ตอนที่ 293 สะท้อนความจริง

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 293 สะท้อนความจริง

เซินเจียรุ่ยอ่านหนังสือมามาก และเขียนเรื่องราวมามากมายเช่นเดียวกัน ในแง่ของความประณีตของการวางโครงเรื่อง และการเปรียบเปรยทางวรรณศิลป์ รวมไปถึงการเสียดสีโลกความจริง เซินเจียรุ่ยคิดว่าเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามนี้สุดแสนจะเรียบง่าย เรียบง่ายเสียจนดูขัดกับชื่อเสียงของฉู่ขวง!

ทว่าสิ่งที่น่าแปลกอยู่ตรงนี้

ทั้งที่เมื่ออ่านแล้วแลดูเรียบง่าย เหมือนกับเรื่องสั้นชวนอบอุ่นหัวใจเรื่องหนึ่ง แต่กลับทำให้เซินเจียรุ่ยเสียน้ำตาได้ นี่เป็นเรื่องที่เซินเจียรุ่ยนึกไม่ถึง ขณะที่อ่านอยู่นั้น เขาถึงกับลืมเรื่องการแข่งขันในครั้งนี้ไปเลย

เพราะอะไรกัน

เซินเจียรุ่ยไม่คิดว่าตนจะรู้สึกซาบซึ้งกับความอบอุ่นแสนธรรมดาเช่นนี้ได้ เพราะเขาเคยอ่านเรื่องที่คล้ายคลึงกันมาก่อนนับร้อยนับพันเรื่อง จนถึงขั้นไม่ยอมเขียนเรื่องที่คล้ายคลึงกันเลย นิยายเรื่องนี้จะต้องมีบางอย่างที่พิเศษสำหรับเขา

เซินเจียรุ่ยเลื่อนอ่านคอมเมนต์

เซินเจียรุ่ยไม่ใช่คนแรกที่อ่านเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม และแน่นอนว่าไม่ใช่คนสุดท้ายที่อ่านเรื่องนี้ ในตอนนี้มีคนมากมายอ่านเรื่องนี้จบแล้วเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นบนพื้นที่แสดงความคิดเห็นจึงคึกคักมากทีเดียว

‘ผมว่าธรรมดามาก’

‘ต่ำกว่ามาตรฐานของฉู่ขวง’

‘ความเสแสร้งในรูปแบบเรื่องเล่าฟีลกู๊ด’

นี่เป็นความคิดเห็นเชิงลบซึ่งเซินเจียรุ่ยเห็น เดิมทีเขาควรจะดีใจ แต่เขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น หนำซ้ำยังรู้สึกหนักอึ้งในใจ ทันใดนั้นเซินเจียรุ่ยก็เหลือบไปเห็นท็อปคอมเมนต์

‘ในฐานะคนค้าขาย นั่นก็แค่บะหมี่ไม่กี่ชาม แต่ความห่วงใย ความไว้เนื้อเชื่อใจ และกำลังใจที่คนเรามีให้กันนั้นทำให้ผู้อ่านอย่างฉันรู้สึกประทับใจ ถ้าเห็นแก่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ การรอสามแม่ลูกมากินบะหมี่ที่ร้านน่ะไม่คุ้มค่าหรอก แต่การปลอบประโลมผู้ที่กำลังสิ้นหวัง มอบความอบอุ่นให้แก่ผู้ที่อับจนหนทางนั้นกลับเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งในสังคม’

ทันใดนั้นเซินเจียรุ่ยก็กระจ่างขึ้นมา

ว่าคนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อเพียงเพราะกินข้าว ทว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งอื่นที่ทรงพลัง มองดูอาจไร้ประโยชน์ แต่กลับก่อเกิดคุณค่าที่มากยิ่งกว่าในภายหลัง นี่ก็คือความหมายของเรื่องราวนี้เอง

คอมเมนต์นี้มียอดไลก์สูงมาก

สามารถจินตนาการได้ว่า เรื่องสั้นเรื่องนี้สำหรับฉู่ขวงแล้ว คอมเมนต์จะต้องแบ่งเป็นสองฝ่าย มีคนที่รู้สึกว่าเรื่องนี้เสแสร้ง รู้สึกว่าครั้งนี้ฉู่ขวงมาตรฐานต่ำลง ไร้ซึ่งการหักมุมชวนตื่นเต้นซึ่งทำให้คนอ่านจบแล้วต้องตบโต๊ะร้องว้าวอะไรเทือกนั้น

