ตอนที่ 266

My Disciples Are All Villains

ลู่ชิวผิงสาบาน

หลังจากที่สีวู่หยาลงมาถึงพื้น เขาก็ได้ยิ้มให้จางๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่สี่ ทำไมท่านถึงจะต้องปลอมตัวด้วย? “

‘ศิษย์พี่สี่อย่างงั้นหรอ? ‘ เมื่อผู้ฝึกยุทธชุดเทาทั้งสองได้ยินแบบนั้น สีหน้าของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ใบหน้าของเย่ฉีชิงเองก็ตกใจเช่นกัน

ลู่ชิวผิงซึ่งแขนหักไปได้เงยหน้าขึ้นมา แท้จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของยอดฝีมือคนนี้ก็คือศิษย์คนที่สี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างหมิงซี่หยิน

“ศิษย์น้องเจ็ด…เจ้าเองก็มองผ่านการปลอมตัวแบบนี้ได้อย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินมองกลับมา ตัวเขาได้เปลี่ยนแปลงการแต่งตัวไปอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็ยังมองออกตั้งแต่แรกเห็น

“มีคนไม่มากนักหรอกที่ใช้แซ่รีน่ะ” สีวู่หยาได้พูดขึ้น

“…” หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ตัวเขาได้เปลี่ยนเรื่องคุยแทน “ศิษย์น้องเจ็ด ข้าเป็นคนจับหนูให้กับเจ้าเอง เจ้าจะไม่ขอบคุณข้าสักครั้งอย่างงั้นหรอ? “

ถ้าหากหมิงซี่หยินไม่ได้จับแขนที่หักของลู่ชิวผิงไป หนูขโมยคนนี้ก็คงจะล้มพับไปนานแล้ว ตัวเขารู้สึกราวกับว่ากางเกงที่ใส่อยู่กำลังจะเปียกปอน

สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขอบคุณออกมา

ลู่ชิวผิงได้พูดต่อไป “พี่ชาย การไว้ชีวิตคนเป็นเหมือนกับการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วนะ…”

“หุบปากซะ” หมิงซี่หยินหันไปมองลู่ชิวผิงที่ถูกจับเอาไว้

“เจ้ากล้าขอให้ข้าไว้ชีวิตให้ทั้งๆ ที่บุกไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าสิ? เจ้าคิดว่ากำลังฝันไปหรือไงกัน! “

ลู่ชิวผิงมองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “…หนูขโมยทั้งห้าทำตามคำสั่งของสำนักแห่งความมืด เพราะแบบนั้นระหว่างเราทั้งสองฝั่งจึงไม่มีอะไรติดค้างกัน ใครก็ตามที่เป็นผู้กำหนดกฎขึ้นมาย่อมที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้เองอยู่แล้ว”

“โอ๊ย! ” ลู่ชิวผิงได้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อหมิงซี่หยินใส่แรงไปที่แขนของเขามากขึ้น

หมิงซี่หยินได้พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำข่มขู่ “ข้าไม่ได้มาจากสำนักแห่งความมืด…หยุดพูดถึงกฎโง่ๆ ของสำนักแห่งความมืดได้แล้ว! “

ลู่ชิวผิงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก

สีวู่หยาที่ยืนอยู่ด้วยก็ได้กางแขนออกมาพร้อมกับทำท่าช่วยไม่ได้

ศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แยกตัวออกไปก่อนที่จะก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ไม่มีศิษย์คนไหนเลยที่ยอมเข้าร่วมสำนักกับศิษย์คนอื่นๆ หมิงซี่หยินเองก็ไม่ใช่สาวกของสำนักแห่งความมืดเพราะแบบนั้นกฎที่มีจึงบังคับใช้กับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกของสำนักแห่งความมืดแต่ถึงแบบนั้นคนอย่างหมิงซี่หยินก็คงจะไม่ทำตามกฎอยู่ดี “เสื้อคลุมนั่นอยู่ไหนกัน? “

ลู่ชิวผิงได้พยายามเก็บความเจ็บปวดที่ได้รับมาเอาไว้ในใจ “ข้าไม่มีหรอก…ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับท่านเจ้าสำนักสีวู่หยาก็เท่านั้น นับตั้งแต่จากนี้ไปพวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป ได้โปรดเมตตาข้าด้วยพี่ชาย”

