วมพิธีไม่กี่คนก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดงานใหญ่จนเกินไป”
เมื่อมั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยบอกว่าไม่อยากจัดงานพวกเขาก็เริ่มร้อนใจ คนหนึ่งพูดขึ้น “น้องเชียนเสวี่ยพูดเช่นนี้ไม่ได้” คนหนึ่งพูดขึ้น “น้องเชียนเสวี่ยไม่อาจสะเพร่าเช่นนี้”
ได้ยินทั้งสองพูดด้วยความรีบร้อนจนเผลอใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพเท่าใดนัก สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม มั่วจื่อถังพูดอธิบาย “จื่อฮว่าและจื่อเยี่ยไม่ได้มีเจตนาร้าย น้องเชียนเสวี่ยอย่าได้เข้าใจผิด ความหมายของพวกเขาคือ ความสัมพันธ์ในเมืองหลวงซับซ้อน เมื่อเชิญตระกูลจางแล้ว ก็ต้องเชิญตระกูลหลี่ เมื่อเชิญตระกูลหลี่ หากไม่เชิญตระกูลหวังคงไม่ดีนัก เมื่อเชิญตระกูลหวัง แล้วไม่เชิญตระกูลซุนก็ยากที่จะอธิบาย…แม้น้องเชียนเสวี่ยไม่อยากจัดงานใหญ่โต แต่ไม่อาจละเลยพิธี ไม่ว่าคนที่มาแสดงความยินดีจะมีมากหรือมีน้อย ขอเพียงในจวนไม่แขวนผ้าแดงก็ไม่ถือว่าทำผิดต่อการไว้อาลัย”
มั่วเชียนเสวี่ยยกแก้วน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมา เป่าใบชาที่ลอยอยู่ในแก้วน้ำช้าๆ แล้วจิบ
มั่วจื่อถังพูดถูก การเชิญคนมาร่วมงานเป็นการศึกษาแขนงหนึ่ง ใช่ว่านางไม่รู้ วันข้างหน้านางต้องยืนเคียงข้างหนิงเซ่าชิง การสานสัมพันธ์กับคนนอกของฮูหยินใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว
แต่เกรงว่าตระกูลมั่วก็คงอยากจะสานสัมพันธ์กับตระกูลชั้นสูง ผ่านพิธีปักปิ่นในครั้งนี้กระมัง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่ลังเล “คุณชายสิบเอ็ดพูดมีเหตุผล เช่นนั้น…เรื่องนี้รบกวนคุณชายสิบเอ็ดด้วย เชิญผู้ใดมาร่วมพิธีพวกท่านพี่พิจารณากันเถอะ แล้วส่งรายชื่อมาให้เชียนเสวี่ยก็พอแล้ว เชียนเสวี่ยค่อยพิจารณาอีกครั้งแล้วให้พ่อบ้านส่งคนไปส่งเทียบเชิญ”
แม้ว่าจะไม่ชอบพวกเขามากเพียงใด แต่ตามศักดิ์แล้วพวกเขาก็เป็นญาติผู้พี่ของนาง ทั้งยังไว้อาลัยให้กับบิดาของนางด้วย
แม้ว่าจะไม่ชอบพวกเขามากเพียงใด ในสายตาของคนนอก บุรุษที่มีอำนาจตัดสินใจในจวนกั๋วกงก็คือพวกเขาสามคน เมื่อญาติผู้ชายมา ยังต้องให้พวกเขาคอยดูแล
อีกทั้ง ให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้ ให้ตระกูลมั่วกำหนดรายชื่อแขกเรื่อ เป็นเพียงกลลวงเท่านั้น เพียงทำเป็นพิธี มั่วเชียนเสวี่ยเพียงอยากจะได้รายชื่อจากพวกเขา เพื่ออ่านความคิดของตระกูลมั่ว ดูว่าปกติแล้วพวกเขาสนิทสนมกับผู้ใด เวลานี้อยากจะประจบผู้ใดมากที่สุด โดยสามารถหาเบาะแสได้จากรายชื่อ
ความสัมพันธ์อันซับซ้อนของตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวง เวลานี้นางยังไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก แต่นางย่อมบอกหนิงเซ่าชิง บอกแม่บุญธรรม เชิญผู้ใดบ้าง ไม่เชิญผู้ใดบ้าง เมื่อถึงเวลาย่อมรู้ดีแก่ใจ
ทันทีที่นางร้องเรียกเขาว่าคุณชายสิบเอ็ด แววตาของมั่วจื่อถังก็หม่นหมองลง ตั้งแต่นางกลับมา ก็เรียกเขาด้วยสรรพนามนี้มาโดยตลอด ไม่เรียกเขาว่าญาติผู้พี่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
มั่วจื่อฮว่า มั่วจื่อเยี่ยเห็นมั่วเชียนเสวี่ยรับปาก ดวงตาของพวกเขาทอประกายทันที
…….
