บทที่ 287 ความคิดคำนึงของเย่หลีเฉิน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 287 ความคิดคำนึงของเย่หลีเฉิน

“ หลานเยาเยาตายแล้ว? ทั้งยังตายไปสามปีแล้ว? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! ตายเสียได้ก็ดี! ตายเสียได้ก็ดี…… ”

“ นังสารเลวนั่น สมควรตายไปนานแล้ว เสียดายนัก ทำไมมันถึงไม่ตกตายในมือข้า?

ถ้าตายในมือข้าจะดีแค่ไหนนะ ข้าจะป่นกระดูกนางให้เป็นเถ้าถ่าน แล้วเอาไปโปรยทิ้ง ให้นางตายไปก็ต้องตายอย่างไม่สงบ…”

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …… ”

หลานเยาเยาที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูเพียงยิ้มจาง ๆ

กล่าวกันว่า สันดอนขุดได้ สันดานขุดยาก เช่นเดียวกับที่หมาไม่อาจเปลี่ยนนิสัยชอบกินอึได้

ถูกขังอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว ยังไม่รู้จักมีความยับยั้งชั่งใจอะไรเสียบ้าง คล้ายว่ายิ่งถูกขังก็ยิ่งโง่เขลาลงไปทุกทีอย่างไรอย่างนั้น

หากวันหนึ่งนางได้รู้ว่า ตนนี่แหล่ะคือหลานเยาเยา ดีไม่ดี นางอาจจะโกรธจนตายไปทั้งอย่างนั้นเลยก็เป็นได้นะ?

เฮ้อ!

ไม่เข้าใจจริงๆว่าหานแสเก็บนางไว้เพื่ออะไรกันแน่?

ไม่เปลืองอาหารแย่หรือนั่น?

หลังออกมาจากห้องที่ใช้ขังหลานชิวหยุนแล้ว หลานเยาเยาก็ขึ้นมาที่ดาดฟ้า มือทั้งสองคว้าจับราวบันได เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวที่ล่องลอยอยู่

จากนั้นจึงหลับตาลงอย่างเงียบๆ ปล่อยให้สายลมพัดมากระทบใบหน้า แสงแดดสาดส่อง

นางเริ่มจัดการจับต้นชนปลายลำดับความคิดที่อยู่ในหัว …..

สุดท้ายนางได้บทสรุปออกมาข้อหนึ่ง ทำให้นางพลันลืมตาโพลงขึ้นทันที

ในใจก็กระจ่างชัดแจ่มใสขึ้นมาโดยพลัน

ใช่แล้ว

พิณ!

พูดให้ถูกก็คือ พิณกู่ฉินจื่อหลิง ที่ปรากฏท่ามกลางสายตาชาวโลก ชื่อที่แท้จริงของมันควรจะเป็น จิ่วเซียวหวงเพ่ย

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะจิ่วเซียวหวงเพ่ย ก็หวังว่าเรื่องทั้งหมด จะจบลงเพราะจิ่วซื่อหวงเพ่ยด้วยเช่นกัน

ในขณะนั้นเอง นางรู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง

เมื่อหันหน้าไปมอง ก็เห็นเงาร่างคุ้นๆร่างหนึ่ง เดินออกมาจากห้องส่วนตัวและตรงไปยังทางลงเรือด้วยอารมณ์โกรธเคือง

หลานเยาเยาหรี่ตาเล็กน้อย

เป็นเย่หลีเฉิน!

เขาเป็นอะไรไปหรือ?

ดูสีหน้าท่าทางแล้วย่ำแย่น่าดู!

หลังจากนั้น ห้องส่วนตัวที่เขาเพิ่งออกมาเมื่อครู่ ก็มีคนอีกสามคนเดินออกมา มีชายสองคนแต่งกายในชุดองครักษ์ที่ดูแข็งแรง ทะมัดทะแมง น่าจะเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเย่หลีเฉิน

พวกเขาสองคนลากชายคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้วมาด้วย เดินตามหลังเย่หลีเฉินออกไปอย่างรวดเร็ว

มองดูพวกเขาเดินดุ่มๆ ไม่หยุดไปตลอดทาง กระทั่งพวกเขาลงจากเรือไปทั้งอย่างนั้น

หลานเยาเยาพอจะรู้ว่าคนที่ เย่หลีเฉิน จับไว้คนนั้น ไม่ใช่คนจากเรือแห่งความสิ้นหวัง

เพียงแต่……

เรื่องอะไรที่ทำให้เขาโกรธได้ขนาดนั้นกันล่ะ?

นางรู้สึกสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย!

และเหตุผลที่นางต้องสงสัยก็เป็นเพราะว่า เย่หลีเฉินคนนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนของนางด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตหรือเรื่องเล็กน้อย นางก็ต้องเข้าใจทุกอย่างให้ชัดเจนกระจ่างที่สุด นางจึงลงจากเรือตามไป

……………………………..