“ใครเป็นพี่ชายของเจ้ากัน?! เจ้าน่ะมันก็เป็นได้แค่คนน่าสมเพชเท่านั้นแหละ! “

“อ๊ากกกก! ” เสียงครวญครางได้ดังกว่าเดิม

ในครั้งนี้หมิงซี่หยินได้หักขาของลู่ชิวผิงก่อนที่จะปล่อยแขนของเขาไป

ลู่ชิวผิงได้ล้มลงไปกับพื้น หมิงซี่หยินได้ถอดหนวดปลอมออกมาก่อนที่จะโยนเสื้ออันแปลกประหลาดทิ้งไปที่ด้านข้าง ในตอนนี้ตัวเขาได้เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงให้กับคนอื่นได้เห็นแล้ว หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “จับตาดูเจ้าหนูขโมยนี่ไว้…ข้ามีธุระกับเจ้าสำนักของพวกเจ้า”

เย่ฉีชิงได้ยกดาบขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านหมิงซี่หยิน อภัยให้ข้าด้วย เห็นทีข้าจะฟังคำขอนั้นของท่านไม่ได้”

“ไสหัวไปซะ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาตรงๆ การที่เสียเวลาไปมากกว่านี้จะทำให้ตัวเขายิ่งหมดความอดทน

สีวู่หยาได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “ฉีชิง ใจเย็นลงก่อน”

“ท่านเจ้าสำนัก? “

“คิดจะขัดขืนข้าอย่างงั้นหรอ? “

“ข้าน้อยไม่กล้า! ” เย่ฉีชิงได้ถอยไปด้านข้าง

สีวู่หยาได้เดินตรงมาที่หน้าของหมิงซี่หยิน ในตอนนี้ที่มือของเขายังไขว้อยู่ที่ด้านหลัง ตัวเขากับหมิงซี่หยินท้ายที่สุดแล้วอยู่ห่างกันแค่เพียงครึ่งเมตรเท่านั้น

เมื่อหมิงซี่หยินเห็นสีวู่หยาเอามือเดินไขว้หลังมา ตัวเขาก็ได้ทำตามอย่างเหมาะสม ผู้ที่ทำท่าทีแบบนี้มักจะเป็นยอดฝีมือสูงส่ง สีวู่หยาได้ยิ้มให้ก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “ศิษย์พี่สี่ ท่านพอจะมีเวลาไหม? “

“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว ศิษย์พี่รองไม่ได้อยู่ที่นี่กับเจ้าด้วย ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้อีกต่อไป” หมิงซี่หยินมุ่งมั่นที่จะจับสีวู่หยากลับไปให้ได้

“บางทีท่านอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้เมื่อฟังสิ่งที่ข้าดู ศิษย์พี่”

“ถ้าหากเป็นแบบนี้ข้าขอไม่ฟังจะดีกว่า…ศิษย์น้องเจ็ด ข้าน่ะรู้จักเจ้าดี เจ้าน่ะมักเก่งเรื่องการพูดจาชักชวนผู้อื่น แม้ว่าเจ้าจะสั่งการโดยที่ไม่มีพลังวรยุทธก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นลูกน้องที่เจ้ามีก็ยังจะจงรักภักดีกับเจ้าแบบนี้ เจ้าให้อะไรเจ้าพวกนี้กินกันแน่? ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาก่อนที่จะหันไปมองเย่ฉีชิง “เฮ้ เจ้าที่มีดาบน่ะ สนใจที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าไหมล่ะ? ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าน่ะไม่คู่ควรหรอก ลืมมันไปซะเถอะ”

เย่ฉีชิงที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกงุนงง

สีวู่หยาได้พูดต่อ “ตั้งแต่ที่ท่านรู้ว่าพลังวรยุทธของข้าถูกปิดผนึกเอาไว้ ศิษย์พี่ ท่านคิดจริงๆ หรอว่าตัวข้าจะเป็นคนอ่อนแอไร้ค่าน่ะ? “

“หืม? “

หมอกควันเริ่มปกคลุมตัวเมืองหนาขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้บริเวณใกล้เคียงมีเหล่าผู้ฝึกยุทธจำนวนหนึ่งกำลังต่อสู้กันจนบินขึ้นไปบนฟ้า

หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกสับสน ‘ทำไมเมืองทางตอนเหนือถึงได้สับสนวุ่นวายแบบนี้กันล่ะ? ‘

เย่ฉีชิงได้พูดขึ้น “ท่านหมิงซี่หยิน…ข้าจะบอกความจริงให้ท่านทราบ ในตอนนี้ที่เมืองทางตอนเหนือมีคนของเราอยู่กว่า 3,000 คนด้วยกัน”

สีหน้าของหมิงซี่ยังคงสงบ ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจแทน “เจ้ากำลังพยายามข่มขู่ข้าอย่างงั้นหรอ? พวกเจ้ามันก็เป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น…ศิษย์น้องเจ็ด มาฟังกันดีกว่าว่าเรื่องราวของเจ้าจะน่ามหัศจรรย์แค่ไหนกัน”

สีวู่หยาได้พูดต่อ “เชิญทางนี้ศิษย์พี่สี่”

ทั้งคู่ได้ขึ้นไปบนร้านอาหารอีกครั้ง

ครั้งนี้ผู้ฝึกยุทธชุดเทาทั้งสองคนไม่ยอมปล่อยให้ลู่ชิงผิงหนีไปได้

ร้านอาหารเดิมที่เคยมีคนได้ถูกทิ้งร้าง

ทั้งสองได้นั่งลงคนละฝั่งของโต๊ะ

“พูดมาซะ…” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

สีวู่หยาได้โบกมือของตัวเอง

ในตอนนั้นสาวกของเขาคนหนึ่งก็ได้เสิร์ฟน้ำชา

สีวู่หยาได้พูดขึ้น “อันที่จริงข้ารู้ดีว่าท่านจะมาที่นี่ ศิษย์พี่ แต่ถึงแบบนั้นข้าก็เลือกที่จะมา ท่านรู้ไหมว่าทำไม? “

“ข้าไม่ได้เป็นพยาธิอยู่ในท้องของเจ้า ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน? “

“เมืองทางตอนเหนือได้ตกอยู่ในความวุ่นวาย แม่ทัพชาง ผู้ที่ประจำอยู่ที่นี่คงจะต้องซวยแน่ๆ ” สีวู่หยาพูดขึ้น

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดต่อ “เจ้ากำลังพยายามทำอะไรกันแน่? “

“ศิษย์พี่…ถ้าหากท่านอยากจะรู้ข้าจะบอกท่านเอง แต่ท่านจะช่วยปล่อยตัวข้าไปไหมล่ะ? “

“โอหัง! เจ้าคิดว่ามีสิทธิ์ต่อรองกับจ้าได้อย่างงั้นหรอ? “

“ท่านอาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้…แต่ข้ามาที่เมืองทางตอนเหนือก็เพื่อจะช่วยท่านอาจารย์” สีวู่หยาได้พูดขึ้น

“ข้าสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เลือกเชื่อคำพูดของเจ้าง่ายๆ ” หมิงซี่หยินได้พูดประชดประชัน

“ในตอนนี้ม่านพลังของศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังอ่อนแรง พวกสำนักฝ่ายธรรมะต่างก็จับตามองศาลาปีศาจลอยฟ้าราวกับว่ามันกำลังตกเป็นเหยื่อของพวกเขา”

สีวู่หยาได้ยกแก้วช้าขึ้นมาจิบก่อนที่จะพูดต่อ “คนของข้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ข้าน่ะรู้ข่าวดี…”

“ข่าวอะไรกัน? “

“พระราชสำนักกำลังเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจกวาดล้างศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่” แม้ว่าสีวู่หยาจะพูดออกมา แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าเขากลับสงบไม่ไหวติง จากสีหน้าที่แสดงออกไป สีวู่หยาไม่สนใจเลยว่าหมิงซี่หยินจะเชื่อตัวเขาหรือไม่ ตัวเขาได้จิบชาต่อไปอย่างไร้อารมณ์

“ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่สถานที่สำหรับการล้างแค้นไร้ประโยชน์พวกนั้นหรอก พวกเราจะฆ่าเจ้าพวกนั้นทั้งหมดเอง” หมิงซี่หยินตอบกลับไป

สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อไป “ข้ายอมรับว่าพลังของท่านอาจารย์ยังคงลึกล้ำและแกร่งกล้าอยู่ พวกท่านอาจจะรักษาศาลาปีศาจลอยฟ้าเอาไว้ได้ในครั้งนี้ก็จริง แต่ศิษย์พี่ ท่านคิดจริงๆ หรอว่าท่านจะรักษาศาลาปีศาจลอยฟ้าให้อยู่ไปได้ตลอดน่ะ? ศิษย์พี่ข้าเชื่อว่าท่านรู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นจะต้องหลอกตัวเองหรอก”

หมิงซี่หยินยังคงนิ่งเงียบ

สีวู่หยาได้พูดต่อไป “นอกเหนือจากการถูกสิบสุดยอดฝีมือเข้าโจมตี เหตุการณ์การตายของเฉินซู่ทำให้พระราชสำนักออกมารับมือกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตามมา ทั้งเรื่องของแม่น้ำสวรรค์ สิบสุดยอดคนทรง รวมไปถึงเรื่องที่แท่นประลองดอกบัวเอง ม่อหลีเพียงคนเดียวได้สร้างปัญหามากมายให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าดูสะดุดตาเกินไป ทุกๆ ฝ่ายที่เคยมีความขัดแย้งกับทางพระราชวังต่างก็รวมตัวกันเพื่อจัดการกับศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อน ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปอีก 5 ปี ท่านยังจะคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะอยู่มาได้อีกหรอ? ไม่สิ ข้าให้เวลาแค่ 2 ปีก็พอ”

หมิงซี่หยินได้ตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเรากำลังพูดถึงอนาคตกันอยู่”

“อนาคตอย่างงั้นหรอ? ” สีวู่หยาส่ายหัว “ถ้าหากเป็นคนอื่น ข้าก็คงจะขี้เกียจอธิบายไปแล้ว แต่นี่เป็นถึงกับศิษย์พี่ของข้าเอง ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากพูดกับท่านตรงๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเองก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว ข้าจะไปหลอกลวงท่านได้ยังไงกัน”

“เจ้าเก็บคำเยินยอพวกนี้ไว้ใช้กับคนอื่นซะเถอะ” หมิงซี่หยินโต้กลับ

สีวู่หยายิ้มให้ก่อนที่จะรินชาให้กับหมิงซี่หยิน “ปัจจุบันสิบสุดยอดสำนัก”ฝ่ายธรรมะได้อ่อนกำลังลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้หายไปแล้ว ส่วนสำนักเที่ยงธรรมเองก็แทบที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองไม่ได้ถ้าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือของจางหยวนฉาน วิหารพุทธทั้งห้าเองก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นคงจะกล้าเคลื่อนไหวในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตามพระราชสำนักนักก็ไม่เหมือนกับสิบสำนักใหญ่…ศิษย์พี่จะต้องรู้แน่ว่าทำไมยุทธภพถึงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้

คำตอบนั้นชัดเจนมาก ถ้าหากพระราชสำนักด้อยไปกว่าสิบสำนักใหญ่จริง ป่านนี้สิบสำนักใหญ่ก็คงจะควบคุมพระราชสำนักไปแล้ว

“ทางพระราชวังมีพลังที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเลยหรอ? ” หมิงซี่หยินถามออกมาอย่างสงสัย

“ท่านรู้ไหมว่าอะไรกันที่ทำให้หัวใจของมนุษย์ขับเคลื่อนได้? ” สีวู่หยาได้ถามออกมาอย่างมั่นใจ

หมิงซี่หยินส่ายหัวปฏิเสธ

“พลัง, อำนาจ, เงินตรา, หญิงสาว…พลังวรยุทธ, เคล็ดวิชา, ชื่อเสียง, สมบัติ และโลกใบนี้”

“เจ้ามันก็แค่พวกชอบดูแคลนคนและเป็นพวกวัตถุนิยมก็เท่านั้น”

“ผู้คนไม่ใช่นักบุญ จะมีผู้คนสักกี่คนกันที่ไม่ใช่พวกวัตถุนิยมได้? ถ้าหากศิษย์พี่เองก็ไม่ใช่ ทำไมศิษย์พี่ไม่มอบเคียวพื้นพิภพที่มีให้กับข้าล่ะ ศิษย์พี่สี่? “

