ตอนที่ 292 หนาวเหน็บและอบอุ่น

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 292 หนาวเหน็บและอบอุ่น

โอกาส!

จู่ๆ ก็มีคำนี้ปรากฏขึ้นในห้วงสำนึกของเซินเจียรุ่ย

ไม้ตายของฉู่ขวงคืออะไรน่ะหรือ?

ถูกต้องแล้ว ท่าไม้ตายของฉู่ขวงก็คือเรื่องสั้นมักมีตอนจบซึ่งอยู่เหนือความคาดหมาย หรือไม่ก็สะเทือนขวัญอยู่เสมอ!

เมื่อเผชิญหน้ากับตอนจบเช่นนี้ เมื่อผู้อ่านอ่านจนถึงตอนสุดท้าย ก็มักจะตบโต๊ะฉาดอย่างทนไม่ไหว!

และนิยายประเภทนี้ก็มักจะได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้อ่าน

เพราะมันกระตุ้นความตื่นเต้นของผู้อ่านได้อย่างเต็มที่!

ดังนั้นนิยายประเภทนี้ จึงเป็นประเภทของผลงานที่เหมาะกับการช่วงชิงรางวัลบนแพลตฟอร์มต่างๆ มากที่สุด

เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องราวประเภทบทบรรยาย กลับมีผลลัพธ์ที่ต่างออกไป เพราะความตื่นเต้นชวนลุ้นระทึกนั้นน้อยกว่าผลงานซึ่งมีจุดหักมุมมาก

“หรือว่าฉู่ขวงตั้งใจทดลองรูปแบบการเขียนใหม่ๆ”

เซินเจียรุ่ยคาดการณ์ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปใส่ใจเรื่องนี้อีก ถึงขั้นที่รู้สึกตื่นเต้นกับผลงานของฉู่ขวงด้วยซ้ำ

ในเมื่อฉู่ขวงไม่ได้เขียนงานประเภทที่สันทัดมากที่สุด เช่นนั้นเขาก็คิดว่าครั้งนี้ตนอาจมีโอกาสโต้กลับจริงๆ!

ในใจพลันเกินความคิดนี้ขึ้นมา

เขายังคงอ่านต่อไป [“คือว่า…บะหมี่หยางชุน…หนึ่งชาม…ได้ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เด็กชายสองคนซ่อนอยู่ด้านหลังมารดา ลอบมองเถ้าแก่เนี้ยะอย่างกล้าๆ กลัวๆ เช่นเดียวกัน]

ฉากหลังคือร้านบะหมี่เป่ยไห่ในคืนส่งท้ายปี

ผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคนเข้ามาในร้านบะหมี่ แต่กลับสั่งบะหมี่หยางชุนแค่ชามเดียว?

ไม่ต้องวิเคราะห์ก็รู้ ว่าครอบครัวนี้ใช้ชีวิตอยู่อย่างอัตคัด

แต่ฉากต่อไปอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน

[บะหมี่ถูกตระเตรียมไว้บนเขียงแต่แรก กองพะเนินราวภูเขาขนาดย่อม หนึ่งกองสำหรับหนึ่งที่ เถ้าแก่กอบบะหมี่ และใส่เพิ่มลงไปอีกครึ่งหนึ่ง ก่อนจะใส่ทั้งหมดลงในหม้อพร้อมกัน เถ้าแก่เนี้ยะสังเกตเห็นว่าสามีตั้งใจเพิ่มบะหมี่ให้กับสามแม่ลูก]

เถ้าแก่คนนี้เป็นคนดี

เขามองออกว่าแม่ลูกทั้งสามคนนี้ยากจน จึงจงใจเพิ่มบะหมี่ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย

ทันทีที่บะหมี่หยางชุนร้อนๆ หอมกรุ่นมาถึงโต๊ะ สามแม่ลูกก็ล้อมวง ลงมือกินในทันที

มุมปากของเซินเจียรุ่ยยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ในห้วงสำนึกมีภาพของแม่ลูกทั้งสามคนกินบะหมี่

[“อร่อยมากเลย!” พี่ชายบอก]

[“แม่กินสิครับ!” น้องชายคีบบะหมี่ขึ้นมาป้อนให้มารดา]

หลังจากนั้น ช่วงเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ปีที่สอง

ในเวลาหลังสี่ทุ่มในคืนวันส่งท้ายปีเช่นเดียวกัน เมื่อร้านบะหมี่กำลังจะปิด ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

ผู้หญิงเดิมซึ่งสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว พาเด็กชายสองคนเข้ามา

“คือว่า…บะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม…ได้ไหมคะ”

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะจำสามแม่ลูกได้ทันที ดังนั้นจึงพาทั้งสามคนไปยังโต๊ะหมายเลขสองเช่นเดียวกับปีที่แล้ว

เถ้าแก่หยิบบะหมี่หนึ่งก้อนครึ่งใส่ลงในหม้อเช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว

