นี่มันเกี่ยวกับอะไรกับการที่เขาจะชอบไม่ชอบกัน?!
ประเด็นสำคัญคือ ของสิ่งนี้นั้นมันหรูหราแต่ทว่าไม่แท้จริง แหลมคมและยาวมากไม่พอ ทั้งยังหักง่ายอีกด้วย ที่นิ้วของเธอก็ยังช้ำอีก หรือว่านี่จะไม่เจ็บหรือไง?
หยานชิงเจ๋อยิ่งดู ก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตา เขาปล่อยเธอ หลังจากนั้นก็เดินไปอีกทาง ก่อนจะหยิบกรรไกรตัดเล็บแล้วเดินกลับเข้ามาหาแล้ว “ตัดออกให้หมด!”
ซูสือจิ่นสบตามองเล็บของตนเองที่ใช้เวลาทำไปกว่าสี่ชั่วโมง รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “เหลือไว้สักเล็บหนึ่งก็ไม่ได้หรือคะ?”
ถ้าหากว่าตัดสั้นแล้ว ดอกไม้ด้านบนก็จะดูไม่สวยแล้ว ทำลายความรู้สึกสวยงามทั้งหมด รูปร่างอะไรก็จะไม่มีเหลือแล้ว
“เหลือไว้ไม่ได้” ระหว่างคิ้วของหยานชิงเจ๋อขมวดติดกันแน่น น้ำเสียงเด็ดขาดเป็นอย่างมาก
“ค่ะ” ซูสือจิ่นไร้ทางเลือก ทำได้เพียงแค่หยิบกรรไกรตัดเล็กมาตัดทีละเล็บจนหมด
เธอนำเศษเล็บที่ถูกตัดออกไปแล้วไปทิ้งในถังขยะ ก่อนจะหันไปมองหยานชิงเจ๋อด้วยท่าทางเสียดายเล็กน้อย
นิ้วของเขายังคงสารวนอยู่กับเล็บที่ได้รับบาดเจ็บของเธออยู่ ก่อนจะออกคำสั่งขึ้นมาอีกครั้งว่า “หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้ไว้เล็บแล้ว”
ซูสือจิ่นกัดริมฝีปาก รู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย แต่ทว่า ก็ยังทำได้เพียงแค่พยักหน้าหงึกหงักเท่านั้น
ประโยคนี้ถือว่าเป็นประโยคตัดบทไปแล้ว หยานชิงเจ๋อลากเก้าอี้ตัวเล็กมาให้เธอที่ข้างบานหน้าต่าง “ฉันจะไปต้มโจ๊ก”
“ค่ะ” ซูสือจิ่นพยักหน้า ก่อนจะมองหยานชิงเจ๋อที่เดินเข้าไปในห้องครัวแล้ว
เขาบอกว่าจะต้มโจ๊ก หรือว่าเขาจะต้มให้เธออย่างนั้นหรือ?
หยานชิงเจ๋อเข้าไปในห้องครัว จู่ ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าในบ้านเดิมไม่มีข้าวสารเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงหมุนกาย ก่อนจะหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจ “ฉันจะไปซื้อผัก”
ซูสือจิ่นพยักหน้าต่อ มองหยานชิงเจ๋อเดินออกจากประตูไป เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เธอจึงชะโงกศีรษะออกไปทางหน้าต่าง ก่อนจะรอให้เขาเดินออกมาจากชั้น
ในตอนที่หยานชิงเจ๋อเดินออกไปจากชั้นล่าง ถึงจะรับรู้ได้ว่า เขานั้นแม้กระทั่งเสื้อโค้ตก็ยังลืมใส่ออกมาด้วย!
