ตอนที่ 265

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวไม่ได้กลับเข้าไปในห้อง ตัวเขาได้หันกลับมาก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าแน่ใจแล้วอย่างงั้นหรอ? “

“ข้าน่าใจแล้ว” ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “หลี่ยุนจ้าวเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงที่อยู่ข้างกายของอัครมเหสี…เขาคนนั้นได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับรากฐานของลัทธิเต๋ามา ตัวเขาได้ฝึกฝนศิลปะลึกลับบางอย่างมา มันเป็นวิชาที่มีแก่นแท้มาจากความชั่วร้าย แม้ว่าจะหลงเดินทางผิดแต่นี้กลับไม่ใช่โชคร้าย พลังวรยุทธของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด หลายปีต่อมาสำนักเต๋าก็เลือกที่จะขับไล่เขาออกจากสำนักเพื่อรักษาชื่อเสียงอันดีงามที่มีเอาไว้ หลายปีต่อมาชายคนนี้ก็ได้กลายเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ไปได้”

ลู่โจวถึงกับผงะเล็กน้อย เขาไม่คิดมาก่อนว่าหลี่ยุนจ้าวจะเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ ตัวเขาไม่คิดว่าการที่จะไม่รู้จักยอดฝีมือคนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่พระราชวังเต็มไปด้วยเหล่ายอดฝีมือ ตัวของลู่โจวเองก็ไม่ได้ไปที่พระราชวังอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าจะไปแต่เขาก็ไม่ได้ไปเพื่อต่อสู้ ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์มหาวายร้ายเป็นเรื่องธรรมดาที่ตัวเขาจะเป็นศัตรูกับพระราชสำนักไปแบบนี้ ถ้าหากลู่โจวไม่ได้เข้ามาอาศัยร่างของจีเทียนเด๋า บางทีตัวเขาก็คงจะถูกทางพระราชสำนักจัดการไปแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่มีใครที่จะล่วงรู้ได้เลย

ลู่โจวมั่นใจมากว่ายอดฝีมืออย่างหลี่ยุนจ้าวจะต้องเสพสุขอยู่ในพระราชวังแต่แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงขันทีก็ตาม ถึงจะถูกตอนแต่ก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะอยู่อย่างยากลำบาก แต่น่าเสียดาย แม้ว่าจะมีของทุกอย่างเพียบพร้อมแต่ถึงแบบนั้นการเสียความเป็นชายไปก็ไม่อาจที่จะหาอะไรมาทดแทนได้

ท้ายที่สุดลู่โจวก็ได้พูดออกมา “ทำไมหลี่ยุนจ้าวถึงได้พยายามทำร้ายเจ้าก่อนหน้านี้ด้วย? “

“ศิษย์เองก็ไม่รู้” พิษเย็นที่อยู่ภายในร่างกายของจ้าวยู่เพิ่งจะถูกปัดเป่าออกไป ดังนั้นในตอนนี้นางจึงยังมีร่างกายที่อ่อนแรงอยู่ แม้แต่เสียงของนางเองก็ยังฟังดูอ่อนแรงเช่นกัน

ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “ช่างมันเถอะ พักซัก 2 วันซะ” ตัวเขาได้สะบัดแขนก่อนที่จะเดินจากศาลาทางใต้ไป

จ้าวยู่พยายามลุกขึ้นยืนดว้ยความยากลำบาก ที่ใบหน้าของนางมีแต่สีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์เดินจากไป หลังจากนั้นนางก็ได้แต่ใช้ความคิดที่มีอยู่ภายในใจ ‘นี่…ท่านอาจารย์เป็นห่วงข้าอย่างงั้นหรอ? ‘

จ้าวยู่ได้ไอออกมาก่อนที่จะค่อยๆ หายใจได้อย่างปกติอีกครั้ง “นี้ข้าหายแล้วอย่างงั้นหรอ? ” นางรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ในตอนแรกที่นางพบกับพิษเย็นแบบนี้นางคิดมาตลอดว่าเป็นผลมาจากการฝึกเคล็ดวิชาหยกเจิดจรัส ความร้อนและความเย็นล้วนแต่เป็นพลังที่นางจะต้องควบคุมให้ดีในการฝึกในเคล็ดวิชานี้ หลังจากที่ฝึกฝนตัวเองไปถึงจุดหนึ่งร่างกายของนางก็ถูกน้ำค้างแข็งเข้าปกคลุม แม้จะคิดว่าความเย็นจะมาจากเคล็ดวิชาหยกเจิดจรัสแต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่สามารถที่จะควบคุมร่างกายได้ ที่แท้สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะพิษเย็นที่มาจากฝ่ามือหยินแห่งความมืดนั่นเอง