สีวู่หยาที่พูดเสร็จก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าก็แค่ล้อท่านเล่นศิษย์พี่ กลับไปที่เรื่องของเราเถอะ พระราชสำนักสามารถหาของทุกอย่างได้ตามที่ใจปรารถนา ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะมีเหล่ายอดฝีมือจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันอยู่ ศิษย์พี่อย่าลืมไปซะล่ะ ทหารองครักษ์ของจักรวรรดิไม่เคยที่จะออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ไป แม้ว่าจะมีการก่อกบฏ ที่เมืองอันยางก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นทหารองครักษ์ก็ไม่เคลื่อนไหว”

ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีทั้งอาวุธระดับสรวงสวรรค์มากมายหลายชิ้นรวมไปถึงเคล็ดวิชามากมายหลายอย่าง สิบสำนักใหญ่ก็ยังไม่อาจเอาชนะศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ เป็นธรรมดาที่จะมีหลายคนรู้สึกอิจฉาสิ่งที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามี

หมิงซี่หยินได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดไป “ในท้ายที่สุดเจ้าก็พยายามจะบอกข้าว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าในวันนี้หนึ่งจะต้องล่มสลายสินะ? นี่น่ะหรอวิธีที่เจ้าบอกว่าพยายามจะช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่…มันเป็นวิธีของเจ้าอย่างงั้นหรอ? “

หมอกควันได้เข้าปกคลุมเมืองทางตอนเหนือ ในตอนนี้เองมีเสียงฆ่าฟันกันดังมากยิ่งขึ้น

สีวู่หยาลุกขึ้นมาก่อนที่จะมองออกไปที่หน้าต่าง “นี่ถือเป็นการเสียสละที่จะต้องทำ…ถ้าหากแม่ทัพชางผู้ประจำการอยู่ที่เมืองแห่งนี้ตายไป เมืองแห่งนี้ก็จะต้องตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายแน่นอน เหวยซู่หยานในตอนนี้พาเหล่าทัพทั้งสามไปที่มณฑลเหลียงอยู่…เมื่อถึงเวลาคับขันทหารองครักษ์อาจจะจะต้องระดมพลเพื่อเข้าระงับความวุ่นวายที่เมืองแห่งนี้ เพราะวิธีนี้ทางพระราชสำนักก็จะไม่มีเวลาไปยุ่งอะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ถ้าครั้งแรกไม่ได้ผล ข้าก็จะทำครั้งที่สอง ถ้าหากครั้งที่สองไม่ได้ผล ข้าก็จะทำต่อไป ข้าจะทำต่อไปจนกว่าจะเห็นผล”

หมิงซี่หยินได้พ่นชาที่เพิ่งจะดื่มออกมา หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หัวเราะออกมา “นี่เป็นแผนการอันยิ่งใหญ่ของเจ้าอย่างงั้นหรอ? บางทีเจ้าอาจจะสูญเสียความฉลาดไปแล้วก็ได้นะ” หมิงซี่หยินได้แต่ใช้ความคิดกับตัวเอง ‘นี่คือสิ่งที่เจ้าอุส่าพากเพียรหามาจากการจัดตั้งแหล่งข่าวทั่วโลกก็เพื่อการนี้อย่างงั้นหรอ? เจ้าสามารถรวบรวมเหล่าสาวกยอดฝีมือให้มาอยู่ร่วมกันในฐานะของสำนักแห่งความมืด ถ้าหากสีวู่หยาบอกว่านี้คือทั้งหมดที่เจ้าต้องการจะทำจริง? เจ้าก็คงจะไม่ใช่คนฉลาดอย่างที่เขาลือกันแล้วล่ะศิษย์น้อง! ‘

สีวู่หยาคาดหว่าหมิงซี่หยินกำลังสงสัยตัวเขาอยู่ ตัวเขาได้รินชาให้หมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันแปลกประหลาด “ถ้าหากมันล้มเหลวไปทั้ง 10 ครั้ง ข้าก็จะทำมัน 100 ครั้ง แม้แต่เขื่อนอันใหญ่ยักษ์ก็สามารถพังทลายได้เพราะรูรั่วเพียงแค่นิดเดียว ท่านจะรู้ได้ไงว่าวันที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมีรูรั่วจะไม่มาถึงน่ะ? ไม่มีใครรู้ได้หรอก”