เขานวดคลึงเข้าที่ข้างขมับของตนเองอย่างหงุดหงิด อีกทั้งก็ยังคร้านเกินกว่าจะกลับไปเอาแล้ว ดังนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังร้านค้าที่อยู่ในเขตเล็กทันที
ราวกับว่า วันนี้ตั้งแต่ที่เขาลุกจากเตียงมานั้นก็ยังคงเสียอาการและไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องเมื่อคืนวาน เขาไม่ได้เอ่ยถึง เธอเองก็ไม่ได้เอ่ยถึง แต่ทว่า ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังคงรู้สึกกระดากกระเดื่อง ดังนั้นแล้ว ตอนเช้ามาจึงทำอะไรผิด ๆ ถูก ๆ ไปหมด ใจลอยไม่เป็นตัวของตนเอง
แม้กระทั่งไปซื้อของที่ร้านค้า เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าจ่ายเงินไปแล้ว แต่ทว่ากลับไม่ได้เอาของกลับมาด้วยก็ไปเสียแล้ว จนกระทั่งคุณป้าที่อยู่ในร้านค้าต้องเรียกหยุดเขาเอาไว้
หยานชิงเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง กดข่มความคิดวุ่นวายในสมอง ก่อนจะเดินผ่านที่เขตเล็กนั้นมาครึ่งทาง และกลับเข้าตึกของตนเอง
ซูสือจิ่นสบตามองเขาจากบนตึกโดยตลอด ดังนั้นแล้ว ในตอนที่เขาสวมใส่เพียงแค่ชุดอยู่บ้านธรรมดา ๆ ตัวเดียวออกไปแล้วนั้น เธอจึงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยขึ้นมา
จะบอกว่า เมื่อวานพวกเขาใกล้ชิดกัน เธอก็อาจจะสามารถแพร่เชื้อใส่เขาได้ วันนี้เขาก็ดันสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นอีก ไม่ได้จะเป็นหวัดใช่ไหม?
ดังนั้นแล้ว ในตอนที่หยานชิงเจ๋อเดินเข้ามาในประตู ซูสือจิ่นก็รับหมุนตัวกลับไป ก่อนจะเอ่ยกับเขาว่า “หนาวหรือเปล่าคะ? ทานยาต้านหวัดเอาไว้สักหน่อยไหมคะ?”
บอกว่าไม่หนาวก็จะเป็นการโกหก แต่ทว่า หยานชิงเจ๋อนั้นก็ยังคงทำการแสดง ‘การโกหก’ นี้ต่อไปแล้วแสดงต่อไปจนถึงที่สุด
เขาส่ายหน้า “ไม่หนาว ไม่ต้องหรอก”
พูดจบ ก็เดินเข้าไปในครัวแล้ว ก่อนที่บนมือจะแปะเขากับเครื่องทำความร้อนอยู่ครู่หนึ่ง
รอให้มือไม่ได้แข็งมากขนาดนั้นแล้ว หยานชิงเจ๋อถึงจะเริ่มซาวข้าวต้มโจ๊ก
คุณหมอเฉินบอกว่าซูสือจิ่นเป็นเพราะว่าเป็นหวัดจึงทำให้กระเพาะไม่ค่อยดีนักมาก ดังนั้นแล้วควรที่จะรับประทานโจ๊กข้าวอะไรพวกนั้นเพื่อบำรุงกระเพาะ
เขาต้มโจ๊กข้าวเสร็จแล้ว ก่อนจะอุ่นแกงอีกอย่างหนึ่ง ในตอนที่กำลังจะออกไปแล้วนั้นแล้ว ก็มองเห็นซูสือจิ่นที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “เธอมาได้อย่างไรน่ะ?”
ซูสือจิ่นเห็นว่าหยานชิงเจ๋อหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ราวกับว่าไม่ได้ประจันหน้ากับเธอโดยตรงอะไรเลย อีกทั้งตอนนี้ในตอนที่เธอกำลังพูดคุยอยู่ สายตาของเขาเองก็ดูที่จะไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย ความคิดกล้าหาญบางอย่างนั้นตีตื้นขึ้นในหัวใจของเธอทันที
หรือว่า เขากำลังเขินอาย?!
เมื่อมีความคิดนี้ตีขึ้นมาแล้ว ซูสือจิ่นก็เริ่มสำรวจสีหน้าของหยานชิงเจ๋อทันที หลังจากนั้น ก็เริ่มทดสอบดู
เธอก้มศีรษะสบตามองปลายเล็บเท้าของตนเอง “ฉันกำลังคิดว่าพี่ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า……”
“กลับไป ไม่ต้องให้เธอช่วย” หยานชิงเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “อาหารเช้าเสร็จแล้วฉันจะเรียกเธอเอง”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ!” ซูสือจิ่นยกยิ้มกว้าง หมุนตัวด้วยเท้าเพียงข้างเดียว แต่ทว่า กลับแสร้งทำเป็นชนเข้ากับอะไรตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียง ‘อ๊ะ’ ออกมาครั้งหนึ่ง
หยานชิงเจ๋อรับวางของในมือแล้วพุ่งเข้ามาในทันที ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นโดยไม่พูดไม่จาอะไรเลย “อย่าวิ่งไปมั่ว”
หัวใจของซูสือจิ่นเต็มไปด้วยความปีติ ก่อนจะยื่นมือออกไปโอบล้อมลำคอของหยานชิงเจ๋อเอาไว้ หลังจากนั้นก็แสร้งทำเป็นรู้สึกไม่ดี “อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย เวียนหัวจังค่ะ……”
สายตาของเขามองตรงไปทางด้านหน้า “อีกเดี๋ยวข้าวก็จะเสร็จแล้ว”
“อื้อ” ซูสือจิ่นพยักหน้า ก่อนจะเอนศีรษะอิงเข้ากับไหล่ของหยานชิงเจ๋อ หลังจากนั้น ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ แล้วหายใจเป่าลมร้อนเข้าที่ลำคอของเขาไปหนึ่งที
จู่ ๆ มีเพียงแค่ท่าทางของหยานชิงเจ๋อที่กำลังอุ้มเธออยู่นั้นแข็งค้างไปครู่หนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้น เขาก็รีบสาวเท้าเร็วเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ในตอนที่ซูสือจิ่นกำลังมีความสุขอยู่นั้นเอง ก็เห็นรอยริ้วแดง ๆ เส้นหนึ่ง มันปรากฏตัวขึ้นจากลำคอของหยานชิงเจ๋อ ก่อนจะค่อย ๆ ลามไปถึงใบหูของเขาทีละเล็กทีละน้อย ไม่นานนัก แม้กระทั่งที่ปลายหูก็แดงก่ำขึ้นมาเสียแล้ว
เขาเขินอายมาโดยตลอดจริง ๆ สินะ!