จ้าวยู่ได้พยายามเดินพลังลมปราณของนางอีกครั้ง ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางจะสามารถเดินพลังลมปราณผ่านเส้นพลังลมปราณทั้งแปดได้แล้ว การเดินพลังลมปราณของนางราบรื่นไร้ซึ่งอุปสรรค

เมื่อนึกถึงพูดของผู้เป็นอาจารย์ก่อนหน้านี้นางก็รู้สึกสำนึกผิด ความทุกข์ทรมานก่อนหน้านี้มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่นางคิดทรยศผู้เป็นอาจารย์

“ติ้ง! ชี้แนะจ้าวยู่สำเร็จ ได้รับแต้มบุญ: 200”

นี้ถือเป็นคำชี้แนะด้วยอย่างงั้นหรอ? การที่ผู้อาวุโสสั่งสอนผู้เยาว์ ผู้ที่แข็งแกร่งชี้แนะให้กับผู้อ่อนแอ สิ่งนี้ก็ถือเป็นการชี้แนะด้วยสินะ

เมื่อลู่โจวได้รับการแจ้งเตือน ตัวเขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไร ตัวเขาได้เดินต่อไปโดยมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่ ในตอนนี้มีฝานลี่เทียนและฝานซงกำลังเดินตามตัวเขาไปด้วย

หลังจากที่ลู่โจวเดินมาถึงศาลาใหญ่ ตัวเขาก็ค่อยๆ นั่งลงก่อนที่จะถามออกมา “ผู้อาวุโสฝาน เจ้ารู้จักหลี่ยุนจ้าวดีไหม? “

ฝานลี่เทียนคารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเคยติดต่อกับคนของพระราชสำนักหลังจากที่ออกจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ไป ถ้าหากจะให้พูดความจริง ข้าได้เข้าร่วมกับกองทัพในตอนนั้น ข้าเป็นทัพหน้าของเหล่ากองทัพ ข้าได้สังหารศัตรูไปนับไม่ถ้วนที่หรงเป่ย เพราะเหตุนี้ข้าเองจึงไม่ค่อยได้ข้องแวะอะไรกับคนของพระราชวังมากนัก ข้าก็เลยไม่ได้รู้จักอะไรกับหลี่ยุนจ้าวดี…”

ฝานซงรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ฟังแบบนั้น เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าขอทานหน้าตาสกปรกคนนี้ครั้งหนึ่งเคยมีภูมิหลังที่น่ายกย่องแบบนี้ได้

แม้ว่าการที่ผู้ฝึกยุทธจะเข้าร่วมกับกองทัพได้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร แต่ถึงแบบนั้นผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ก็มักจะมุ่งเน้นไปที่การฝึกตนเท่านั้น โดยปกติแล้วจะมีผู้ฝึกยุทธยอดฝีมือเพียงแค่ 5-6 คนเท่านั้นที่อยู่ท่ามกลางทหารธรรมดากว่าหมื่นชีวิต ยังมีผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ที่อยู่ในกองทัพด้วย ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธที่ไม่ค่อยมีพรสวรรค์หรือความสามารถในการฝึกฝนตนมากเท่าไหร่ เมื่อเห็นว่าหนทางแห่งการฝึกตนมันเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะแบบนั้นทุกคนก็เลยเลือกที่จะเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อแสวงหาความสำเร็จแทน ไม่มีใครคาดคิดว่ายอดฝีมืออย่างฝานลี่เทียนก็เลือกที่จะเข้าร่วมกับกองทัพเช่นเดียวกัน

“ด้วยระดับพลังวรยุทธของเจ้า เจ้าจะต้องชิงความได้เปรียบของสงครามในครั้งนั้นมาได้แน่…สำหรับเจ้าเรื่องการแสวงหาชื่อเสียงก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรสินะ? ” ลู่โจวอยากที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วทำไมฝานลี่เทียนถึงได้กลายเป็นขอทานเฒ่าไปทั้งๆ ที่สร้างคุณงามความดีในสงครามครั้งใหญ่แท้ๆ