อย่างไรก็ดี ยังมีผู้คนบางส่วนที่ชื่นชอบ

ผู้อ่านเหล่านี้อาจเคยได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้ามาก่อน อาจเป็นเพียงการกระทำเล็กๆ หรือไม่ก็เพียงสายตา แต่พลังของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าประโยคง่ายๆ ว่า ‘ขอบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม’ จากในเรื่องเลย

เมื่อมาดูการจัดอันดับ

เรื่องสั้นของตนมีชื่อว่า ‘ฆาตกร’ เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนระทึกขวัญชิ้นหนึ่ง ซึ่งผู้อ่านคาดเดาตอนจบไม่ได้เลย สุดท้ายแล้วฆาตกรกลับเป็นม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ในตอนนี้รั้งอยู่ในอันดับที่หนึ่งของการจัดอันดับเรื่องสั้นในเดือนนี้ เสียงตอบรับดีมากทีเดียว ส่วนฉู่ขวงซึ่งเดิมทีผู้คนคาดหวังกับเขาไว้มากกลับอยู่ในอันดับที่สอง จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบเรื่องสั้นในครั้งนี้ของเขา

“อันดับไม่เลวเลย…”

หากจะบอกว่าเซินเจียรุ่ยไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิดก็คงจะเป็นการเสแสร้งไปสักหน่อย ถึงอย่างไรเงินรางวัลของอันดับที่หนึ่งก็ไม่ใช่น้อยๆ ทว่าลึกๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกสะท้อนใจ เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องสั้นของฉู่ขวงในครั้งนี้มีพลังมาก เพียงแต่หากนำนิยายประเภทนี้มาร่วมประลองและจัดอันดับประเภทนี้แล้ว เห็นทีจะเสียเปรียบน่าดู

หากใช้ดนตรีมาขยายความ

ก็เหมือนกับตนใช้เพลงร็อก

ส่วนอีกฝ่ายกลับร้องบัลลาด

อย่างแรกสามารถจุดบรรยากาศอันร้อนแรงบนเวทีได้ ส่วนอย่างหลังเดินสายกินใจผู้ฟัง และของอย่างการกินใจผู้ฟังนั้นไม่เหมาะกับการแข่งขัน ดังนั้นตนได้เป็นอันดับหนึ่ง ถ้าหากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นละก็ ตนก็จะรักษาอันดับหนึ่งไว้จนถึงจบฤดูกาล?

……

ฉู่ขวงไม่ได้เขียนเรื่องสั้นมาระยะหนึ่งแล้ว เรื่องสั้นเรื่องใหม่ซึ่งเขาเผยแพร่บนปู้ลั่วในเดือนมีนาคมย่อมได้รับความสนใจจากในวงการ ปรากฏว่าเมื่อหลายคนเห็นว่านิยายเรื่องนี้ถึงกับอยู่ในอันดับที่สอง ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือตกใจ

“ที่สองเลย?”

“พลิกโผเหรอเนี่ย”

“เซินเจียรุ่ยใช้ได้เลยนะ”

“ครั้งก่อนฉู่ขวงหายใจรดต้นคอหนึ่งในสามอาชาไนยของมณฑลฉี ปรากฏว่าเรื่องใหม่ได้แค่อันดับสอง แถมในเดือนเดียวกันยังไม่ได้มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้นด้วย เซินเจียรุ่ยทำอะไรฉู่ขวงไม่ได้มากหรอก”

“พลิกโผจริงๆ”

“ฉันอ่านสองเรื่องนี้แล้ว เรื่องเซินเจียรุ่ยทำไดัดีกว่าปกติ ส่วนฉู่ขวงเหมือนกับว่ากำลังปรับเปลี่ยนสไตล์ แต่การปรับเปลี่ยนแบบนี้เหมือนว่าจะไม่นับว่าประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ จนส่งผลลัพธ์เช่นนี้”

“…”

ตั้งแต่ฉู่ขวงเปิดตัวมา เรียกได้ว่าไร้พ่ายมาโดยตลอด!

