บทที่ 288 มือที่วางอยู่บนเอว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 288 มือที่วางอยู่บนเอว

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยพลัน มือข้างหนึ่งแตะเข็มขัดอย่างรวดเร็ว และด้วยพลังความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เขาล้วงซองผงยาออกมาจากเอวของเขา สาดเข้าใส่เย่หลีเฉินตรงๆ

จากนั้นก็รีบแฝงกายเข้ามาข้างหลังพวกเขา ดึงกระบี่พกออกจากเอวขององครักษ์คนหนึ่ง และสังหารองครักษ์ที่ไร้การป้องกันทั้งสองอย่างรวดเร็ว

เขาเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดฮองเฮา แน่นอนว่า วรยุทธและเทคนิคการพลิกแพลงของเขาย่อมไม่ธรรมดา

ฆ่าองครักษ์คนสองคน สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ต้องจู่โจมโดยไม่ให้ระวังตัวก็แค่นั้น

“เจ้า······”

เขาเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดฮองเฮา แน่นอนว่าวรยุทธและเทคนิคการพลิกแพลงของเขาย่อมไม่ธรรมดา

ฆ่าองครักษ์คนสองคน สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ต้องจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัวก็เท่านั้น

“เจ้า······”

ทันทีที่เขาเห็นผงยาถูกสาดเข้ามาตรงหน้า เขาก็รีบหลบเลี่ยงโดยสัญชาตญาณ

แต่ว่า!

กลิ่นของผงยานั้นแพร่กระจายออกมาเร็วเกินไป เพียงเขาไม่ทันระวัง ก็เผลอสูดเข้าไปแล้ว

เมื่อเห็นองครักษ์ถูกฆ่าตาย เขาคิดจะใช้วรยุทธเข้าจู่โจม แต่กลับไม่อาจเค้นพลังออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

“เมื่อครู่นี้คือยาหมดแรงสือเซียง องค์ชายรัชทายาท ทรงอย่าได้พยายามดิ้นรนต่อไปจะดีกว่า คนตายก็เพราะทรัพย์ นกตายก็เพราะเหยื่อ ข้าน้อยขอลา!”

การที่ครั้งหนึ่ง เคยทำงานเป็นองครักษ์ใกล้ชิดพระองค์ของฮองเฮา ทำให้เขาเองก็ไม่คิดลงมือสังหารองค์ชายรัชทายาท

ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้ว!

เขาก็เป็นถึงองค์ชายผู้งามสง่าของประเทศหนึ่ง

เมื่อพูดจบ!

ชายคนนั้นเตรียมจะใช้กำลังภายในเหาะเหินจากไป ปล่อยทิ้งให้เย่หลีเฉิน กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดเองอยู่ที่นี่

แต่กลับกลายเป็นว่า …

หลังจากเหินขึ้นห่างจากพื้นไปไม่ถึงสองเมตร ก็ได้ยินเสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้นเสียงหนึ่ง พลันปรากฏประกายแสงสีเงินสว่างวาบ อาวุธลับก็พุ่งตรงเข้าใส่ชายคนนั้น

ชายคนนั้นร่วงตกลงพื้นไปทันที

แต่เขาไม่ถึงตาย ยกมือขึ้นกุมที่หัวใจค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้าๆ กวาดสายตามองไปรอบทิศ พบว่าไม่มีใครอยู่ จึงคิดจะเหาะหนีไปอีกครั้ง

แต่ทว่า······

“พลั่ก…”

ทันทีที่เขาเหินขึ้นจากพื้น เขาก็ร่วงตกลงไปอีกครั้ง

เย่หลีเฉินเห็นว่าชายคนนั้นเหินบินไม่ไหว จึงหันมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าสับสนงุนงงทันที แต่กลับไม่เห็นเงาใครเลยแม้เพียงครึ่งคน

คนที่แอบช่วยเหลือผู้นี้ เป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกันแน่ ?

เมื่อชายคนนั้นร่วงตกลงพื้นไปอีกครั้ง เขาจึงมองไปรอบๆด้วยความตื่นตระหนก ในดวงตาอัดแน่นไปด้วยความระแวดระวัง ตื่นตัวเต็มที่

เขารู้ว่า คนที่ลอบทำร้ายเขามีวรยุทธที่สูงมาก เขาไม่ใช่คู่มือของคนผู้นี้

ดังนั้นจึงรีบร้องตะโกนด้วยเสียงดังก้องทันทีว่า:

“เจ้าเป็นใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้! รีบโผล่หัวออกมา! ”

เมื่อสิ้นเสียงของเขา

เสียงหัวเราะที่น่าหลงใหลดังขึ้นอย่างช้าๆ เสียงนั้นไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป แต่กลับแทรกซึมเข้าไปในใจ ทำให้ผู้คนรู้สึกวูบโหวงว่างเปล่า ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความตายไปทุกขณะ

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …… ”

“เรียกเสียงดังขนาดนั้นไปทำไมกัน? อย่างไรก็ประหยัดพลังงาน เก็บเอาไว้ไปรับการพิจารณาโทษที่นรกขุมที่สิบแปดจากท่านยมราชจะดีกว่า!”