“หลังจากที่ข้าออกจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์มา วรยุทธที่ข้ามีก็เริ่มถดถอยลงอย่างรวดเร็ว…เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เป็นยอดฝีมืออีกต่อไปแล้วล่ะ” ฝานลี่เทียนตอบกลับมา

ฝานซงอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ผู้อาวุโสฝาน สำนักแห่งความบริสุทธิ์ทำอะไรกับท่านอย่างงั้นหรอ? “

ฝานลี่เทียนเคยชินแล้วที่จะต้องตอบคำถามแบบนี้ “นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เราจะพูดคุยกันหรอกนะ”

ลู่โจวได้พูดต่อ “ไม่ว่าจะยังไงดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปเยี่ยมเยียนเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ซะแล้วล่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้นฝานลี่เทียนก็ได้ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงข้าเองก็ยินดีที่จะไปกับท่านเอง”

ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “เอาล่ะพวกเจ้าแยกย้ายได้”

“ข้าขอตัว”

“ข้าเองก็ขอตัวเช่นกัน”

ฝานลี่เทียนและฝานซงได้ออกไปจากห้องโถงใหญ่พร้อมกัน

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะจ้องมองทั้งสองคนเดินจากไป ตัวเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เป็นในแบบที่ควรจะเป็นแล้ว

ลู่โจวได้พูดออกมาเบาๆ “หยวนเอ๋อ”

“ค่ะ ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อรีบพุ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่ก่อนที่จะเก็บสายสะพายนิพพานไว้กับตัวเอง

“เจ้าสี่ส่งข่าวอะไรมาบ้างไหม? “

“ศิษย์พี่สี่ไม่ได้ส่งอะไรกลับมาเลยค่ะ ศิษย์พี่ได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ในตอนนี้ศิษย์พี่ก็คงจะเดินทางถึงเมืองทางตอนเหนือแล้ว” หยวนเอ๋อตอบกลับ

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นพยักหน้าก่อนที่จะพูดกลับมา “ข้าเหนื่อยแล้ว”

“ถ้าหากเป็นแบบนั้นศิษย์ขอตัวก่อน”

ลู่โจวได้สูญเสียพลังพิเศษไปบางส่วนก็เพื่อที่จะช่วยขับพิษเย็นที่มีอยู่ในร่างกายของจ้าวยู่ออกมา ตัวเขาในตอนนี้จำเป็นจะต้องเติมพลังพิเศษเป็นเวลา 2 วันด้วยกัน ถ้าหากไม่มีการ์ดพลังวิเศษที่มี ไพ่ตายสุดท้ายที่ลู่โจวจะใช้ได้ก็คือพลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั่นเอง

สำหรับเรื่องของอดีตจ้าวยู่ การที่จะสืบสวนเรื่องนี้ต่อไปได้จำเป็นจะต้องรอไปก่อน

สองวันต่อมา ที่เมืองทางตอนเหนือ ณ ชั้น 3 ของร้านอาหารสายลม

สีวู่หยาในตอนนี้กำลังยืนพิงบันไดก่อนที่จะจ้องมองตัวเมืองผ่านทางหน้าต่าง

เมืองทางตอนเหนือเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวก่อนที่จะเป็นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาก่อน แต่ในตอนนี้มันก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว มันมีเพียงภาพอันเคยเจริญรุ่งโรจน์ในอดีตของเมืองหลวงถูกทิ้งเอาไว้เท่านั้น

หนูขโมยทั้งห้าได้ทำให้เมืองทางตอนเหนือแห่งนี้ตกอยู่ในความวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกองทัพกบฏที่ก่อความวุ่นวายจนเกือบที่จะทำลายเมืองแห่งนี้ไป แต่นั่นไม่ใช่ภัยพิบัติสุดท้ายที่จะทำให้เมืองแห่งนี้ล่มสลายไป ชะตากรรมอันเลวร้ายได้มาอยู่ที่เมืองทางตอนเหนืออีกครั้ง

ผู้ฝึกยุทธเสื้อเทาคนหนึ่งได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว ขอเพียงแค่คำสั่งของท่าน พวกเราก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวในทันที”