เถ้าแก่เนี้ยะจึงแนะนำอย่างอดไม่ได้ “นี่ พ่อ ทำให้พวกเขาไปเลยสามชามไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้หรอก”

เถ้าแก่ปฏิเสธเถ้าแก่เนี้ยะ “ถ้าทำแบบนั้น พวกเขาอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนใจได้”

เซินเจียรุ่ยสีหน้าเปลี่ยนไป

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะยังคงใจดีเหมือนเดิม

เถ้าแก่คำนึงถึงความรู้สึกของสามแม่ลูก เพราะฉะนั้นต่อให้อยากเพิ่มอีกสักหน่อยก็ต้องข่มกลั้นไว้

กินหมดแล้ว

จ่ายเงินค่าบะหมี่หยางชุนสิบห้าหยวน

เถ้าแก่เนี้ยะพูดไล่หลังสามแม่ลูก “ขอบคุณนะคะ ขอให้เป็นปีที่พบแต่เรื่องดีๆ!”

ต้องยอมรับว่า

เมื่ออ่านจนถึงตอนนี้ เซินเจียรุ่ยเริ่มสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะเจ้าของร้านบะหมี่แล้ว

หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

เซินเจียรุ่ยรู้สึกสงสัย

ร้านบะหมี่เป่ยไห่กิจการรุ่งเรื่องขึ้นทุกวัน จนคืนส่งท้ายปีของปีที่สามมาเยือน

คำบรรยายตรงนี้น่าสนใจมาก

[ตั้งแต่ช่วงสามทุ่ม แม้เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งสองเริ่มกระสับกระส่าย เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาสี่ทุ่มไป ลูกจ้างต่างเลิกงานทยอยกันกลับไป เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะจึงกุลีกุจอไปพลิกแผ่นป้ายราคาบนกำแพง เมื่อพลิกกลับแล้ว จึงรีบเขียนว่า ‘บะหมี่หยางชุน 15 หยวน’]

เดิมที ราคาของบะหมี่หยางชุนขึ้นเป็นราคาชามละ 20 หยวนตามราคาสินค้า ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนของปีนี้แล้ว

ที่โต๊ะหมายเลข 2

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะก็นำป้าย ‘จองแล้ว’ ไปวางไว้ตั้งแต่เมื่อ 30 นาทีก่อน

จนกระทั่งเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ในร้านไม่มีลูกค้าแล้ว ทว่าเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะยังคงเฝ้ารอการมาถึงของสามแม่ลูก

และแล้วสามแม่ลูกก็มาถึง

พี่ชายสวมชุดนักเรียนมัธยมต้น น้องชายสวมเสื้อผ้าตัวเก่าของพี่ชายเมื่อปีที่แล้วซึ่งแลดูหลวมโพรก สองพี่น้องโตขึ้นจนแทบจำไม่ได้แล้ว ทว่าแม่ยังคงสวมเสื้อคลุมสั้นสีซีดซึ่งไม่เข้ากับยุคสมัยตัวเดิม

เซินเจียรุ่ยสะท้อนใจ นี่คือความรักของแม่

เรื่องราวไม่ได้บรรยายออกมาโดยตรง แต่รายละเอียดก็ทำให้รู้ได้อย่างแน่ชัด

เสื้อผ้าของลูกทั้งสองคน ดูคล้ายกับว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี ทว่าทุกครั้งที่แม่ปรากฏตัว ก็ล้วนแต่สวม ‘เสื้อคลุมสั้นสีซีดซึ่งไม่เข้ากับยุคสมัย’ ตัวเดิม

ไม่รู้ทำไม เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ เซินเจียรุ่ยเริ่มรู้สึกปวดใจเล็กน้อย

และเมื่อถึงตอนนี้ ในที่สุดเรื่องราวของทั้งสามแม่ลูกก็เริ่มเปิดเผย

จากบทสนทนาของแม่ลูกทั้งสาม สองสามีภรรยาเจ้าของร้านจึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ

ที่แท้พ่อของเด็กๆ ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน แต่หนี้สินที่เหลือทิ้งไว้ กลับเป็นแม่ของเด็กๆ ที่ต้องรับผิดชอบ

หลายปีที่ผ่านมา แม่พยายามใช้หนี้มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นความหรูหราฟุ้งเฟ้อที่หาได้ยากยิ่งของคืนส่งท้ายปี ก็คือบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามของร้านบะหมี่แห่งนี้

