บทที่ 289 เสียงปริศนา

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 289 เสียงปริศนา

ซูอันไม่ได้ทำตามทันที เขาถามกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้าได้ยังไง?”

ชายหนุ่มรู้ว่าของฟรีไม่มีในโลก ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกก่อนหน้านี้ของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเพ้อฝันว่าตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโรอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสามากจนคิดว่าคนแปลกหน้าที่เขาบังเอิญพบในที่แห่งนี้จะยอมให้ความช่วยเหลือฟรี ๆ ด้วยความปรารถนาดีโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

เขารู้สึกว่าเสียงนั้นฟังดูเหมือนปีศาจหรือแม่มดที่มักปรากฏในนิทาน มันอาจจะพยายามหลอกล่อเขาให้เข้าไปติดในกับดัก

“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจข้า ไม่มีทางอื่นที่เจ้าจะช่วยนางได้นอกจากฟังคำของข้า” เสียงนั้นตอบอย่างเย็นชา

โชคไม่ดีที่ซูอันรู้ว่าอีกฝ่ายพูดถูก

เว้นแต่เขาจะโชคดีพอที่จะบังเอิญเจอกับอาจารย์คนอื่น ๆ ของสถาบันที่มาพร้อมกับจี้เสี่ยวซี ทันทีที่เขาเดินออกจากถ้ำแห่งนี้ และอาจารย์พวกนั้นก็ต้องบังเอิญมีสมบัติล้ำค่าบางอย่างที่สามารถรักษาฉู่ชูเหยียนได้…

แต่เรื่องบังเอิญขนาดนั้นมันจะเกิดขึ้นจริงได้ยังไง?

อันดับแรก ถ้าคนอื่น ๆ พบกับสมบัติล้ำค่าเช่นนั้น พวกเขาคงไม่มอบมันให้ฉู่ชูเหยียนอย่างแน่นอน มันไม่ใช่หน้าที่ที่พวกเขาจะทำอย่างนั้น และนอกจากนี้ เขามีความรู้สึกว่าแม้แต่จี้เติ้งถูก็ยังไม่สามารถรักษาฉู่ชูเหยียนได้ ต่อให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ด้วยก็ตาม

“ก็ได้ งั้นบอกข้ามาให้ละเอียดว่าไปทางไหน!” ซูอันกัดฟันพูด

เพื่อรักษาชีวิตของฉู่ชูเหยียน เขาสามารถไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายใด ๆ ที่ซุ่มซ่อนอยู่!

และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงที่เย็นชาต่างไปจากตอนแรกที่เหมือนจะล่อลวงผู้คนของเสียงหญิงสาวปริศนา ซูอันก็คิดว่านางน่าจะไม่ได้โกหกเขา

ให้ตายสิ พอนางพูดจาเย็นชากับข้า ข้ากลับรู้สึกเชื่อนางขึ้นมา ข้าเป็นอะไรกันแน่?

ซูอันอุ้มฉู่ชูเหยียนเดินไปตามทางที่เสียงกระซิบบอก อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูเส้นทางที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินเข้าไปในปากของสัตว์ร้ายขนาดมหึมา มีเพียงแสงสว่างที่ส่องมาจากไฟฉายวิเศษเท่านั้นที่ทำให้เขาสามารถสงบสติอารมณ์ได้เล็กน้อย

ยิ่งเดินก็ยิ่งเจอกับช่องทางที่ซับซ้อนมากกว่าเดิมขึ้นเรื่อย ๆ จนเขารู้สึกว่ากำลังเดินเข้าไปในเขาวงกต ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงกระซิบที่คอยนำทางไป เขาคงหลงทางไปแล้วจริง ๆ

ชายหนุ่มได้พบกับผีดิบทหารจำนวนหนึ่งระหว่างทาง และบางตัวก็แข็งแกร่งกว่าพลกระบี่ผีดิบเสียอีก อย่างไรก็ตาม ด้วยแสงจากไฟฉายวิเศษ ผีดิบทหารต่างพากันวิ่งหนีไปจากเขา ราวกับว่าพวกมันเห็นเขาเป็นยมฑูต

แม้แต่เสียงกระซิบก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเจตจำนงของสวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งของลึกลับที่เจ้ามีอยู่ อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าคงไม่สามารถไปถึงใจกลางตำหนักใต้พิภพได้”

ซูอันใช้โอกาสนี้ในการถามที่มาของเจ้าของเสียง

“จากสิ่งที่เจ้าพูด ดูเหมือนว่าเจ้าอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าเป็นคนหรือว่าเป็น…ผี?”

เสียงกระซิบหัวเราะคิกคักเบา ๆ “แล้วเจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

ภาพของหญิงสาวที่กำลังหัวเราะเบา ๆ ปรากฏขึ้นในความคิดของซูอัน “ช่างเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนหรือผี เจ้าจะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากแน่ ๆ”

“สวย…” จู่ ๆ เสียงนั้นก็เงียบลงทันที เงียบไปนานก่อนที่นางจะถอนหายใจอย่างอ้างว้าง “ความสวยจะไปมีประโยชน์อะไร?”