สีวู่หยาได้เหลือบมองรอดผ่านหน้าต่างไปอีกครั้ง “ฉีชิง เจ้าอยู่กับข้ามานานเท่าไหร่แล้ว? “

เย่ฉีชิงที่ได้ฟังคำถามถึงกับตกใจเล็กน้อย ตัวเขาไม่รู้เลยว่าทำไมผู้เป็นเจ้าสำนักถึงได้ถามอะไรแบบนี้ออกมา ตัวเขาได้ตอบกลับไป “สิบปีแล้วครับ”

“เป็นเวลาสิบปีแล้วอย่างงั้นสินะ…”

“ท่านเจ้าสำนัก ข้าสาบานเอาไว้แล้วว่าจะติดตามท่านไปจนตาย! ” เย่ฉีชิงได้พูดขึ้น

สีวู่หยาได้ส่ายหัวพลางถอนหายใจออกมา “ฉีชิง…บอกข้าที…ว่าข้าทำผิดไปหรือเปล่า? “

เย่ฉีชิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ทำไมท่านเจ้าสำนักถึงได้ถามแบบนั้นกัน? ที่สำนักแห่งความมืดอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความสามารถของท่านเจ้าสำนัก พวกเราล้วนแต่รู้ซึ่งถึงบุญคุณท่าน ถ้าหากไม่มีท่าน ก็คงจะไม่มีใครหยุดผู้ฝึกยุทธนับหมื่นในหรงเป่ยได้ ท่านคือคนที่สนับสนุนท่านยู่เฉิงไห่เจ้าสำนักอเวจีมาโดยตลอด และท่านก็ยังเป็นคนเผาป่าแห่งความมืดไปอีกด้วย…”

สีวู่หยายกมือขึ้นมาเพื่อห้ามไม่ให้เย่ฉีชิงพูดต่อ ทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ เย่ฉีชิงคนนี้ก็จะพูดเหมือนกับว่าตัวเขาได้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าอะไรบางอย่างไป “อาจจะเป็นแค่ข้าก็ได้ แต่สำหรับข้าแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมามันได้เกินกว่าที่ข้าจะควบคุมได้แล้ว…”

เย่ฉีชิงมองไปที่สีวู่หยาด้วยสายตาอันสับสนก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะพูดออกมา “ท่านจะสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปไม่ได้…” หลังจากนั้นเขาก็ได้คุกเข่าลงข้างหนึ่ง

พรึ๊บ!

เย่ฉีชิงได้ชักดาบออกมา สีหน้าของเขาไร้ซึ่งความรู้สึก “ท่านเจ้าสำนัก ข้าจะสังหารทุกคนที่ท่านบอกข้า…ข้าจะไม่ลังเลเลยถึงแม้จะให้ข้าไปที่…ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ตาม! “

สีวู่หยาขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “สามหาว! “

“ข้าพูดไม่ทันได้ยั้งคิด ได้โปรดอย่าถือสาข้าเลยท่านเจ้าสำนัก”

“ยืนขึ้นซะ” สีวู่หยาไม่เคยที่จะลงโทษเหล่าสาวกที่เชื่อถือได้มาก่อน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะเหล่าสาวกทั้งหลายที่ทำให้สำนักแห่งความมืดประสบความสำเร็จจนมาถึงวันนี้ได้

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก! “

สีวู่หยาได้มองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง “หนูขโมยทั้งห้าแห่งเมืองทางตอนเหนือเมื่อไหร่จะมาถึงกัน? “

เย่ฉีชิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับไป “พวกเราสัญญากันเอาไว้ว่าจะพบกันในเช้าวันนี้…ข้ารู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างท่านเจ้าสำนัก…”

“พูดซะ”

“หนูขโมยทั้งห้าได้ชิงเสื้อคลุมวิถีเซนมาจากศิษย์น้องของท่านโดยที่ไม่ได้รับการอนุญาต นี่จะต้องทำให้ท่านผู้อาวุโสโกรธแน่ ยังไงซะศิษย์น้องของท่านก็ยังเป็น…” เย่ฉีชิงได้หยุดพูดไปกลางคัน ตัวเขากำลังมองหาคำที่ดีกว่านี้มาใช้ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับไม่กล้าที่จะพูดต่อ เย่ฉีชิงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตา

“ข้าเข้าใจความหมายที่เจ้าจะพูดดี…เจ้ากังวลว่าศิษย์น้องแปดของข้าจะเปิดเผยที่นัดพบออกไปอย่างงั้นสินะ? ” สีวู่หยาได้ถามขึ้น

“ท่านเจ้าสำนักช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ ” เย่ฉีชิงได้คารวะก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง “ท่านเจ้าสำนักนับว่าเป็นผู้ที่สนิทกับศิษย์น้องแปดของท่านมากที่สุดแล้ว พวกเราควรที่จะหยุดใช้จุดนัดพบโดยทั่วไปของพวกเรา ข้ากำลังกังวลว่าท่านผู้อาวุโสอาจจะส่งใครบางคนออกมาด้วยความโกรธแค้นก็เป็นได้…”

สีวู่หยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “มีแค่ศิษย์พี่สี่ของข้าเท่านั้นที่ยากจะรับมือที่สุดแล้ว แต่เขาก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี”

“แล้วถ้าหากท่านผู้อาวุโสมาที่นี่เองล่ะครับ? “

“สิ่งที่เราต้องทำนั้นง่ายมาก วิ่งหนียังไงล่ะ” น้ำเสียงของสีวู่หยาดูพลิ้วไหวมากเมื่อพูดแบบนั้น ในน้ำเสียงของเขาไม่ได้มีความลำบากใจหลงเหลืออยู่เลย

เย่ฉีชิงเองก็ไม่คิดว่ามันน่าอายอะไร ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเจอกับยอดคนผู้ที่มีพลังสุดลึกล้ำ การที่จะหนีไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย การเอาชีวิตไปทิ้งคงจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายยิ่งกว่า

ในตอนนั้นได้มีใครบางคนพุ่งผ่านหลังคาไป ใครคนนั้นได้หายไปในทันที หลังจากนั้นไม่นานก็มีภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นมา สีวู่หยาได้หันไปจับจ้องผู้มาเยือน ไม่มีใครเลยที่จะสังเกตเห็นได้ทัน หลังจากนั้นไม่นานผู้มาเยือนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านตรงข้ามของสีวู่หยา

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านมีสายตาที่เฉียบคมยิ่งนัก” ชายผู้ที่สวมถุงมือสีดำไว้หนวดได้นั่งอยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้าน

“ลู่ชิวผิง…เจ้ามาที่นี่คนเดียวอย่างงั้นหรอ? ” สีวู่หยาได้ถามออกมา

“ใช่แล้ว แค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว พี่ใหญ่ของข้าได้บอกเอาไว้ว่าท่านเจ้าเล่ห์เกินไป ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าท่านจะไม่ได้วางแผนจับพวกเราทั้งหมดเอาไว้น่ะ? ” ลู่ชิวผิงได้ยืนอยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้าน ชายคนนี้ก็คือหนึ่งในหนูขโมยทั้งห้าที่มีความเชี่ยวชาญในการหลบหนี

สีวู่หยาได้พูดขึ้น “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ? “

“ตามกฎของพวกเราแล้วท่านจะต้องชดเชยให้กับพวกเรา ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือทำภารกิจสำเร็จก็ตามที” ลู่ชิวผิงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

เย่ฉีชิงที่ยืนอยู่ก็ได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “ตามกฎของสำนักแห่งความมืด ผู้ที่ทำภารกิจล้มเหลวก็สมควรแล้วที่จะถูกลงโทษ แล้วเจ้าล่ะจะตอบแทนเรื่องนี้ได้ยังไงกัน? “

“ข้าไม่ใช่พวกเจ้า…เพราะงั้นกฎของพวกเจ้าใช้กับข้าไม่ได้หรอก”

“พวกเราเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของหนูขโมยทั้งห้าเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้บังคับใช้กฎของพวกเจ้ากับเราจะดีกว่า” เย่ฉีชิงได้ตอบกลับมา

“เจ้าต้องการจะหาเรื่องข้าเองนะ”

“ชิ๊ง! “

เย่ฉีชิงได้ชักดาบของตัวเองออกมา ดาบของเขาได้ส่องแสงออกมาอย่างเยือกเย็น มันได้สะท้อนแสงอาทิตย์ไปบนหน้าของลู่ชิงผิง