เด็กทั้งสองก็ฉลาดเฉลียวรู้ความเหลือเกิน

ลูกชายคนเล็กยังเขียนเรียงความในชั้นเรียนว่า [พ่อของผมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ทิ้งหนี้สินไว้ก้อนใหญ่ แม่ต้องออกไปทำงานใช้หนี้ทุกวันตั้งแต่เช้าถึงมืด ส่วนผมก็ไปส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้ากับตอนเย็น…ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามแม่ลูกจะไปกินบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม อร่อยมากเลยละครับ…สามคนสั่งแค่ชามเดียว แต่คุณลุงกับคุณป้าเจ้าของร้านก็ยังดูแลพวกผมเป็นอย่างดี ขอบคุณพวกเราด้วย แถมยังบอกพวกเราอีกว่าขอเป็นปีที่พบแต่เรื่องดีๆ คำอวยพรนี้เหมือนกำลังบอกกับพวกเราว่า ‘อดทนไว้นะ! อย่ายอมแพ้นะ! ต้องใช้ชีวิตให้ดี!’ เพราะงั้น เมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่ ผมเองก็อยากเปิดร้านบะหมี่ร้านใหญ่ จะได้บอกกับลูกค้าว่า ‘อย่ายอมแพ้นะครับ!’ ‘ขอให้คุณมีความสุขนะครับ!’…]

ในคืนนี้ สามแม่ลูกสั่งบะหมี่หยางชุนสองชาม

เถ้าแก่ขานรับ ใส่บะหมี่สำหรับสามชามลงในหม้อ

จู่ๆ เซินเจียรุ่ยก็ขยี้ตาเบาๆ ดวงตาของเขาเริ่มแดงระเรื่อ

สามสิบหยวน นี่เป็นราคาของบะหมี่หยางชุนสองชาม

เรื่องราวยังคงใช้การบรรยายที่แลดูราบเรียบดำเนินเรื่องไปอย่างแช่มช้า

หลังจากนั้นหลายปี ทุกคืนวันส่งท้ายปี สองสามีภรรยาร้านบะหมี่เป่ยไห่จองโต๊ะหมายเลขสองไว้ ทว่าสามแม่ลูกกลับไม่ปรากฏตัวอีกเลย

วันเวลาผ่านไป

ร้านบะหมี่เป่ยไห่ดำเนินการปรับปรุงร้านอีกครั้ง เนื่องจากกิจการรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ล้วนเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ แต่กระนั้นโต๊ะหมายเลขสองยังคงเหมือนเดิม

สามีภรรยาเจ้าของร้านไม่เพียงไม่ได้รู้สึกว่าโต๊ะหมายเลขสองผิดแปลกไม่เข้าพวก มิหนำซ้ำยังจัดวางโต๊ะนี้ไว้กลางร้านอีกต่างหาก

มีลูกค้าถามถึงเหตุผล เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะก็มิได้ปิดบัง

ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวของโต๊ะหมายเลขสอง จึงทำให้โต๊ะหมายเลขสองกลายเป็น ‘โต๊ะแห่งความสุข’

ลูกค้าเล่าสู่กันฟังปากต่อปาก

มีบางคนที่อยู่ไกลออกไป แต่ก็ตั้งใจมาที่นี่

มีนักเรียนหญิง และมีคู่รักวัยรุ่นล้วนมาลิ้มลองบะหมี่หยางชุนที่โต๊ะหมายเลขสอง

โต๊ะหมายเลขสองจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือด้วยประการฉะนี้

จนกระทั่งสิบปีผ่านไป ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

ในครั้งนี้ พี่ชายและน้องชายต่างมีอนาคตที่สดใส แม่เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมตัวใหม่เอี่ยมในที่สุด

สามแม่ลูกตั้งใจเดินทางมาขอบคุณสามีภรรยาเจ้าของร้านโดยเฉพาะ

“เราสามแม่ลูกคือลูกค้าที่มากินบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามตอนคืนวันส่งท้ายปีเมื่อสิบสี่ปีก่อน ในตอนนั้น เป็นเพราะได้กำลังใจจากบะหมี่หยางชุนชามนั้น ทำให้พวกเราสามคนมีแรงฮึดสู้ ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้”

เซินเจียรุ่ยกัดริมฝีปากเบาๆ ราวกับกำลังพยายามข่มกลั้นความรู้สึก

ทว่าความพยายามทั้งหมด ล้วนพังทลายลงเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว

เพียงเพราะคำพูดอันแสนเรียบง่ายของผู้เป็นแม่

“เถ้าแก่ บะหมี่หยางชุนสามชามค่ะ”

ราวกับให้คำมั่นสัญญากันไว้เมื่อสิบปีก่อน

ในเรื่องนี้เขียนว่า [‘ได้สิ’ แม้จะอยากตอบกลับไปเช่นนี้ แต่เถ้าแก่ซึ่งน้ำตานองหน้ากลับไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้]

ไม่ใช่แค่ตัวละครในเรื่อง

เซินเจียรุ่ยเช็ดน้ำตา จู่ๆ เขาก็รู้สึก ว่าความหนาวเหน็บระลอกสุดท้ายแห่งฤดูกาล ก็พลันถูกกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิปัดเป่าไปเช่นเดียวกัน

…………………………………………………