ตอนที่ 301 สามพี่น้องร่วมสาบาน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 301 สามพี่น้องร่วมสาบาน

เขาหมายถึงบนภูเขารอบเมืองหลวงแห่งนี้

แคว้นฉีเป็นแคว้นที่อยู่ในเขตทุ่งหญ้า เทือกเขาสูงใหญ่ที่อยู่ในละแวกรอบเมืองหลวงพบเห็นได้ค่อนข้างน้อย บนภูเขาที่ล้อมรอบเมืองหลวงไว้เหมือนแอ่งกระทะมีสำนักรวมตัวกันอยู่สามสำนัก แบ่งออกเป็น สำนักมหาบรรพต สำนักศาสตราลึกล้ำ และสำนักเพลิงนภา ทั้งสามสำนักต่างครอบครองชัยภูมิอันเลิศล้ำในแต่ละด้านไว้ ร่วมกันพิทักษ์ดูแลเมืองหลวง ทั้งยังเป็นสามสำนักที่ทรงอิทธิพลที่สุดในบรรดาสำนักบำเพ็ญเพียรแห่งแคว้นฉีด้วย ล้วนติดลำดับสำนักใหญ่ในใต้หล้าทั้งสิ้น มีตำแหน่งอยู่ในหอเลือนสลัวเช่นกัน

ฝ่าซือที่คอยดูแลพิทักษ์ภายในวังหลวงก็มาจากสามสำนักนี้ พวกเผยเหนียงจื่อเองก็เป็นศิษย์ของสำนักมหาบรรพต

ลิ่งหูชิวกล่าวพลางใช้ความคิด “คนของสามสำนักข้าพอจะรู้จักอยู่บ้าง เจ้าคิดจะทำอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “สถานการณ์ในตอนนี้ พี่ลิ่งหูเองก็ทราบดี ก็เหมือนอย่างที่ข้ากล่าวกับเฟิงเอินไท่ไปก่อนหน้านี้ ของที่มีอยู่สลัดทิ้งได้ยาก ในแคว้นนี้ผู้ที่กล้ารับสิ่งนี้ไว้ก็มีเพียงสามสำนักนั้นเท่านั้น”

ลิ่งหูชิวถาม “เจ้าคิดจะมอบให้สามสำนักนั้นอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากขายสิ่งนี้ออกไปจะได้เงินไม่น้อยเลย หากยกให้พวกเขาไปเปล่าๆ พวกเขาคงจะไม่รังเกียจที่จะรับไว้กระมัง?”

ลิ่งหูชิวถอนใจเอ่ยว่า “เกรงว่าจะไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ ด้วยอิทธิพลที่สามสำนักนั้นมีต่อแคว้นฉี หากอยากได้ใบอนุญาตส่งออกม้าศึกสักหน่อย เอ่ยเพียงประโยคเดียวก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาจากเจ้าเลย ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ลองดูแล้วรู้จะได้อย่างไร หากว่าพวกเขาไม่ต้องการจริงๆ ก็ขอความร่วมมือจากพวกเขาสักเล็กน้อย จัดประมูลขายใบอนุญาตพวกนี้ออกไป รายได้จากการประมูลข้าไม่เอาเลยสักแดง ยกให้พวกเขาไปทั้งหมด!”

ลิ่งหูชิวมีสีหน้าลำบากใจ

“ขอพี่ลิ่งหูได้โปรดช่วยเหลือข้าด้วย!” หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นประสานมือค้อมคำนับ

ลิ่งหูชิวรีบยื่นมือมาประคองไว้ ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยอย่างกล้ำกลืนฝืนใจ “เอาล่ะ ข้าจะช่วยติดต่อให้สักรอบ บอกได้เพียงว่าจะลองพยายามอย่างสุดความสามารถเท่านั้น”

“ขอบคุณพี่ลิ่งหู”

“จะให้ลงมือเมื่อไร?”

“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี”

“เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”

“มีคนจับตามองที่นี่มากเกินไป ตอนนี้ข้ายังไม่สะดวกจะเผยตัวในที่สาธารณะ หากจัดการเรื่องนี้ไม่สำเร็จ แล้วคนที่รู้จักข้ามีมากเกินไปล่ะก็ ความหวังสุดท้ายในการเอาตัวรอดก็จะยิ่งริบหรี่ ข้าต้องเหลือทางรอดไว้ให้ตัวเองสักหน่อย เดี๋ยวข้าให้ต้วนหู่ไปกับท่านดีหรือไม่?”