ต่อให้ในยามที่คนอื่นไม่ได้มองฉู่ขวงในแง่ดีนัก ฉู่ขวงก็ยังสร้างปาฏิหาริย์ และพลิกสนามประลองได้!

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคาดคิด ว่าในครั้งนี้ฉู่ขวงกลับพลาดท่าอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่คนอื่นๆ คาดหวังกับเขาไว้มาก!

เรื่องนี้นำไปสู่การถกเถียงกันเป็นอย่างมากในวงการ

และเป็นเพราะความเพลี่ยงพล้ำของฉู่ขวง

ประเด็นถกเถียงประเภทนี้จึงมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงว่ามาตรฐานในการเขียนเรื่องสั้นของฉู่ขวงนั้นตกต่ำลง มีบางคนกล่าวไว้อย่างเห็นภาพ

‘ถ้าไม่ใช่เพราะเขียนเรื่องใหม่ไม่ออก ทำไมฉู่ขวงไม่ปล่อยเรื่องสั้นเรื่องใหม่ออกมาซะตั้งนานแล้วล่ะ’

มีบางคนคิดตาม ก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ก่อนหน้านี้ความถี่ในการปล่อยผลงานใหม่ของฉู่ขวงนั้นสูงมาก ผลงานเพียงแค่สี่เรื่องเท่านั้นก็สามารถตอกเสาเข็มลงหลักปักฐานในวงการเรื่องสั้นได้แล้ว

ทว่าหลังจากปล่อยผลงานทั้งสี่เรื่องนี้ออกมา ฉู่ขวงกลับทิ้งช่วงไว้นานเหลือเกินกว่าจะปล่อยเรื่องสั้นชิ้นที่ห้า…

ทำไมกันล่ะ

ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดมาก ทว่าในตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่า มีความเป็นไปได้มากที่ฉู่ขวงจะเขียนเรื่องใหม่ไม่ออกแล้ว ที่ผ่านมาจึงไม่ได้เผยแพร่นิยายเรื่องใหม่

แม้อันดับของตนจะตกลงไป แต่ก็ยังไม่อาจคิดกลยุทธ์ตอบโต้ได้ทันท่วงที

ถ้าหากไม่ได้เป็นเช่นนี้ แล้วทำไมผ่านไปตั้งนานโขกว่าฉู่ขวงจะปล่อยเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามได้ล่ะ ไม่มีผลงานสำรองไว้สินะ แถมยังพ่ายแพ้ต่อนักเขียนอย่างเซินเจียรุ่ยซึ่งมีอันดับอยู่หลังจากเขาไปไม่น้อย

ตามหลักเหตุผลแล้ว ผ่านไปนานป่านนี้กลับยังไม่ปล่อยเรื่องใหม่ออกมา ก็ควรสั่งสมตบะและปล่อยท่าไม้ตายที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงออกมาไม่ใช่หรือ?

ปรากฏว่า ผ่านไปตั้งนาน กลับเบ่งผลงานใหม่ที่…ได้แค่นี้เนี่ยนะ?

“หมดไอเดียแล้ว?”

มีบางคนคาดเดา

มีนักเขียนบางคนซึ่งแตะถึงจุดรุ่งโรจน์แล้ว เริ่มค่อยๆ ร่วงลงสู่สามัญหลังจากเผยแพร่ผลงานอันยอดเยี่ยมไปได้ไม่กี่เรื่อง เพียงแต่หลายคนไม่คิดว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นกับฉู่ขวง โดยเฉพาะหลังจากที่ฉู่ขวงเพิ่งปล่อยนิยายขนาดยาวซึ่งติดอันดับหนังสือขายดีไปสดๆ ร้อนๆ

แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีเสียงคัดค้านความคิดเช่นนี้อยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

‘มีคนมีเจตนาแอบแฝงคอยจ้องเล่นงานฉู่ขวงอยู่ พอคนเขาพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็กัดไม่ปล่อย ฉู่ขวงคว้าอันดับสองเท่านั้นแหละก็รีบกระโดดออกมาเลย…’

