ตอนที่ 303 โชคร้าย,จ้าวหยุน

ลู่เฟิง รู้ดีแก่ใจว่าถ้า ภูเขาเหยียนซาน ถูกทําลายโดยพวกคนเถื่อนในวันนั้น มณฑลเฉินหลงทั้งหมดก็จะกลายเป็นนรกบนดิน

แม้แต่มณฑลหนานฉ่ก็คงต้านไว้ได้ไม่นาน

ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เขายังมีโอกาสจัดทัพโต้กลับ

ถ้าสถานการณ์ทั้งหมดเลวร้ายลงเขาแทบจะไม่มีโอกาสยึดคืนกลับมาได้เลย

โชคดีที่ ตอนนี้ มณฑลเฉินหลง ปลอดภัย,มณฑลหนานจู่ ก็ปลอดภัย ลู่เฟิง สามารถนํากองทัพมาที่เมืองฉางซานแห่งนี้ได้

ลู่เฟิง ต้องขอบคุณทหารกองพันทหารค่ายที่ช่วยป้องกันเอาไว้

“ฝ่าบาท,พระองค์ยังจําได้หรือไม่ที่แม่ทัพเสี่ยวจือรายงานไว้ เหตุผลที่ กองพันทหารค่ายสามารถต้านทานศัตรูและสังหารพวกคนเถื่อนนับแสนได้เป็นเพราะชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงิน”เกาชุนได้พูดขึ้นเวลานี้

“แน่นอนข้าจําได้!”

ลู่เฟิง มองไปที่ เกาชุน และ กล่าวถาม”ข้าตั้งใจจะถามเจ้าอยู่พอดีว่าคนผู้นี้เป็นใครทําไมถึงมีความแข็งแกร่งมากขนาดนี้?”

“เขามาจากฉางซาน ชื่อ จ้าวซีหลง แต่ เขาเรียกแทนตัวเองว่า จ้าวหยุน”

“อะไรนะ จ้าวหยุน?”

ลู่เฟิง รู้สึกตกใจอย่างมาก”เจ้าบอกว่าเขาชื่อ จ้าวซีหลง และ แทนตัวเองว่า จ้าวหยุน ใช่หรือไม่?”

ทัศนคติของ เกาชุน ที่มีต่อ ลู่เฟิง ค่อนข้างแปลกแต่เขาได้พยักหน้าด้วยความมั่นใจและตอบกลับ”ข้าน้อยมิกล้าปิดบังคนที่ปรากฏตัวผู้นั้นเป็นชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงิน เขาได้ปรากฏตัวพร้อมกับสังหารพวกคนเถื่อนไปหลายหมื่นทั้งยังบอกว่าตนเองมาจากเมืองฉางซานชื่อจ้าวซีหลง!”

“ไม่มีอะไรผิดปกติแน่นะ?”

ฉางซาน จ้าวซีหลง!

มันเป็นเขาจริง ๆ

ลู่เฟิง เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนหน้าที่เขาเรียกตัว เหลียนป๋อ ออกมา มันมีตัวละครรองพ่วงมาด้วยหนี่งก็คือสกุล เตียว อีกคนก็คือ สกุลจ้าว

ลู่เฟิง เคยคิดเกี่ยวกับสกุลจ้าวมาก่อน เพราะมีสกุลจ้าวจํานวนมากที่มีชื่อเสียงในยุคสงคราม

แต่เขาไม่คิดว่าตนเองจะเรียก จ้าวหยุน ออกมา เพราะเขากังวลว่าตัวละครรองนี้จะกลายเป็นแม่ทัพฝ่ายศัตรูดังนั้นเขาจึงไม่คาดหวังว่าจะเรียกจ้าวหยุนออกมาได้

แต่ไม่นานมานี้ จ้าวหยุน ปรากฏตัวขึ้น และช่วยเหลือกองพันทหารค่ายจากวิกฤติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นเรื่องยากมากสําหรับเขาที่จะกลายมาเป็นศัตรู

ลู่เฟิง รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก หากเขาสามารถนํา จ้าวหยุน มาอยู่ภายใต้คําสั่งของเขาได้จะดีขนาดไหน