ตั้งแต่ตื่นนอนจนมาถึงตอนนี้ก็เขินอายมาโดยตลอด!
ซูสือจิ่นกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงหัวเราะออกมา
หยานชิงเจ๋อก้มหน้าลงไปมองเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้ว “หัวเราะอะไร?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” ซูสือจิ่นส่ายหน้า แต่ทว่าสีหน้านั้นเต็มไปด้วยความปีติ
หยานชิงเจ๋ออุ้มซูสือจิ่นมาวางลงบนเตียงกว้าง เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะจากไปแล้ว สายตาของซูสือจิ่นสั่นไหวในทันที ก่อนจะแสร้งทำเป็นมีความสงสัยไม่หาย “นี่ เมื่อวานฉันนอนบนเตียงนี้หรือคะ?”
ปลายนิ้วของหยานชิงเจ๋อกระตุกเบา ๆ ในทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ก่อนจะส่งเสียงออกมาครั้งหนึ่งว่า “อืม”
“อ๋อ เมื่อคืนวานฉันอาบน้ำเสร็จแล้วก็ไข้ขึ้นนี่นะ ก็เลยจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว……” ซูสือจิ่นเอ่ย
ร่างทั้งร่างของหยานชิงเจ๋อผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะหยักหน้าหงึกหงัก หลังจากนั้นก็ออกจากห้องนอนไปแล้ว
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว ซูสือจิ่นที่อยู่บนเตียงกว้างยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าขันเป็นอย่างมาก
ที่แท้ เธอก็แค่ไม่รู้ว่าควรที่จะประจันหน้ากับสิ่งนั้นอย่างไรก็เท่านั้นเอง แต่ทว่า เมื่อเห็นท่าทางของหยานชิงเจ๋อที่แสดงออกมาในตอนนี้แล้ว เธอกลับรู้สึกว่า เธอนั้นไม่รู้สึกกระดากกระเดื่องแล้ว
แม้กระทั่ง ถ้าหากว่าเขาพูดคำพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมา เธอเองก็จะสามารถทำเป็นไม่ใส่มันมากแล้วล่ะ ดังนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกำลังแสร้งทำเป็นปกปิดความทุกข์ภายในใจของเขาอยู่ก็ได้!
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ในแผนกสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาของโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของหนิงเฉิง ก็มีเสียงกรีดแหลมดังนั้นมาในทันที
หลานเล่อซินคว้าที่หูฟังตรวจวัดขึ้นมาจากบนโต๊ะแล้วปาลงที่พื้น “ฉันบอกแล้วไง ฉันปกติมาก ๆ เลยนะ พวกคุณถือสิทธิ์อะไรที่ขังฉันเอาไว้ในนี้ อีกทั้งยังขังฉันเอาไว้กับพวกประสาทกลุ่มนี้ด้วย!”
หมอไม่ได้สนใจเธอ ส่วนพยาบาลผู้ชายเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มที่จะก่อความวุ่นวายแล้ว ดังนั้น จึงเข้าไปหา แล้วจับหลานเล่อซินกดกลับเอาไว้บนเตียง
“ปล่อยฉัน!” หลานเล่อซินกรีดร้องเสียงดัง “พวกคุณคิดว่ายายผู้หญิงคนนั้นมีดีอะไรกัน? พวกคุณขังฉันเอาไว้แบบนี้ ไม่กลัวกฎหมายบ้านเมืองกันบ้างหรือไง?!”