มันเป็นคำพูดธรรมดา แต่เสียงที่มีเสน่ห์นี้กลับทำให้ซูอันตัวสั่น หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่หยุด ชายหนุ่มย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่ดู ‘แปดเทพอสูรมังกรฟ้า’ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมต้วนอี้ถึงรู้สึกประทับใจหวังอวี่เยียนเพียงแค่ได้ยินเสียงของนาง

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ามีผู้หญิงบางคนที่มีเสียงที่ไพเราะทรงเสน่ห์มากจนทำให้ใจแทบจะละลายได้

ข้าเดาว่าชายเจ้าชู้ทุกคนคงยอมสละทุกอย่างเพียงแค่ได้ฟังเสียงที่ไพเราะนี้

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ซูอันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ ๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นในทันใด ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้ทางเดินที่เขาเดินผ่านมาเป็นระยะเวลานานมันสิ้นสุดลงแล้ว และที่ปลายทางคือห้องโถงโล่งกว้างที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับสนามฟุตบอลขนาดใหญ่หลายสนามต่อกัน

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดคือทะเลสาบที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการสะสมของน้ำภายในถ้ำ แต่ความใสบริสุทธิ์ของน้ำมันดูผิดธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพืชที่แตกหน่อเปล่งแสงสีเขียวจาง ๆ โผล่ขึ้นเหนือน้ำ พื้นผิวของทะเลสาบปกคลุมไปด้วยหมอกบาง ๆ โดยรวมแล้วมันดูโดดเด่นมากท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแสงไม่มากนัก

ถึงแม้ว่าซูอันจะขาดความรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการบ่มเพาะนี้ เขาก็ยังคงสามารถบอกได้ว่าพืชนั้นน่าจะเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ ๆ

ราวกับว่าคาดเดาความคิดของเขาได้ เสียงกระซิบก็พูดว่า “ถูกต้องแล้ว สมุนไพรที่สามารถรักษาผู้หญิงของเจ้าได้อยู่ที่ใจกลางทะเลสาบนั่นแหละ”

ซูอันสัมผัสได้ว่าการหายใจของฉู่ชูเหยียนเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ มันถึงจุดที่เขาไม่สามารถได้ยินอีกต่อไปเว้นแต่จะตั้งใจฟัง ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งไปที่ทะเลสาบพร้อมกับนางในอ้อมแขนของเขา

แต่แค่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว สัญชาตญาณก็บอกให้หยุดและมองดูสภาพแวดล้อมรอบข้างก่อน

ชายหนุ่มตื่นเต้นเกินไปที่ได้เห็นสมุนไพรเรืองแสงเหนือทะเลสาบจนลืมมองบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง และตอนนี้เขาก็ได้เห็นสิ่งที่ตนละเลยไป

มีกองทหารดินเผาถือง้าวยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเต็มไปหมด พวกมันมีร่างสูงตระหง่าน สูงประมาณ 7 เชียะ แม้จะมองอย่างคร่าว ๆ ซูอันก็สามารถบอกได้ว่าพวกมันมีอยู่หลายพันตัว

ถัดจากแถวของทหารดินเผาถือง้าวนั้นเป็นรถรบ และด้านหลังเป็นกองพลธนู…

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขากำลังจะเผชิญหน้ากับกองทัพที่เพียบพร้อมเข้าแล้ว!

ซูอันขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตา กำลังนึกสงสัยว่าเขาได้กลับไปที่พิพิธภัณฑ์สุสานทหารของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่เขาเคยไปเมื่อชาติก่อนหรือไม่

นี่มันกองทัพดินเผาไม่ใช่เหรอ?

แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ ก็พบข้อแตกต่างระหว่างทหารดินเผาตรงหน้ากับทหารดินเผาในสุสานทหารของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทหารดินเผาเบื้องหน้าเขาสวมชุดเกราะสีสันสดใส อาวุธที่พวกมันถือเป็นมันเงาแวววาวบ่งบอกว่าไม่ควรเอาพวกมันไปเทียบกับทหารดินเผาที่ทรุดโทรมที่เขาเคยเห็นในพิพิธภัณฑ์สุสานทหารของจิ๋นซีฮ่องเต้

ราวกับสัมผัสได้ถึงผู้บุกรุก ดวงตาของบรรดาทหารดินเผาที่กำลังหลับใหลจู่ ๆ ก็มีแสงสีฟ้าส่องประกายออกมา และทุกตัวก็หันมามองเขาพร้อมกันทันที

มันยากที่จะอธิบายความรู้สึกที่น่าขนลุกเมื่อถูกทหารดินเผาหลายพันตัวจ้องมองมาพร้อมกัน มันช่างน่ากลัวและกดดันจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก

ทหารดินเผาแถวหน้าเริ่มเคลื่อนไหว พวกมันเหน็บง้าวไว้ใต้อ้อมแขนอย่างหลวม ๆ ในตอนแรกการเคลื่อนไหวของพวกมันยังคงเชื่องช้าและติดขัด แต่จากนั้นการเคลื่อนไหวของพวกมันก็เริ่มลื่นไหลมากขึ้น

ซูอันกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าไอ้ทหารดินเผาพวกนี้มันจะมีระดับการบ่มเพาะสักเท่าไหร่ เพราะด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ พวกมันย่อมสามารถบดขยี้เขาให้แหลกละเอียดได้อย่างง่ายดายด้วยจำนวน!