หมิงซี่หยินรู้สึกสับสน หลังจากที่เงียบหายไปครู่หนึ่งตัวเขาก็ได้ตบโต๊ะก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว…เจ้าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนของเจ้าอย่างงั้นสินะ? เจ้าบอกว่าตัวเองกำลังพยายามช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะทำให้เจ้าซ่อนตัวต่อไปก็เท่านั้น”

“ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยานเช่นนั้น” สีวู่หยาได้ส่ายหัวของตัวเอง

“ถ้าเจ้าไม่ได้ต้องการแบบนั้น แล้วใครล่ะที่ต้องการ? ” ทันทีที่หมิงซี่หยินพูดจบ จิตใจของตัวเขาก็ว่างเปล่า ตัวเขาได้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนที่จะใช้ความคิดของตัวเอง คำตอบที่ตัวเขาคิดได้มันชัดเจนมาก

“ท่านกำลังคิดว่าแผนการของข้าเป็นวิธีการของพวกเด็กเล่นสินะ…ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงศิษย์พี่มีวิธีที่ดีกว่านั้นอย่างงั้นสินะ? ” สีวู่หยาได้ถามขึ้นมา

“…” แม้ว่าหมิงซี่หยินจะพอมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีของสีวู่หยา แต่ถึงแบบนั้นถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงตัวเขาจะไปทำอะไรได้ ถ้าหากไม่ทำอะไรสักอย่างศาลาปีศาจลอยฟ้าก็จะถูกปิดล้อมเป็นครั้งที่สอง

กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!

เสียงกีบเท้าม้าได้ดังขึ้นมาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

มันเป็นเสียงของทหารที่กำลังมาที่นี่เพื่อระงับเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้น!

เย่ฉีชิงมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนที่จะหันมาหาสีวู่หยา “ท่านเจ้าสำนัก ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”

“ได้” สีวู่หยามองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดออกมา “เป็นเรื่องที่ดีที่ศิษย์พี่ใหญ่ยังมีความทะเยอทะยานที่มากกว่าข้า…อย่างน้อยศาลาปีศาจลอยฟ้าก็คงจะไม่ถูกโจมตีเหมือนกับเมื่อก่อนแน่”

หลังจากนั้นเย่ฉีชิงก็ได้พยุงสีวู่หยาขึ้นมาก่อนที่จะกระโดดออกไปจากด้านนอกทางด้านหน้าต่าง

หมิงซี่หยินได้ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา ตัวเขาได้พยักหน้าก่อนที่จะพึมพำอะไรบางอย่างออกมา “เจ้านั่นก็พูดมีเหตุผล…” หมิงซี่หยินได้นั่งดื่มชาต่อไปด้วยจิตใจอันปลอดโปร่ง ‘แต่เดี๋ยวก่อนนะ! ยังไงแผนการจับตัวเจ้านั่นก็ยังจะต้องทำต่อ! ข้าถูกหลอกอีกแล้วหรอ! ‘

หมิงซี่หยินรีบออกไปด้านนอกทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้สีวู่หยาก็ไม่อยู่ให้เห็นแล้ว

ในขณะเดียวกันผู้ฝึกยุทธชุดเทาทั้งสองคนก็ได้โยนตัวของลู่ชิวผิงเอาไว้บนพื้น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้โค้งคำนับให้กลางอากาศ “ท่านหมิงซี่หยินไม่จำเป็นจะต้องไล่ล่าท่านเจ้าสำนักต่อไปหรอก…ข้าไม่เคยเห็นว่าท่านเจ้าสำนักจะพูดกับใครมากมายขนาดนี้มาก่อน ในความจริงแม้ว่าท่านเจ้าสำนักจะไม่อธิบายด้วยตัวเอง แต่ถึงแบบนั้นท่านก็ยังไม่สามารถจับเขาได้อยู่ดี”

ซู่ววววว! ซู่ววววว!