ในชีวิตก่อนหน้านี้เขาถือว่า จ้าวหยุน เป็นไอดอลของเขา

จ้าวหยุน ได้รับฉายาว่าเป็น “สุภาพบุรุษจากเสียงสาน” นี่เป็นฉายาที่มาจากความกล้าหาญของเขา

เขาได้กลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่แม้จ้าวหยุนในช่วงสามก๊กจะเป็นที่รู้จักกันในนามของแม่ทัพพยัคฆ์ทั้งห้าของหลิว เป่ย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับไม่ได้แสดงฝีมือออกมามากนักเพราะดูเหมือนเขาจะกลายเป็นหัวหน้าองค์รักษ์ส่วนตัวของหลิวเป่ยมากกว่า

ในประเด็นนี้ ลู่เฟิง ในชีวิตก่อนหน้า ได้เรียนรู้รายละเอียดต่าง ๆ มาแล้ว แม้ว่า จ้าวหยุนจะกล้าหาญและมีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ที่ดีแต่น่าเสียดายที่ชีวิตของเขาไม่ได้ราบรื่น

เขามักมีปัญหากับ กวนอู และ เตียวหุย เสมอมา

ฮวางจง ที่เป็นแม่ทัพมากประสบการณ์และขึ้นตรงต่อ หลิวเป่ย ก็ยังไม่ชอบ จ้าวหยุน นักไม่ต้องสงสัยเลยว่าการโดนบุคคลที่มีคนหนุนหลังเหล่านี้หมายหัวย่อมมีชีวิตเลวร้ายขนาดไหน

นอกจากนี้ยังมี หม่าเชา ที่เป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่ง เขาเกิดมาบนภูมิฐานที่ดี บรรพบุรุษของเขาคือหม่าหยวนแม่ทัพแห่งราชวงศ์ฮั่นเขาเองก็มารับใช้ภายใต้หลิวเป่ย

จ้าวหยุน ที่เกิดมาบนภูมิฐานธรรมดา ย่อมไม่มีอํานาจหนุนหลังเขาดังนั้นน้อยครั้งนักที่ จ้าวหยุน จะมีโอกา สได้แสดงฝีมือที่แท้จริง

ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ หลิวเป่ย ยึดครองโจวและกําลังจะให้รางวัลใหญ่แก่แม่ทัพทุกคนแม่ทัพทุกคนก็เห็นพร้อมและรับรางวัล มีเพียงจ้าวหยุนเท่านั้นที่ปฏิเสธทั้งเขายังไม่สนใจสิ่งใดใช้ชีวิตอาศัยในบ้านพักแบบปุถุชนธรรมดาทั้งยังพูดอีกว่าความอุสาหะต่าง ๆ ที่ทําไปนั้นทําเพื่อบ้านเมืองและปวงประชาไม่ได้ทําเพื่อ ประโยชน์ส่วนตน

หลิวเป่ย เป็นที่รู้จักกันในฐานะคนที่มีเมตตาคุณธรรมเขาทําสิ่งนี้เพื่อให้แม่ทัพของเขาซื่อสัตย์และภักดีต่อตนเองในตอนที่จ้าวหยุนปฏิเสธเช่นนี้เขาก็เริ่มรู้สึกชื่นชอบและดีใจอย่างมาก

เขาได้ฟังคําแนะนําและยอมรับเรื่องต่าง ๆ ของ จ้าวหยุน

เขาไม่ได้ตําหนิแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่รับรางวัล ถ้าจะตําหนิ ก็ควรจะตําหนิ จ้าวหยุน ที่เป็นคนพูดว่าตนเองอยู่บนเส้นทางแห่งความชอบธรรมไม่ได้ทําเพื่อตนเอง

แน่นอนว่าการกระทําของจ้าวหยุนย่อมทําให้หลายฝ่ายภายใต้หลิวเปยไม่พอใจ

ในกรณีนี้ หลิวเป่ย เองก็รู้ แต่เขาย่อมต้องรับฟังความหลาย ๆ ฝ่าย และ ไม่อาจปล่อยฝ่ายใดฝ่ายนึ่งไปได้

โชคดีที่ จ้าวหยุน ไม่ได้เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน ปัญหา จึงไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก

ท้ายที่สุดช่วงที่ทุกข์ยากก็มาถึง

ในเวลานั้น จางกวน ได้ก่อตั้งกลุ่มแม่ทัพขึ้นมาเช่นกวนปิง,โจวคัง,และหม่าเชา เป็นต้นพวกเขาได้รวมตัวกันภายใต้หลิวเป่ยทุกคนล้วนมีสหายสนิทชิดเชื้อกัน มีเพียง จ้าวหยุนเท่านั้น ที่โดดเดี่ยวมาตลอด เขาทํา งานภายใต้ หลิวเป่ย อย่างอ้างว้าง

ต้องบอกว่า จ้าวหยุน โชคไม่ดีที่เกิดมาในยุคนั้น

ถ้าเขาเคยอยู่ภายใต้โจโฉมาก่อนเขาอาจจะมีตําแหน่งทางการที่สูงมาก

และ อีกครั้ง หาก จ้าวหยุน อยู่ภายใต้ของโจโฉ บางทีอาจจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในภายหลัง

โดยทั่วไปแล้ว จ้าวหยุน เป็นคนซื่อสัตย์และคํานึงถึงหัวใจของผู้คน เขาไม่จัดตั้งพรรคตั้งพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อกลายเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง

เพราะแบบนี้ ลู่เฟิง จึงชื่นชอบเขาอย่างมาก!

ตราบใดที่ ข้าวหยุน อยู่ภายใต้คําสั่งของเขา เขาสามารถทําให้ จ้าวหยุน กลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงและกลายเป็นวีรบุรุษที่ยืนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลไปกับเขา

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลู่เฟิง ก็สูดลมหายใจเข้าลึกและกล่าวถามออกมา”ตอนนี้ จ้าวหยุน อยู่ที่ไหน?”

“เขาบอกกับข้าน้อยว่าเขากลับมาที่นี่เพียงเพราะทําตามสัญญาที่ให้ไว้กับสหายที่เสียชีวิตว่าจะดูแลครอบครัวของสหายคนนั้น ตอนนี้หลังจากได้รับเบาะแสเขาจึงรีบเดินทางไปหาครอบครัวสหายของเขา”เกาชุนได้อธิบาย

เมื่อ ลู่เฟิง ได้ยิน ใบหน้าของเขาก็แสดงความผิดหวังออกมาทันที เขาคิดว่าตนเองจะได้เห็น จ้าวหยุนขี้ม้าสีขาวถือทวนสีเงินแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจ้าวหยุนจะรีบจากไป

เกาชุน เห็นใบหน้าที่ผิดหวังของ ลู่เฟิงเขาก็แสดงท่าที่เสียดายออกมา”ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย จ้าวหลง ผู้นี้บอกข้าน้อยว่าหากเขาสะสางเรื่องครอบครัวของสหายเสร็จ เขาจะรีบเดินทางกลับมาที่อาณาจักรหนานหยาน และ ถ้าจะมองหาใครเพื่อถวายความภักดีเขาจะคํานึงถึงฝ่าบาทเป็นคนแรก!”

เมื่อ ลู่เฟิง ได้ยินเช่นนั้นเขาก็เต็มไปด้วยความสุขทันที ถ้า จ้าวหยุน ให้สัญญาเช่นนี้ในอนาคตเขาจะต้อง มาทํางานรับใช้ตนเองอย่างแน่นอน

ดังนั้นเขาไม่จําเป็นจะต้องคิดมากเรื่องนี้อีกต่อไป

เขาจะตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็น ข้าวหยุน ในชุดเกราะสีเงินขี่ม้าขาวพร้อมกับทวนยาวในมือภายใต้การบัญชาการของเขา

“ฝ่าบาท,พระองค์ รู้จักจ้าวหยุนหรือพะยะค่ะ?”เกาชุน ถามลู่เฟิงอย่างระมัดระวัง

เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าทําไมฝ่าบาทพอได้ยินชื่อ จ้าวหยุน ก็มีท่าที่มีความสุขเช่นนี้

แต่ จ้าวหยุน ได้บอกว่า เขาได้เดินทางไปมาหลายประเทศเป็นเวลานานและเพิ่งจะกลับมาฝ่าบาทจะไปรู้จักคนผู้นี้ได้อย่างไร?

แต่ดูจากท่าทีของฝ่าบาทแล้วเขาราวกับว่ารู้จักกับอีกฝ่ายมาก่อนจริงๆนี่ทําให้เขารู้สึกสงสัย