“ตกลง!” ลิ่งหูชิวพยักหน้ารับ จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน “ออกไปครานี้ เกรงว่าคงต้องถูกคนดักสกัดค้นตัวเป็นแน่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องถูกดักค้นตัวสักกี่ครั้ง”

หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวขออภัย “ทำให้พี่ลิ่งหูลำบากเสียแล้ว”

“เออใช่ แล้วจะทำอย่างไรกับเหล่าเฟิงที่เพิ่งถูกข้ากล่อมออกไปก่อนหน้านี้?” ลิ่งหูชิวชี้ออกไปด้านนอก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าย่อมไม่มีทางทำให้พี่ลิ่งหูต้องลำบากใจ หมู่ตาน ให้เขาเข้ามาเถอะ”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็พาเฟิงเอินไท่เข้ามา

เฟิงเอินไท่มองไปทางลิ่งหูชิว ไม่ได้รับสัญญาณใดๆ จึงเดินเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้าอีกครั้งด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ถามอย่างระมัดระวังว่า “น้องหนิว อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองอย่างเย็นชา “เห็นแก่หน้าพี่ชายร่วมสาบานของข้า ข้าจะยอมแบกรับเรื่องนี้ ยอมรับความเสี่ยงต่อชีวิตนี้ของข้าไว้!”

เฟิงเอินไท่ปรีดาอย่างยิ่ง ประสานมือกล่าวขอบคุณลิ่งหูชิว จากนั้นหันกลับมาเอ่ยปลอบใจหนิวโหย่วเต้า “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ด้วยความสามารถของน้องหนิวแล้ว ต้องกลับร้ายกลายเป็นดีได้แน่!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องไร้ประโยชน์พวกนั้นอีก เป็นท่านที่สร้างปัญหาขึ้น ข้ายอมรับแบกรับเรื่องนี้ก็เท่ากับยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อท่าน จะเป็นหรือตายข้าล้วนแต่ยอมรับแล้ว แต่ท่านก็ต้องมีคำอธิบายให้ข้าบ้างหรือเปล่า?”

คำอธิบายหรือ? เฟิงเอินไท่ถามด้วยความฉงน “น้องหนิวต้องการคำอธิบายเช่นไร?”

นิ้วมือของหนิวโหย่วเต้าเคาะลงไปบนโต๊ะ “ข้ายอมแบกรับภาระแล้ว พวกท่านคงจะไม่ซ้ำเติมเพิ่มปัญหาให้ข้าอีกกระมัง?”

เฟิงเอินไท่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องแบบนี้ยังจะมาซ้ำเติมเพิ่มปัญหาให้เจ้าได้อย่างไร!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สำนักหยกสวรรค์ของพวกท่านเป็นอย่างไร ครั้งนี้ข้านับว่าได้รู้ซึ้งแล้ว ต่อให้ไม่ซ้ำเติมเพิ่มปัญหา แต่ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่าพวกท่านจะไม่เป็นพวกรื้อสะพานหลังข้ามน้ำสำเร็จ?”

เฟิงเอินไท่ผายมือออก “ปัญหาผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ไหนเลยจะมีเรื่องรื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำได้?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือน “ท่านน่าจะทราบดีว่าเหตุใดสามสำนักถึงมาเสี่ยงอันตรายที่นี่ ท่านน่าจะทราบดีว่าพวกเขามาเสี่ยงภัยเพื่อสิ่งใด สัญญาที่ท่านลงนามกับข้าไว้ก่อนหน้านี้ สำนักหยกสวรรค์นึกจะกลับคำก็กลับคำ ซ้ำยังเอาเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาสามสำนักมาข่มขู่ด้วย แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหลังจบเรื่องแล้วพวกท่านจะรักษาคำพูด?”