ลู่ชิงผิงได้นั่งต่อไป ก่อนที่จะหัวเราะออกมา “เฮ้ เฮ้ ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนแบบนั้นเลยนะ”

“ยอมแพ้และส่งเสื้อคลุมคืนมาซะ” สีวู่หยาได้พูดขึ้น

“เสื้อคลุมวิถีเซนอยู่กับพี่ใหญ่ไม่ได้อยู่กับข้า อย่าได้มองข้าแบบนั้นเลย ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะทักทายท่านก็เท่านั้น ยังไงซะท่านก็ยังเป็นสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้า แม้ว่าพวกเราจะไม่อาจมองข้ามท่านได้ แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็สามารถซ่อนตัวจากท่านได้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความสัมพันธ์ที่พวกเรามีจะถูกตัดขาดออกจากกัน พวกเราไม่ได้ติดหนี้บุญคุณกันและกันอีกต่อไป” ลู่ชิวผิงได้พูดขึ้น

เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของสีวู่หยาก็ได้เปลี่ยนไป “ที่ข้าติดต่อกับเจ้าก็เพราะข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะพอใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง…”

“หืม?” แม้ว่าสีหน้าของสีวู่หยาจะดูว่างเปล่า แต่ถึงแบบนั้นลู่ชิวผิงก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของสีวู่หยา

“ข้าไม่ได้ตั้งใจนัดเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะให้ยอมรับผิดที่ไม่สามารถทำภารกิจได้ลุล่วงหรอกนะ แต่ถึงแม้ว่าภารกิจจะไม่สำเร็จแต่เจ้าก็ไม่ควรที่จะเอาเสื้อคลุมวิถีเซนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ขโมยจากศาลาปีศาจลอยฟ้าติดตัวไปหรอกนะ”

“ท่านหมายความว่าอะไรกัน? “

สีวู่หยาได้สะบัดแก้วที่ถืออยู่ทิ้งไป แก้วเหล้าที่มีอยู่ในมือได้ตกลงบนถนนทางเดิน

แคล๊ง!

แก้วเหล้าได้แตกเป็นเสี่ยงๆ

เย่ฉีชิงได้จ้องมองแก้วของสีวู่หยาจนดาบที่ถืออยู่สั่นไปทั้งเล่ม

สีหน้าของลู่ชิงผิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ตัวเขาได้กระทืบเท้าก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปกลางอากาศด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้า

ในตอนนั้นเองมีผู้ฝึกยุทธชุดเทาสองคนเดินมาหา ที่มือของพวกเขามันมีพลังแสงสีเขียวที่อยู่บนฝ่ามือ พลังที่อยู่ในฝ่ามือมันดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

ตู๊ม!

ลู่ชิงผิงได้ห่อตัวเองก่อนที่จะใช้ความเร็วสอดแทรกผ่านร้านอาหารสายลมไป ความพลิ้วไหวของเขามันดูราวกับปลาไหลไม่มีผิด ตัวเขาได้รีบร้อนออกมาจากร้านอาหารในทันที

“หนูขโมยนี่มัน…”

สีวู่หยาไม่รีบร้อนอะไร ตัวเขายังคงนั่งนิ่งเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ลงมือได้”

“รับทราบ” เย่ฉีชิงได้หยิบกระบอกสีดำออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ยื่นมันออกไปที่หน้าต่างเพื่อส่งสัญญาณในทันที

เสียงแตรสัญญาณได้ดังขึ้นไปในอากาศพร้อมกับแสงสว่าง

สิ่งนี้เองได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนน ทุกๆ คนต่างก็หยุดมองสิ่งนี้

ในมุมตามตรอกซอกซอยเล็กๆ เริ่มมีผู้ฝึกยุทธกว่าหลายคนเคลื่อนไหว พวกผู้ฝึกยุทธทั้งหลายไม่ได้ตั้งใจที่จะโจมตีคนธรรมดาทั่วๆ ไป พวกเขาเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน

เมืองทางตอนเหนือได้ตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว!