สิ่งแรกที่หนิงเซ่าชิงทำหลังจากกลับไปก็คือให้องครักษ์ลับส่งจดหมายไปให้อิ่งซา ให้อิ่งซาส่งคนไปสืบเรื่องของอวิ๋นเหยา สืบตั้งแต่เริ่มแรก
เชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่ปั้นน้ำเป็นตัว ในทางตรงกันข้ามนางไม่เพียงสังเกตอย่างถี่ถ้วน ทั้งยังคิดอย่างระมัดระวัง ในเมื่อนางเคลือบแคลงสงสัย เช่นนั้นต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่นอน
แม้ว่านางแค่คิดมากจนเกินไป เขาก็ยินดีที่จะช่วยนาง ทำให้นางสบายใจ
หลังจากสั่งการเสร็จ ทำงานต่างๆ ก็ดึกมากแล้ว
ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับไม่ง่วงแม้แต่น้อย เขานึกถึงวันนี้ตอนที่ทั้งสองนั่งซบกันบนยอดเขา มองพระอาทิตย์ตก เจ้าพูดบ้าง ข้าพูดบ้าง อ่านบทกลอนที่พรรณาถึงความงดงามของพระทิตย์อัสดง
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงฉายรอยยิ้ม จู่ๆ เขาก็รู้สึกอารมณ์สุนทรีย์ ยกมุมปากขึ้น คลี่กระดาษ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียน ‘เมื่อย่างกรายเข้าสู่ประตูแห่งความถวิลหา ตระหนักรู้ถึงความทุกข์ระทมของความคิดถึง ห่วงหาความทรงจำนิรันดร์ ความคะนึงแม้นเพียงครู่ทว่าไม่สิ้นสุด’
กลองบอกเวลาเที่ยงคืนดังขึ้นแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวงมืดสนิท
ทว่า ที่วังหลวง ในห้องทรงอักษร กลับยังคงสว่างไสว ฮ่องเต้ยังคงตรวจฎีกาอยู่ในห้องทรงอักษรตลอดทั้งคืน ขันทีคนสนิทพาบุรุษชุดสีน้ำเงินเดินเข้ามา
บุรุษชุดสีน้ำเงินคุกเข่าทำความเคารพ “กระหม่อมหลูเจิ้งหยางถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
แผ่นหลังเหยียดตรง แววตาหนักแน่น ทำให้ท่าทางของเขาไร้ซึ่งความหวาดหวั่นและสั่นคลอนแตกต่างจากปุถุชนธรรมดายามเข้าเฝ้าฮ่องเต้
กวาดสายพระเนตรมองคนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง ฮ่องเต้แปลกใจกับคนตรงหน้าเล็กน้อย วางฎีกาในมือลง เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้ม “ลุกขึ้นเถอะ”
หลูเจิ้งหยางขอบพระทัยฝ่าบาทแล้วเหยียดกายลุกขึ้น “กระหม่อมขอถามด้วยความใจกล้า ไม่ทราบว่า
ฝ่าบาทเรียกตัวกระหม่อมมาเพื่อการใด”
คนทั่วไปเมื่อเห็นจักรพรรดิ ต่างทำตัวไม่ถูก รอฮ่องเต้เป็นฝ่ายถาม ผู้ใดบ้างที่จะกล้าเอ่ยปากถาม
ฮ่องเต้
ขณะที่หัวหน้าขันทีกำลังจะตำหนิ ฮ่องเต้กลับยกมือขึ้นปรามทำให้เขาจำต้องกลืนคำตำหนิลงท้อง
“เจ้าช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน” ฮ่องเต้ไม่พิโรธ แต่กลับยิ้มแล้วเหยียดกายลุกขึ้น เดินวนรอบตัวเขาด้วยความสนใจ “ไม่เลว มีความกล้าหาญ เป็นคนที่ทำการใหญ่ได้” แม้จะกล่าวชื่นชม แต่ภายในใจของฮ่องเต้กลับเพิ่มความระมัดระวัง