วาจานี้ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา สำนักหยกสวรรค์สามารถตัดสินใจได้ง่ายๆ แต่ตัวต้นเรื่องที่เป็นฝ่ายขอฉีกสัญญาอย่างเฟิงเอินไท่กลับถูกต่อว่าจนกระอักกระอ่วนยิ่งนัก เขาฝืนยิ้มพลางเอ่ยไปว่า “ช่วยไม่ได้จริงๆ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ท่านเจ้าสำนักเองก็รับประกันแล้ว ย่อมไม่ผิดคำพูดอีกแน่นอน”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ขนาดมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรยังกลับคำได้ แล้วท่านคิดว่าข้ายังจะกล้าเชื่อคำพูดปากเปล่าอย่างนั้นหรือ?”

เฟิงเอินไท่ถอนหายใจดังเฮ้อ “น้องหนิว จะอ้อมค้อมไปไย? เจ้าคิดจะเอาอย่างไรก็ว่ามาเถอะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องรู้เอาไว้ ข้าไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงจุดยืนของทางสำนักได้หรอกนะ”

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองเขา ค่อยๆ เอ่ยว่า “หากว่าท่านไม่รังเกียจ พวกเรามาสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่ดีหรือไม่”

“…..” เฟิงเอินไท่มึนงง หลงนึกว่าตนฟังผิดไป จึงเอ่ยถามว่า “น้องหนิว เจ้าว่าอะไรนะ?”

ลิ่งหูชิวก็ตะลึงไปแล้ว

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าบอกว่าพวกเรามาสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กันดีหรือไม่?”

ข้าอายุปูนนี้แล้ว จะให้สาบานเป็นพี่น้องกับคนรุ่นเยาว์อย่างเจ้าอย่างนั้นหรือ? เฟิงเอินไท่ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เอ่อ…น้องหนิว นี่เจ้าเล่นอะไรอยู่!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ว่าหลังจบเรื่องสำนักหยกสวรรค์ของพวกท่านจะกลับคำหรือไม่ แต่เจอเหตุการณ์เช่นนี้แล้วข้าไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย หากว่าพวกท่านกลับคำขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ทำอะไรพวกท่านไม่ได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่หวังพึ่งได้มีเพียงคุณธรรมน้ำใจ หากว่าพี่เฟิงกลายเป็นคนทรยศผิดคุณธรรมไปจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ต้องยอมรับชะตากรรมแล้ว!”

เฟิงเอินไท่มีสีหน้าเหลือเชื่อ ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “คิดมากไปแล้ว ท่านเจ้าสำนักออกปากเองแล้ว ไหนเลยจะผิดคำพูดได้?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หรือท่านกลัวจะมีปัญหายุ่งยาก หรือเพราะท่านทราบดีว่าหลังจบเรื่องนี้ สำนักหยกสวรรค์จะทำตัวเป็นคนไร้สัจจะผิดคำพูดจริงๆ?”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…” เฟิงเอินไท่หันไปมองลิ่งหูชิว “ลิ่งหูซยง เจ้ามาช่วยพูดที”

ลิ่งหูชิวสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ เงยหน้ามองเพดานพลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกท่านจัดการกันเองเถอะ”

“ไอ๊หยา!” เฟิงเอินไท่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา โบกมือพลางกล่าวว่า “เอาล่ะๆๆ น้องหนิว ขอเพียงเจ้ารับปากว่าจะรับเรื่องนี้ไปจัดการ ข้าก็จะสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับเจ้า แบบนี้พอใจหรือยัง?” ในใจบ่นอุบอิบว่า ถือเสียว่าเสียสละเพื่อสำนักหยกสวรรค์ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นหากเจ้านี่ไม่ยอมตอบตกลง ตนเองก็ไม่อาจชี้แจงต่อสำนักได้เช่นกัน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไปเชิญศิษย์สำนักหยกสวรรค์ของท่านที่อยู่ทางนี้มาเป็นพยานให้พร้อมหน้า!”

“เจ้า…” เฟิงเอินไท่อยากจะพูดอะไรแต่ก็ชะงักไป สุดท้ายก็หลับตาพลางพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ได้ๆๆ แล้วแต่เจ้าเลย!”

เรื่องราวจึงถูกกำหนดไปตามนี้ เฮยหมู่ตานมีงานยุ่งทันที ออกไปเรียกคนมาจัดโต๊ะพิธีทางด้านนอก

กระทั่งจัดโต๊ะพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศิษย์สำนักหยกสวรรค์สิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่ก็มารวมตัวเป็นสักขีพยานในเรือนนี้ ศิษย์ส่วนใหญ่ต่างนึกสงสัยอยู่ในใจ หากอาจารย์ลุงสาบานเป็นพี่น้องกับหนิวโหย่วเต้า แล้วจะนับลำดับอาวุโสกันอย่างไร?

เมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว หนิวโหย่วเต้าถือธูปที่จุดเอาไว้เรียบร้อยอยู่ในมือ แบ่งให้เฟิงเอินไท่สามดอก จากนั้นแบ่งให้ลิ่งหูชิวที่มาเป็นสักขีพยานอีกสามดอก กล่าวไปว่า “พี่ลิ่งหู เดิมทีพวกเราก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันอยู่แล้ว หลังจากข้าสาบานเป็นพี่น้องกับพี่เฟิง พวกท่านก็นับเป็นพี่น้องกันไปด้วย มิสู้มาสาบานพร้อมกันทีเดียวไปเลยเป็นอย่างไร?”

“ฮ่ะๆ!” ลิ่งหูชิวหัวเราะแห้งๆ เล็กน้อย ได้แต่โอดครวญในใจ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้ามันจะดูไร้ค่าเกินไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ย?

พอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าเอะอะอะไรก็จะร่วมสาบานเป็นพี่น้อง เขาจึงนึกสงสัยขึ้นมาว่าหรือหนิวโหย่วเต้าจะยังมีพี่น้องร่วมสาบานคนอื่นๆ อยู่อีก?

พอเห็นว่าทุกคนล้วนมองมาที่ตน อีกทั้งคำพูดของหนิวโหย่วเต้าก็มีเหตุผล สถานการณ์เช่นนี้ยากจะปฏิเสธได้ ลิ่งหูชิวจึงทำได้เพียงก้าวออกไปอย่างอึดอัด รับธูปมาถือไว้

เฮยหมู่ตานที่อยู่ด้านข้างเป็นผู้ดำเนินพิธีให้ บุรุษสามวัยคุกเข่าคำนับฟ้าดินอยู่หน้าโต๊ะพิธี เอ่ยคำสาบานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

หลังจากสาบานเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามทยอยเข้าไปปักธูปลงในกระถางที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นแต่ละคนก็ยกจอกสุราขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจอมปลอม ประสานมือคำนับกันและกัน เรียกขานกันตามลำดับศักดิ์

เฟิงเอินไท่เป็นพี่ใหญ่ ลิ่งหูชิวเป็นพี่รอง หนิวโหย่วเต้ากลายเป็นน้องสาม

“พี่ใหญ่ หลังจบเรื่องนี้ พี่ใหญ่คงจะไม่ทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีข้ากระมัง?” ยามที่จะคารวะสุรา หนิวโหย่วเต้าได้เอ่ยถามเฟิงเอินไท่

เฟิงเอินไท่ถอนใจเอ่ยไปว่า “น้องสามคิดมากไปแล้ว! เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน เรื่องที่สำนักหยกสวรรค์ให้เจ้าทำ เจ้าก็ทำตามเสียเถอะ อย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย”

“ตกลง!” หนิวโหย่วเต้าตอบรับแต่โดยดี

หลังจากทั้งสามดื่มสุราร่วมสาบาน หนิวโหย่วเต้าก็ให้เฮยหมู่ตานไปหยิบหนังสือสัญญาที่ซ่อนไว้ออกมาทันที ประคองส่งคืนให้ด้วยตัวเอง

เฟิงเอินไท่รับไปตรวจสอบดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นสัญญาที่ตนเขียน ก็นำไปจ่อเทียนที่ตั้งไว้ด้านหน้า เมื่อเผาสัญญาจนมอดไม้เป็นเถ้าถ่านไปต่อหน้าทุกคนแล้ว ตัวเขาถึงได้โล่งใจ นับว่าจบเรื่องแล้ว

ทว่าเทียนที่ตั้งอยู่ด้านหน้าก็ทำให้เขาค่อนข้างละเหี่ยใจอีกครั้ง หวังว่าทางสำนักจะทำตามที่รับปากไว้ มิเช่นนั้นเขาคงต้องขายหน้า มีศิษย์ร่วมสำนักเป็นสักขีพยานมากมายปานนี้ อีกอย่างคือหากครั้งนี้หนิวโหย่วเต้ามีอันตรายจริงๆ เขาจะต้องสนใจหรือไม่สนใจ? สำนักหยกสวรรค์อาจจะวางตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ แต่หากเขาวางตัวอยู่เหนือเรื่องราวด้วย ศิษย์ร่วมสำนักจะมองเขาอย่างไร?