ลู่ชิวผิงหนึ่งในหนูขโมยทั้งห้าเห็นผู้ฝึกยุทธชุดเทาสองคนที่กำลังตรงมาหาเขา “สีวู่หยา…เจ้านี่มันเตรียมแผนทั้งหมดเอาไว้แล้วสินะ! ” เสียงของลู่ชิวผิงยังไม่ทันเงียบหาย ในตอนนั้นเขาก็ได้ไปชนกับใครบางคนซะก่อน

ชายผู้ที่แต่งตัวแปลกประหลาดได้คว้าแขนลู่ชิวผิงเอาไว้ก่อนที่จะพยายามพูดภาษาในยุทธภพออกมา “จะ…เจ้า…เจ้ากล้าชนข้าอย่างงั้นหรอ? “

“อย่ามาขวางทางข้า! “

ชายในชุดแปลกประหลาดได้ออกแรงในการคว้าแขนมากขึ้น

“อ๊ากกก! ” ลั่วชิวผิงรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่ากระดูกทั้งแขนของเขาได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ชายชุดแปลกประหลาดคนนั้นได้พูดออกมาอย่างเร่งรีบ “ขะ…ขะ…ข้าขอโทษด้วย…ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนั้น”

ลู่ชิวผิงอยากที่จะร้องไห้ แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีทางเลยที่คนธรรมดาจะสามารถหักแขนของเขาได้ง่ายๆ แบบนี้ ตัวเขาได้ผ่านการฝึกยุทธจนมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาแล้ว ไม่ว่าชายคนนี้จะเป็นใครแต่ตัวเขาก็ไม่มีเวลาที่จะมาเสียให้อีกต่อไป

“จะ…เจ้าจะไปไหนไม่ได้! ” ชายที่แต่งตัวแปลกประหลาดได้พูดออกมาโดยที่ไม่ได้ปล่อยแขนของลู่ชิวผิงไป

สีหน้าของลู่ชิวผิงสิ้นหวัง “พี่ชาย…ท่านช่วยปล่อยแขนของข้าทีเถอะ! “

“ข้า…ข้า…ข้าทำไม่ได้”

ผู้ฝึกยุทธชุดเทาอีกคนได้คว้าแขนอีกข้างของลู่ชิวผิงไปเป็นที่เรียบร้อย

เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วลู่ชิงผิงก็รู้ว่าตัวเขาจะต้องเจอเรื่องร้ายแน่ แสงสีเขียวก็เริ่มเข้ามาใกล้กับลู่ชิวผิงมากขึ้น

ชายผู้สวมใส่เสื้อผ้าอันแปลกประหลาดได้เบิกตากว้าง “พวกเจ้าไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าเจ้านี้หรอกหรอ? ” แม้ว่าคำพูดของเขาจะฟังดูไม่มีอะไร แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังจับแขนอขงลู่ชิวผิงไว้แน่น

ป๊อก!

ด้วยเหตุนี้เองแขนทั้งสองข้างของลู่ชิวผิงก็ถูกหักไป! ในมือของเขาถือดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ ดาบในมือของเขาได้ส่องสว่างออกมาก่อนที่จะตกลงสู่พื้น ลู่ชิวผิงต้องการที่จะเคลื่อนไหว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็กลับทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนมากแค่ไหนก็ไม่มีอะไรจะทำให้ตัวเขาหลุดออกจากพันธนาการนี้ได้

ผู้ฝึกยุทธชุดเทาอีกคนได้เดินเข้ามาหาก่อนที่จะคารวะให้กับพวกเขา “ขอบคุณที่ช่วยพวกเราเอาไว้ ท่านยอดฝีมือ! “

ชายที่สวมชุดแปลกประหลาดได้โบกมือก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”

“ข้าขอทราบชื่อของท่านจะได้ไหม? เนื่องจากท่านได้ช่วยจับหัวขโมยนี่ พวกเราอยากที่จะจำชื่อของท่านเอาไว้”

“ได้ ข้าแซ่รี”

ทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบเย่ฉีชิงก็วิ่งไปช่วยพยุงตัวของสีวู่หยาเอาไว้ พวกเขาได้ลงมาจากชั้นสามอย่างช้าๆ

น้ำตาได้ไหลอาบแก้มของลู่ชิงผิง ในตอนนี้เขาได้แต่อดทนกับความเจ็บปวดที่ได้รับมา “ท่านยอดฝีมือ…พวกเรายังพูดคุยกันได้ใช่ไหม? “

ป๊อก!

ชายคนนั้นได้ออกแรงบีบแขนของลู่ชิวผิงมากขึ้น “ข้าไม่มี…อะไรจะพูดกับเจ้า”