ไม่มีใครสนใจเธอ ภายในตัวห้อง หมอหันไปเอ่ยกับพยาบาลว่า “ถ้าหากว่าอีกประเดี๋ยวเธอก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีก ก็ให้ฉีดยาให้สงบได้เลยนะ”
“ครับ” พยาบาลพยักหน้า ในตอนที่กำลังจะส่งหลานเล่อซินกลับเข้าห้องพักผู้ป่วยไปนั้นเอง ที่ประตู ก็มีคนเข้ามาเคาะประตูเสียแล้ว “คุณหมอหวังคะ ด้านนอกมีคนมาเยี่ยมหลานเล่อซินค่ะ นี่คือใบเข้าเยี่ยม”
หมอหวังสบตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ให้เขารออยู่ที่หน้าประตูก่อน”
ไม่นานนัก พยาบาลทั้งสองคนต่างก็หิ้วหลานเล่อซินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เดินไปที่โถงทางเดิน ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของห้องเยี่ยม
ในตอนที่หลานเล่อซินเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องเยี่ยมนั้นเอง สีหน้าของคนทั้งร่างก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
“ทำไมครับ คิดไม่ถึงว่าผมจะมาใช่ไหมครับ?” นัยน์ตาของชายหนุ่มเย็นยะเยือกขึ้นเล็กน้อย
หลานเล่อซินราวกับว่าไม่อยากที่จะสบตามองเขาต่อไปอีกแล้วก็ไม่ปาน “นายมาที่นี่ทำไม?! สี่ปีก่อนฉันไม่ได้พูดไปแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าหลังจากนี้จะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน?”
ชายหนุ่มสบตามองท่าทีของหญิงสาวที่พยายามตัดขาดความสัมพันธ์อย่างสุดกำลัง ก่อนจะเผยยิ้มเย็นออกมาครั้งหนึ่ง “ทำไมผมต้องมาดูคุณอย่างนั้นหรือ? นั่นก็เป็นเพราะว่าเด็กในท้องของคุณ เป็นลูกของผมไง?!”
หลานเล่อซินเบิกตากว้าง “นายพูดบ้าอะไรน่ะ?! นายยังไม่รีบออกไปอีก! เด็กในท้องของฉันเป็นลูกของสือมูเฉิน! นายอย่างมาใส่ความฉันนะ! ฉันจะคลอดเด็กออกมา แล้วก็จะให้เขาเป็นคนรับรอง เพื่อเป็นหลักประกันกับตัวฉันเอง!”
“ฮ่า ๆ!” ชายหนุ่มพิจารณาหลานเล่อซินขึ้นลงหนึ่งรอบ หลังจากนั้น นัยน์ตาจึงแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่ลุ่มลึกขึ้นมาหลายส่วน “อันที่จริงแล้วในปีนั้น ผมเองก็ยังชอบคุณมากเลยนะ! แต่ว่านะหลานเล่อซิน คุณทำผมผิดหวังมากเลย……”
“นายกำลังพูดพล่ามอะไรอยู่?!” หลานเล่อซินลุกขึ้นยืน “ฉันไม่อยากจะเห็นหน้านายแล้ว!”
ชายหนุ่มนั้นราวกับว่ากำลังจมอยู่ในห้วงของวันวานอย่างฉุดไม่อยู่ “ห้าปีก่อน คุณเองนะที่เป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าออกก่อน สือมูเฉินเองก็ปฏิเสธคุณไปแล้ว คุณเพื่อที่จะรับประกันเพื่อเป็นหลักฐานของเสน่ห์ตัวเอง ก็เลยทำกับผม……”
“อย่าพูดอีกนะ!” ทรวงอกของหลานเล่อซินกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง “ตอนแรกนายไม่ควร——” มิฉะนั้น เธอจะสูญเสียสือมูเฉินไปได้อย่างไร?!
ในปีนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็ตาม สือมูเฉินเองก็ไม่ได้คล้อยตามโดยง่าย หัวใจของเธอนั้นแตกเป็นจุณ หลังจากที่กลับบ้านไป ก็เลยเรียกให้เมิ่งเฉินหยางคนนี้ไปรับเธอ
เมิ่งเฉินหยางเป็นคนขับรถของตระกูลหลาน อ่อนเยาว์ อีกทั้งก็ยังมีหน้าตาที่ถือว่ารูปงาม ก่อนหน้านี้มักจะส่งสัญญาณลับ ๆ แก่เธอมาโดยตลอด แต่ทว่า ไม่ว่าจะพูดถึงฐานะชาติตระกูลอย่างไร เมิ่งเฉินหยางนั้นจะไปเทียบกับสือมูเฉินได้อย่างไรกันล่ะ?