เรื่องราวไม่อาจรั้งรอได้ ลิ่งหูชิวมีธุระต้องจัดการต่อ หลังจากกลับไปเตรียมตัวเล็กน้อย ก็พาต้วนหู่ออกไปทันที

หลังจากคนอื่นๆ แยกย้ายกันไป เฟิงเอินไท่ก็สอบถามหนิวโหย่วเต้าอีกครั้งว่าเตรียมจัดการเรื่องนี้อย่างไร หนิวโหย่วเต้าจึงเล่าเรื่องที่ตนส่งลิ่งหูชิวไปจัดการให้เขาฟังคร่าวๆ

“ได้แต่หวังว่าจะสำเร็จ!” เฟิงเอินไท่ถอนใจ เขาคิดว่าความหวังในเรื่องนี้ค่อนข้างริบหรี่

แต่สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ทุกคนทำได้เพียงรอคอยอยู่ที่นี่ รอฟังข่าวจากลิ่งหูชิว

การรอคอยครั้งนี้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงพลบค่ำ ลิ่งหูชิวกับต้วนหู่ถึงจะกลับมา

เฟิงเอินไท่ลุกขึ้นมาเป็นคนแรก เอ่ยถามลิ่งหูชิวว่า “น้องรอง เป็นอย่างไรบ้าง?”

หนิวโหย่วเต้าเองก็เผยแววตาคาดหวัง

“เฮ้อ!” ลิ่งหูชิวเดินเข้าไปในศาลา หย่อนสะโพกนั่งลงไป โบกมือส่งสัญญาณไปทางต้วนหู่เล็กน้อย “พวกท่านถามเขาเอาเถอะ เขาเห็นทุกอย่าง ข้าพยายามเต็มที่แล้ว”

พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ เฟิงเอินไท่และหนิวโหย่วเต้าสบตากัน รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที

ต้วนหู่ก็บอกเล่าสถานการณ์ออกมาอย่างละเอียด ลิ่งหูชิวพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ คิดหาวิธีไปติดต่อกับคนคุ้นเคยที่สำนักมหาบรรพต สำนักศาสตราลึกล้ำและสำนักเพลิงนภาแล้ว ได้พบกับสมาชิกระดับสูงของสามสำนักแล้ว ทว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้ขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายไม่ต้องการใบอนุญาตส่งออกม้าศึกหนึ่งแสนตัวนั้น และไม่ต้องการเงินจากการขายของเจ้าด้วย

สุดท้ายยังคงเป็นสหายของลิ่งหูชิวที่เปิดเผยข้อมูลบางส่วนให้ลิ่งหูชิวทราบเป็นการส่วนตัว อันที่จริงก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเผยข้อมูลอันใด เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เจตนาของฮ่องเต้แคว้นฉีแจ่มแจ้งชัดเจน

สหายของลิ่งหูชิวเล่าว่า มีผู้บำเพ็ญเพียรมารวมตัวในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้มากเกินไปหน่อยจริงๆ ไม่ใช่แค่ฮ่องเต้เท่านั้นที่หวาดหวั่น สามสำนักเองก็ไม่สบายใจ ที่นี่ก็นับเป็นอาณาเขตของสามสำนักเช่นกัน กลุ่มอิทธิพลจากภายนอกมารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเล่า สามสำนักเองก็คิดว่าจำเป็นต้องจัดการเสียหน่อยเช่นกัน

ที่สำคัญกว่านั้นคือฮ่องเต้ได้แจ้งสามสำนักไปแล้ว สามสำนักเองก็ได้ส่งคนเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้เช่นกัน ไหนเลยจะทำลายแผนการณ์ของตนเองได้ พวกเขาย่อมไม่มีทางตอบตกลง

คนผู้นั้นเตือนให้ลิ่งหูชิวรู้จักประมาณตน ให้รีบออกไปจากแคว้นฉีแห่งนี้ซะ อย่าเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่ไม่สมควรพัวพันจนตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย

………………………………………………………………………