รอบนอกเขตชานเมืองหลวง

ในป่าไม้เล็ก ๆ ที่มีวัชพืชขึ้นรก หนามเถาวัลย์พันเกี่ยวยุ่งเหยิง เศษใบไม้ทับถมมากมายแห่งหนึ่ง

เย่หลีเฉินในชุดคลุมยาว ยืนหันหลังเชิดหน้ายืดอกอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ สองมือเปล่าไขว้หลัง ที่ด้านหลังเขามีคนสามคนยืนอยู่

องครักษ์สองคน และชายคนหนึ่งที่กำลังคุกเข่าร่ำร้องวิงวอนขอความเมตตาอยู่ที่พื้น

“องค์ชายรัชทายาทโปรดทรงละเว้นข้าด้วยเถิด! องค์ชายรัชทายาทโปรดทรงละเว้นข้าด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ทุกสิ่งที่ผ่านมา ล้วนเป็นพระประสงค์ของฮองเฮา ข้าน้อยเพียงรับพระบัญชามาปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ขอองค์ชายรัชทายาททรงเมตตา เห็นแก่พระเกียรติแต่หนหลังของฮองเฮา ทรงละเว้นข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

“ ตึง ตึง ตึง….. ”

เสียงโขกศีรษะคำนับหนักๆ ดังเข้ามาให้ได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่า

ชายในชุดคลุมจีนคนนั้น ร้องขอความเมตตาไปพลาง ก็โขกหัวคำนับกับพื้นหนักๆไปพลาง ที่หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเลือด และตะกอนฝุ่นดิน แต่เขาก็ยังคงโขกหัวคำนับอย่างไม่คิดชีวิตอยู่เช่นนั้น

“พอแล้ว!”

เย่หลีเฉินสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว หันกายกลับมา จ้องมองเขาอย่างเย็นชา

“ เมื่อสามปีก่อน เสด็จแม่สั่งให้เจ้าไปชิงเอาตัวจาวหยางมา แต่ไม่ได้ให้เจ้าไปใส่ร้ายหลานเยาเยา ยังมีพวกมือสังหารที่ลอบสังหารนางอีก หรือจะบอกว่าทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นพระประสงค์ของเสด็จแม่ ? ตัวเจ้าเอง ไม่มีความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเลยอย่างนั้นหรือ?”

สามปีก่อน เขาไม่อยากถูกเสด็จพ่อระแวงสงสัย เขาแค่อยากเป็น องค์ชายที่โง่เขลาไร้เดียงสาผู้หนึ่ง แค่อยากกำจัดปัดเรื่องยุ่งยากทุกอย่างในโลกนี้ออกไปให้พ้นๆตัว

ดังนั้น ……

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนมันกะทันหันเกินไป

มีเรื่องราวมากมายที่เขาไม่รู้

แต่ทว่า!

เสด็จแม่สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ทั้งยังสิ้นพระชนม์ ภายใต้โทษทัณฑ์การก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงเสื่อมเสียพระเกียรติอย่างถึงที่สุด

เดิมทีคิดอยู่ว่าเมื่อเสด็จแม่สิ้นพระชนม์แล้ว เขาไม่มีคนคอยสนับสนุน ประคับประคองอีกต่อไป เสด็จพ่อที่เกลียดชังเขามาโดยตลอด จะปลดเขาออกจากตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เสด็จพ่อจึงไม่ทรงทำเช่นนั้น

เขาจึงเริ่มสืบหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของเสด็จแม่

และเพราะเหตุนี้ เขาจึงค่อยๆค้นพบว่า ใบหน้าที่แท้จริงของเสด็จแม่ ไม่ได้เปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่เมตตาอย่างที่เขาคิด

อีกทั้งหลานเยาเยาที่เขาเคยรังเกียจเดียดฉันท์มาตลอดนั้น กลับไม่ใช่หลานเยาเยา ที่อ่อนแอขี้ขลาดคนนั้นอีกต่อไปแล้ว…….

นางรุ่งโรจน์เรืองรองถึงเพียงนั้น งดงามเฉิดฉายแทบล่มบ้านล่มเมือง กระทั่งเสด็จอาผู้เมินเฉยต่อทุกสิ่ง ก็ยังต้องยอมสยบให้กับนาง

เขาเองก็อยากจะลองพยายามเข้าใจนางด้วยเช่นกัน

แต่แล้วจู่ๆ กลับต้องมาได้ยินข่าวการตายของนาง ทำเอาตัวเขารับมือไม่ทัน

เขารู้สึกว่าสิ่งนี้ต้องไม่ใช่เรื่องจริง หลานเยาเยาไม่มีทางตายไปง่ายๆทั้งแบบนี้แน่

ดังนั้น !