พลังร่างอวตารดอกบัว 4 กลีบ 2 ร่างก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา

หมิงซี่หยินจ้องมองพวกเขาทั้งคู่อย่างเหยียดหยาม ถ้าหากพวกเขาทั้งคู่รวมพลังกันก็คงจะมีพลังพอๆ กับผู้ใช้พลังร่างอวตารดอกบัว 6 กลีบ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ได้ใช้สุดยอดเคล็ดวิชาก่อนที่จะหายไปต่อหน้าต่อตาของหมิงซี่หยิน

หมิงซี่หยินจ้องไปที่ลู่ชิวผิงก่อนที่จะถามออกมา “เจ้ากำลังมองอะไรอยู่กัน? อยากให้ข้าควักลูกตาของเจ้าอย่างงั้นหรอ? “

“ไม่ ได้โปรดอย่าทำไแบบนั้นท่านหมิงซี่หยิน! ” ลู่ชิวผิงอยากที่จะร้องไห้ออกมา แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่มีน้ำตาเหลือแล้ว

ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็เห็นนกพิราบสื่อสารอันคุ้นเคยมาจากระยะไกล “หืม? จดหมายของศิษย์น้องเล็กอย่างงั้นหรอ? “

นกพิราบสื่อสารบินตรงมาหาหมิงซี่หยินก่อนที่จะปล่อยจดหมายให้ในมือของเขา

หมิงซี่หยินรีบอ่านจดหมายที่ได้รับมา “ไม่มีทาง…ท่านอาจารย์จะเดินทางไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นหรอ? “

เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่แบบไหนกัน? มันเป็นสถานที่ที่เหล่ายอดฝีมือมารวมตัวกันมากมายหลายคน นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ทหารองครักษ์ประจำการอยู่อีกด้วย

ตามที่สีวู่หยาได้บอกเอาไว้ ในตอนนี้ทางพระราชสำนักพยายามรวบรวมทุกฝ่ายเพื่อที่จะจัดการกับศาลาปีศาจลอยฟ้า การที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองไม่เหมือนกับการเข้าถ้ำเสื้อหรอกงั้นหรอ?

“คนงี่เง่าแบบไหนกันที่เสนอความคิดแบบนี้ให้กับท่านอาจารย์!? ” หมิงซี่หยินได้ทำลายจดหมายในมือก่อนที่จะคว้าคอของลู่ชิวผิงเอาไว้ ตัวเขาได้บินตรงไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

ในขณะที่หมิงซี่หยินบินอยู่เหนือเมือง ภายในเมืองก็ยังคงตกอยู่ในความวุ่นวาย ตัวเขาได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนเข้าใจว่าตัวเขาเป็นศัตรู หมิงซี่หยินได้เก็บซ่อนพลังเอาไว้ก่อนที่จะบินไปบนฟ้า ตัวเขาได้บินไปทางเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “นี้มันไกลเหลือเกิน…”

ลู่ชิวผิงยังคงพูดขอร้องอ้อนวอนออกมา “ท่านหมิงซี่หยิน…ได้โปรดเถอะไว้ชีวิตข้าด้วย! “

หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “เจ้ากล้าที่จะขโมยของรักของศิษย์น้องข้าเอง…” หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าจะหัวเราะแต่ตัวเขาก็ไม่อาจที่จะเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ภายใต้เสียงหัวเราะนี้ได้

ลู่ชิวผิงเหงื่อแตก ตัวเขาได้รีบพูดออกมา “ข้าจะขอให้พี่ใหญ่คืนเสื้อคลุมนั่นให้ท่านเอง! เพราะงั้นอย่าทำอะไรข้าเลย! “

“หุบปาก! “

ครึ่งวันต่อมา ณ ป่าใกล้ๆ กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ วิซซาร์ดได้ร่อนลงมาจากฟ้าอย่างช้าๆ

“ท่านอาจารย์ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างหน้าแล้ว” หยวนเอ๋อได้กระโดดลงจากหลังของวิซซาร์ด

ลู่โจวมองไปทางเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะพยักหน้า

หยวนเอ๋อได้วิ่งไปที่ด้านข้างของวิซซาร์ดก่อนที่จะช่วยพยุงจ้าวยู่ให้ลงมาจากหลังของมัน “ข้าบอกท่านแล้วศิษย์พี่ วิซซาร์ดน่ะสบายกว่านั่งรถม้าลอยฟ้าเยอะ! “

จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นได้พยักหน้า สีหน้าของนางในตอนนี้ดูไม่เป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย นางจ้องมองดูเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์…พวกเราจะไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “

ลู่โจวได้ตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอดีตของเจ้า พวกเรามองผ่านมันไปไม่ได้หรอกนะ”