ทันทีที่สิ้นเสียงอันทรงเสน่ห์นั้น

ก็ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งในชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่ เดินออกมาให้เห็นแก่สายตา

ผมยาวดำขลับ ราวความมืดมิดยามราตรีเจือด้วยน้ำหมึกเข้มข้น ถูกม้วนขึ้นสูง รัดด้วยกวานหยกรวบไว้ด้านหลัง ลาดเอียงลงไปด้านหนึ่ง เครื่องหน้าทั้งห้างดงามลงตัว ทำให้ใครที่ได้เห็นแม้เพียงครั้ง ล้วนต้องประทับใจจนไม่อาจลืมเลือนได้ลง

หลังจากเย่หลีเฉินได้เห็นเข้า

อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนผงะ!

เป็นนางนั่นเอง – เทพธิดา!

เหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้?

แม้ชายคนนั้นจะบินไม่ได้แล้ว แต่ยังรอโอกาสที่จะหาทางหลบหนีให้ได้ หลังจากเห็นหลานเยาเยาก็หรี่ตาลงอย่างดุร้าย

คาดไม่ถึงว่าแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะมีกลิ่นไอที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ความรู้สึกนี้ ช่างเหมือนกับหลานเยาเยาเมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด

เพียงแต่ว่า……

หลานเยาเยาตายไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงที่แต่งกายด้วยชุดผู้ชายตรงหน้าผู้นี้ มีแววตาที่คมกริบ แผ่กลิ่นไอที่ทำให้คนหวาดกลัว ราวกับว่าเพียงนางขมวดคิ้วหรือแย้มยิ้ม ก็ล้วนเผยให้เห็นความชิงชัง เบื่อหน่ายต่อโลกใบนี้ จนอยากเข่นฆ่าสังหารคนให้หมดสิ้น

“นี่เจ้าคือใครกันแน่!?”

“โองการแห่งฟ้า อวยพรทวยราษฎร์” ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเทพธิดา ไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักคำโปรยอันเลื่องลือนี้หรอกกระมัง?

เป็นดังที่คิดจริงๆ!

นางเอ่ยพูดขึ้นมาเพียงแปดคำ คนคนนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว น้ำเสียงยามเอ่ยออกมาก็สั่นเทาจนรู้สึกได้

“เจ้าคือเทพธิดา”

“เป็นคนมีชื่อเสียงนี่มันดีจริง ๆ หนอ แค่บอกใบ้คำโปรยนิดหน่อย คนก็รู้กันหมดแล้ว ว่ามาเถอะ! เจ้าอยากตายอย่างไร?”

หลานเยาเยายื่นมือออกมา เกี่ยวเส้นผมที่ระตกอยู่บนหน้าอกของตน มาพันเล่นรอบปลายนิ้ว จากนั้นจึงยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ที่เพียงพอจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่กลับแผ่รังสีสังหารออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ข้ากับเจ้าไม่มีบุญคุณความแค้นใดต่อกัน เหตุใดเจ้าจึงไม่ปล่อยข้าไปสักครั้งล่ะ”

“เทพธิดาเช่นข้าไม่ได้พูดไว้หรอกหรือ? อวยพรทวยราษฎร์นั้น เป็นพรที่มีไว้เพื่อประโยชน์สุขของประชาราษฎร์ทั้งปวง เจ้าคือบ่อนทำลายที่ทำร้ายประชาชนตาดำๆ ด้วยเหตุนี้จึงยากจะรอดพ้นความไปได้ ”

เหตุผลในการสังหารคนข้อนี้ทั้งยิ่งใหญ่และสูงส่งยิ่งนัก

เหมาะสมกับตัวตนในฐานะเทพธิดาของนางอย่างมาก

“อวยพรทวยราษฎร์ ? ทำเป็นพูดจาสร้างภาพลักษณ์เสียดูดี แต่จริงๆแล้วก็แค่เอามาใช้เป็นข้ออ้าง ปลอบประโลมพวกชาวบ้านหน้าโง่ทั้งหลายก็เท่านั้นแหล่ะ โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าก็เหมือนกับข้าไม่ใช่หรือ? มือเจ้ามันก็อาบเปื้อนไปด้วยเลือดไม่ต่างจากข้าตั้งนานแล้ว”

ต่างก็สองมืออาบเปื้อนไปด้วยเลือดกันทั้งคู่ ไม่มีใครประเสริฐไปกว่าใคร สักเท่าไรหรอกกระมัง?

หลานเยาเยาได้ฟังคำ ก็เผยรอยยิ้มอย่างยั่วเย้า

“ เจ้าก็พูดได้ถูกต้องจริงๆนั่นล่ะ แม้ว่าจะพูดจาเสียสวยหรู แต่ความเป็นจริง ผลมันก็เหมือนกันอยู่วันยังค่ำ

แม้ว่ามือของเทพธิดาเช่นข้าจะเปื้อนเลือดเลือด แต่ว่าเลือดเหล่านั้น ต่างก็เป็นเลือดสกปรก ทั้งสิ้น จะเปื้อนสักหน่อยมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

เจ้าว่าจริงหรือไม่?”