เขาเอาแต่ครุ่นคิดวนเวียน ถึงเรื่องการตายของหลานเยาเยามาโดยตลอด

“องค์ชายรัชทายาท ขอโปรดทรงวินิจฉัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยจงรักษ์ภักดีต่อฮองเฮายิ่งชีพ พระบัญชาของฮองเฮายิ่งใหญ่เทียมฟ้า พระนางมีรับสั่งให้ข้าน้อยทำสิ่งใด ข้าน้อยล้วนน้อมรับพระบัญชาไปทำสิ่งนั้น หาไม่แล้ว ข้าน้อยมีแต่ต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝังเป็นแน่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่นึกถึงแววเนตร พระพักตร์ของฮองเฮา

ชายคนนั้นยังคงสั่นสะท้านอยู่ในใจ

ฮองเฮาลงมือโหดเหี้ยมไร้ปราณี ดุร้ายเสมือนวิญญาณพยาบาท หากจะลงมือเข่นฆ่าสังหารคนขึ้นมา ไม่ใช่เพียงลงดาบเดียวให้ตายไปง่ายๆ แล้วจบเรื่องไป

ก่อนอื่นนางจะจับเอาคนที่ไม่เชื่อฟัง รวมถึงคนที่นางเกลียดชังทั้งหลาย มาทรมานจนกว่าจะตายไปอย่างช้าๆ

“นอกจากนี้ องค์ชายรัชทายาทโปรดทรงเชื่อข้าเถิด หลานเยาเยา โอ้! ไม่สิ พระชายาเย่ นางไม่ใช่คนใจดี ไม่มีพิษภัยไร้เดียงสา อย่างที่ใบหน้านางแสดงออกอย่างนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ

ฮองเฮาเคยตรัสไว้ว่า นอกเหนือจากอ๋องเย่แล้ว นางเป็นคนที่รับมือยากที่สุด ดังนั้น ฮองเฮาจึงต้องการจะกำจัดนางอยู่เสมอมา ”

“ แต่นางตายแล้ว !เจ้าเข้าใจไหม ? นางตายแล้ว! ”

เย่หลีเฉินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อข่มกลั้นอารมณ์ของตนเอง นึกถึงแววตาที่ครั้งหนึ่ง หลานเยาเยาเคยจ้องมองเขาอย่างหลงใหล กลับค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเป็นเฉยเมย ขยะแขยง และเยาะเย้ยถากถาง …

ภายในใจของเขาได้แต่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจ อึดอัดจนบางครั้งถึงกับหายใจไม่ออก

“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเข้าใจ ขอเพียงพระองค์ โปรดทรงพระราชทานอภัยโทษให้ข้าน้อย ข้าน้อยขอสาบานว่า จะแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต จะกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ชายคนนั้นโขกหัวคำนับอย่างแรง แต่ขณะเดียวกัน ก็แอบสังเกตสีหน้าของเย่หลีเฉินอย่างเงียบๆไปด้วย

“กลับตัวเป็นคนใหม่ ? เจ้าจะกลับตัวใหม่อย่างไรหรือ ? เจ้าคือคนที่เสด็จพ่อทรงมีพระราชโองการให้จับกุมด้วยพระองค์เอง ถูกตัดสินโทษตาย ในความผิดฐานก่ออาชญากรรมร้ายแรง พบเจอที่ไหนฆ่าได้ทันที

เจ้าหนีมาสามปีแล้ว หากเจ้าต้องการกลับตัวกลับใจเป็นดีจริงๆ เหตุใดไม่หนีออกจากเมืองหลวงไป? เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียล่ะ?

ดูเสื้อผ้าแพรไหมที่งดงามของเจ้าเหล่านี้ เจ้าสามารถเข้าออกภัตตาคารระดับสูง ทั้งยังสามารถเข้าเรือแห่งความสิ้นหวังได้ ข้าได้ตรวจสอบที่พำนักในตอนนี้ของเจ้าแล้ว เจ้าใช้ชีวิตได้เฉื่อยชาหรูหราสบายอารมณ์ยิ่ง

สามปีก่อน หลังจากเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ ตอนที่เจ้าหนีออกจากวังมา เจ้าคงได้ของดีๆมากมายจากตำหนักบรรทมของเสด็จแม่ ติดไม้ติดมือมาไม่น้อยเลยล่ะสินะ?

เสื้อผ้าอาหารชั้นดี กินหรูอยู่สบายมาสามปี ก็น่าจะเพียงพอกับการใช้ชีวิตของเจ้าแล้วกระมัง มือของเจ้าเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์มากมายนับไม่ถ้วน ข้าไม่ฆ่าเจ้า แต่อย่างไรก็ต้องจับกุมเจ้ากลับไป ”

เย่หลีเฉินไม่ได้โง่

ในเมื่อเขาไม่ได้หลบหนีออกจากเมืองหลวง แต่กลับอาศัยอยู่ในเมืองหลวง อย่างปลอดภัยมั่นคงเช่นนี้ จะต้องมีอะไรที่มากกว่าเพื่อซึมซับความสุขในชีวิตเป็นแน่

ในสามปีที่ผ่านมา เขาต้องทำเรื่องชั่วช้าที่ไม่อาจให้ผู้คนล่วงรู้มาไม่น้อยอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น เขาไม่มีทางปล่อยให้ชายคนนี้หนีไป

ชายที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น หลังจากได้ยินคำพูดที่เด็ดขาดนั้นแล้ว หัวของเขาที่เดิมทีค้อมคำนับอยู่บนพื้นก็หยุดเคลื่อนไหวไปทันที ..