ดังนั้น เป็นเธอที่เป็นฝ่ายปฏิเสธมาโดยตลอด
แต่ทว่าวันนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเมาเหล้า หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอต้องการอยากที่จะหาหลักฐานมารับประกัน ดังนั้นแล้ว ในระหว่างที่ทางเมิ่งเฉินหยางขับรถกลับไปส่งเธอนั้นเอง……
เธอในตอนนั้นคิดอยากที่จะอ้วก เขาเห็นเช่นนั้นแล้วจังจอดรถเอาไว้ที่ข้างทางเงียบสงบที่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พยุงเธอลงจากรถไปอ้วก
หลังจากที่เธออ้วกเสร็จแล้ว เขาพาเธอกลับไปขึ้นรถ หลังจากนั้นมือก็เริ่มสัมผัสเข้าที่ต้นขาของเธอเข้าให้แล้ว
เธอไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งยังเป็นการยอมรับอย่างกลาย ๆ ด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงปรับเบาะที่นั่งข้างคนขับลง หลังจากนั้นก็เกิดความสัมพันธ์กับเธอขึ้น
เธอในตอนนั้นเองก็เป็นครั้งแรก หลังจากที่เสร็จเรื่องแล้วก็รู้สึกผิดในภายหลังเล็กน้อย แต่ทว่า กลับไม่เท่าความเยือกเย็นของสือมูเฉินที่มีต่อเธอเลย
ดังนั้นเอง หลังจากนั้นในทุกครั้งที่เมิ่งเฉินหยางนัดเธอ เธอก็ล้วนแล้วแต่ไม่ปฏิเสธ
พวกเขาทำกันในรถ ที่ข้างถนนสาธารณะ แม้กระทั่งในห้องอาหารในร้านอาหารก็ด้วย จนกระทั่ง การแต่งงานของเธอกับสือมูเฉินนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
ในตอนที่กำลังตระเตรียมงานหมั้นนั้นเอง เธอไปโรงพยาบาลเพื่อที่จะทำการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมช่องคลอด แต่ทว่าหลังจากที่ได้รับการตรวจแล้ว กลับค้นพบว่าตนเองนั้นตั้งครรภ์!
นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดฝันมากเลยจริง ๆ แต่ทว่า ในตอนนั้นเองเธอก็ตัดสินใจเอาไว้อย่างรวดเร็ว ว่าจะยุติการตั้งครรภ์
เพียงแต่ หมอในโรงพยาบาลนั้นกลับรู้จักกับเมิ่งเฉินหยาง แล้วก็รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเมิ่งเฉินหยางด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงรายงานภาพอัลตร้าซาวด์ให้แก่เมิ่งเฉินหยางได้รับรู้
ดังนั้นแล้ว เขาจึงรีบไปก่อนหน้าที่เธอจะได้รับการผ่าตัด นำผลรายงานการตรวจของเธอ ก่อนจะบีบบังคับให้เธออย่าส่งเสียงแล้วยอมไปต่างประเทศเพื่อจากสือมูเฉินไปแต่โดยดี
เพียงแต่ ที่พวกเขานึกไม่ถึงเลยนั่นก็คือ หลังจากที่หลานเล่อซินไปต่างประเทศแล้ว เป็นเพราะว่าทานยาผิดไปจนทำให้ท้องเสียไปครั้งหนึ่ง ดังนั้นเด็กจึงเสียชีวิตในครรภ์
หลังจากนั้น เธอกับเมิ่งเฉินหยางก็ตัดขาดกัน บอกว่าหลังจากนี้ก็ทางใครทางมัน อย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย
แต่ทว่าตอนนี้ เขากลับกล้าที่จะบอกอีกว่าเด็กในท้องคนนี้เป็นลูกของเขาอีกเนี่ยนะ!
“เล่อซิน อย่างไรก็ตามพวกเราก็เป็นสามีภรรยากันนะ” เมิ่งเฉินหยางเอ่ย “ถึงแม้ว่าตอนนี้ ผมนั้นจะไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อคุณเลยก็ตาม แต่ทว่า ผมเองก็ยังหวังว่าคุณจะไม่เป็นแบบนี้นะครับ สือมูเฉินไม่ได้รักคุณ อีกอย่าง วันนั้นหลังจากที่พวกคุณถูกวางยาไปแล้ว ผมก็ถือว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ในเหตุการณ์ที่คุณถูกโยนออกมาจากห้อง……”