ในชาติก่อนหน้านี้ นางเป็นหมอทหารของหน่วยรบพิเศษ นางทั้งฆ่าคนและช่วยชีวิตผู้คน

ในชาตินี้ นางก็ยังฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน แล้วก็ช่วยชีวิตผู้คนมากมายมหาศาลอีกเช่นกัน

ความหมายเหมือนกันแต่คุณค่ากลับต่างกัน นางเข่นฆ่าคนชั่วที่ก่อกรรมทำเข็ญ และช่วยชีวิตคนดีที่ไม่สมควรตาย

“เจ้าคิดว่าข้าจะนั่งรอความตายอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของชายคนนั้น ฉายแววโหดเหี้ยมมืดทะมึน

“แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว แต่เจ้าไร้หนทางจะทำอะไรได้”

หลานเยาเยายกยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ แฝงความหมายบางอย่างที่ลึกซึ้ง

หลังจากนั้น!

หลานเยาเยายกเท้าขึ้น ก้าวเดินทีละก้าวตรงเข้ามา ชายคนนั้นคิดว่า นางจะเข้ามาฆ่าเขาแน่แล้ว เขาจึงก้าวถอยหลังหนีไปทีละก้าวเช่นกัน …

กลับคาดไม่ถึงว่า หลังจากที่หลานเยาเยาเดินมาถึงข้างตัวเขา กลับไม่ได้ลงมือทำอะไร เพียงเดินผ่านเฉียดไหล่เขาไป ตรงไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเย่หลีเฉิน

“ องค์ชายรัชทายาทยังไหวไหม?”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณเทพธิดาที่ช่วยเหลือ”

เย่หลีเฉินประสานมือกำหมัดคำนับ แสดงท่าทางขอบคุณ แต่ในขณะที่เพิ่งสิ้นเสียง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก

“ ระวังข้างหลัง!”

แต่ทว่า!

การร้องเตือนของเขา ไม่มีความหมายโดยสิ้นเชิง เพราะหลานเยาเยาทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน นางไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยซ้ำ เพียงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเท่านั้น

เงาร่างของชายที่อยู่ข้างหลังนาง พลันเคลื่อนไหวเข้ามา เขาตัดสินใจสังหารนางในดาบเดียว

ในพริบตา กลับเกิดเรื่องที่น่าเหลือเชื่อขึ้น

“ อ๊ะ … อั๊ก … ”

“ แค่ก แค่ก แค่ก … ”

ดาบในมือยังไม่ทันฟันลงมา ชายคนนั้น ก็ล้มลงกับพื้นอาเจียนเป็นเลือด ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

“อะ … เจ้าทำอะไรกับข้า?”

ชายคนนั้นตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

เทพธิดารู้ทั้งรู้ว่าเขาคิดจะฆ่านาง ไม่ต้องพูดถึงการหันกายเพื่อหลบการโจมตี แม้แต่หันหน้ากลับมามอง นางก็ยังไม่หันด้วยซ้ำ หรือจะพูดง่ายๆก็คือ นางไม่ได้สนใจว่าเขาจะลอบโจมตีหรือไม่ตั้งแต่แรกแล้ว

หลานเยาเยาผู้ซึ่งรอยยิ้มค่อยๆเลือนหายไป ไม่ได้มองไปที่ชายคนนั้น ทั้งยังขี้เกียจจะตอบคำถามของเขา ยังคงมองตรงไปที่เย่หลีเฉิน

“เจ้าทำได้อย่างไรกันน่ะ?” เย่หลีเฉินถามอย่างฉงนสงสัย

หลังจากหายกังวล สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความสงสัยแล้ว

“ง่ายมาก ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ!”

“ อะไรนะ” เขารู้สึกเหลือเชื่อ

ในระหว่างที่คนคนนั้นลอบโจมตีนาง เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่านางไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวใดๆเลย นางชิงลงมือก่อนได้อย่างไรกันนะ?

จะเป็นไปได้ไหมว่า ทักษะฝีมือของเทพธิดา มาถึงขั้นที่เขามองไม่ออกแล้ว?

“รู้ไหมว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้เขาถึงบินไม่ได้ ? นั่นก็เป็นเพราะ ข้าแอบลงมือในที่ลับอย่างไรล่ะ”

หลานเยาเยาเอ่ยไปพลางค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้เย่หลีเฉิน เอื้อมมือออกไปแตะที่เอวของเขา ทำให้เขาเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“เอ่อ!” เรื่องพวกนี้ เขาก็รู้อยู่ เพียงแต่ตอนนี้เขารู้สึกไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง เป็นเพราะนางมีการเคลื่อนไหวที่ออกจะกะทันหันเกินไปสักหน่อย

“ เทพธิดา นี่เจ้า….