ในความเป็นจริง ความเห็นเช่นนี้จึงจะเรียกว่าเป็นกระแสหลัก

ผู้คนส่วนใหญ่ยินดีให้พื้นที่แก่ ‘ฉู่ขวงทั้งหลาย’

ในที่นี้ใช้คำว่า ‘ทั้งหลาย’ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นบนโลกออนไลน์

เพื่อนร่วมอาชีพกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจ ในวงการวรรณกรรมมีค่านิยมของบุคลากรดูถูกและซ้ำเติมกันเอง รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมสายอาชีพกันซึ่งนับว่าเป็นจุดที่รุนแรงที่สุด

เพราะฉะนั้นต่อให้ผ่านไปอีกสักกี่ปี เมื่อใดที่มีนักเขียนสักคนแสดงศักยภาพออกมาไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ก็จะได้รับการปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน

ปรากฏการณ์นี้ ในสายตาของคนสายวรรณกรรมบางส่วนนั้นคือความเป็นพิษอย่างหนึ่ง

สิ่งที่คนเหล่านั้นมุ่งเป้าไปไม่ใช่ฉู่ขวง หากแต่เป็นทุกคนที่ไม่สามารถทำผลงานได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้ง ทั้งที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว หนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงฉู่ขวงด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ใครหลายคนคาดไม่ถึงก็คือ…

ขณะที่โลกภายนอกกำลังถกเถียงกันว่ามาตรฐานของเรื่องสั้นของฉู่ขวงในครั้งนี้ตกลงไปหรือไม่นั้น อันดับของเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม ก็ถึงกับทะยานขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมายตั้งแต่ช่วงเวลาเก้าโมงเช้าของวันที่สอง!

ทุกคนเห็นกับตาว่าจำนวนโหวตของเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามนั้นทวีคูณขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด!

ครั้นถึงเวลาบ่ายสอง บะหมี่หยางชุนหนึ่งชามก็ขึ้นไปครองบัลลังก์แชมป์ได้สำเร็จ!

“บ้าน่ะ เกิดอะไรขึ้น”

บนบลูสตาร์ไม่อนุญาตให้มีการปั่นโหวต และผู้คนบนบลูสตาร์ก็เรียกได้ว่ารังเกียจพฤติกรรมนี้เข้ากระดูกดำ!

ไม่มีใครกล้าปั่นโหวต เพราะจะส่งผลให้เสื่อมเสียชื่อเสียงโดยตรง!

ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายเทคนิคของปู้ลั่วก็ไม่ได้มีไว้ให้นั่งกินเงินเดือนเล่นๆ สักหน่อย มีหรือจะปล่อยให้การปั่นโหวตอย่างเปิดเผยเช่นนี้เกิดขึ้นได้?

ทุกคนต่างมึนงงกันถ้วนหน้า

ถ้าไม่ใช่การปั่นโหวตละก็ ทำไมจู่ๆ เรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามถึงได้เร่งเครื่องขึ้นมาแซงหน้าเซินเจียรุ่ยได้ง่ายๆ แบบนี้ล่ะ

“มาดูเร็ว!”

ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงสับสนกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เปิดช่องข่าวเช้าช่องจงโจวทีวีเร็ว สื่อทางการรายงานเกี่ยวกับเรื่องสั้นเรื่องใหม่ของฉู่ขวงด้วย!”

พรึ่บๆๆ!

ทุกคนรีบกดหาข่าวช่องจงโจวทีวีในทันที และได้เห็นพาดหัวข่าวเขียนไว้ว่า [สถานีรถไฟสำหรับคนหนึ่งคน]!

ส่วนข่าวนำเขียนไว้ว่า

เรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามในโลกความจริง!

สถานะของจงโจวทีวี เท่ากับสถานีกลางของบลูสตาร์ เป็นสถานีโทรทัศน์ที่กำแพงทางวัฒนธรรมไม่สามารถกีดกันได้ เพียงแต่ผู้คนในวงการนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องสั้นของฉู่ขวงจะได้รับการยอมรับจากสื่อที่ใหญ่ที่สุดในบลูสตาร์!

ทุกคนต่างกดเปิดข่าว…

………………………………………………..