“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่กล้ารับไว้” หลูเจิ้งหยางคำนับด้วยมือทั้งสองข้าง แสดงถึงความเคารพนับถือของตน “กระหม่อมไม่มีความรู้เรื่องกฎระเบียบและมารยาท ทว่าเป็นคนใจกล้าตั้งแต่เล็ก เมื่อครู่เพียงคิดว่าฝ่าบาทเป็นผู้ปราดเปรื่องที่สุดในใต้หล้า ทรงงานหนักทุกวัน หากไม่มีการใด แล้วจะให้กระหม่อมที่เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดามาเข้าเฝ้าได้อย่างไร ดังนั้นชั่วขณะหนึ่งกระหม่อมจึงพูดไม่คิด ฝ่าบาทโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากฮ่องเต้มองหลูเจิ้งหยางอย่างพิจารณาแล้ว เขาก็นั่งลงบนบัลลังก์มังกรของตนอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้าตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อม”
หลูเจิ้งหยางก้มหน้าลงต่ำ ไม่พูดแทรก รอฟังคำพูดของฮ่องเต้
ฮ่องเต้พูดหยั่งเชิง “ได้ยินว่า เจ้ากับหัวหน้าตระกูลหนิงเป็นมิตรสหายกัน” แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่จากน้ำเสียงแล้วไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับรู้ถึงความไม่พอพระทัย
หลูเจิ้งหยางก้มหน้าต่ำยิ่งกว่าเดิม ท่าทีของเขาอ่อนน้อม “กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ !” ทว่า แม้เขาจะก้มหน้า แต่เท้าของเขายังคงยืนตรง เห็นชัดว่าเนื้อแท้ไม่ได้อ่อนน้อมไปด้วย แค่ว่าฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงจะมองเห็นแผ่นหลังของคนเบื้องล่างอย่างชัดเจนได้อย่างไร
เมื่อได้ยินคำว่าไม่กล้า ฮ่องเต้หัวเราะในลำคอ คิดว่าจะพิเศษเพียงใด แค่เพียงเท่านี้ ฮ่องเต้คลายความระมัดระวัง
หลูเจิ้งหยางที่ก้มหน้าลงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มุมปากฉายรอยยิ้มเย้ยหยันทว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว ตอบด้วยความระมัดระวัง “หัวหน้าตระกูลหนิงฐานันดรศักดิ์สูงส่ง กระหม่อมไม่กล้าอาจเอื้อม เมื่อครั้นตอนเด็กได้รู้จักกัน และเป็นเพราะไม่รู้ความและไร้มารยาทของกระหม่อมจึงทำให้จับผลัดจับผลูกลายเป็นมิตรสหายกัน เวลานี้โลกเปลี่ยนผัน หัวหน้าตระกูลหนิงสูงส่ง แม้จะให้ความกล้ากับกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่กล้าผูกมิตรกับหัวหน้าตระกูลหนิงพ่ะย่ะค่ะ”
ตอบได้อย่างชาญฉลาดยิ่งนัก ทั้งแสดงให้เห็นว่าตนกับหนิงเซ่าชิงสนิทสนมกัน แต่ก็ไม่กล้าเรียกว่ามิตรสหาย ทว่าในทางเดียวกันก็แสดงจุดยืนของตนในเวลานี้อย่างชัดเจน
ปากบอกไม่กล้า แต่ท่าทางของเขากลับไม่มีคำว่าไม่กล้าแม้แต่น้อย
ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ ฮ่องเต้อยู่ท่ามกลางกลอุบายตลอดเวลา แล้วจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดได้อย่างไร