ตอนที่ 157 หลิงเอ๋อร์ขอการสนับสนุนให้ศิษย์พี่ก่อนจากไป (1)
ยามรุ่งอรุณ ระฆังในสำนักดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง
มีศิษย์สี่สิบแปดคนจากยอดเขาต่างๆ ที่ถูกเรียกมารวมกันก่อนหน้านี้ พวกเขาขี่เมฆสามสิบสองก้อนและบินมาจากทั่วทุกสารทิศไปที่หอไป่ฝาน
เมื่อเอาจำนวนคนหักลบด้วยจำนวนเมฆก็เกือบจะเป็นจำนวนของคู่บำเพ็ญเต๋าแล้ว นั่นคือมีคู่บำเพ็ญเต๋าราวสิบหกคู่
ในฐานะเป็นหนึ่งในสองของหัวหน้าศิษย์สำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่วจึงไม่รู้สึกผิดปกติในเรื่องนี้
เพราะเป็นเรื่องปกติของสำนักที่เขาคุ้นชินมานานแล้ว
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาไปรวมตัวที่หอไป่ฝาน ก็จะได้ยินศิษย์พี่หญิงเยี่ยนเอ๋อร์เรียกเขาว่า “ศิษย์น้องฉีฉี” หลายครั้งมากเกินไป จนในใจของเขานั้น…ไม่มีระลอกคลื่นปัญหาใดๆ อีกต่อไปแล้ว
คราวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เห็นว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูและเทพเฒ่าจันทราสร้างความวุ่นวายให้สำนักเซียนขนาดใหญ่อย่าง สำนักเซียนเซียวเหยาได้อย่างไร!
เพื่อให้มองโลกในแง่ดียิ่งขึ้น ในบรรดาสามสำนักบำเพ็ญเต๋าเหล่านี้ สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินน่าจะมีค่าเฉลี่ยของศิษย์ที่มีลักษณะหน้าตาดีที่สุด!
นี่อาจเป็นวิธีที่บุรุษและสตรีจะทำให้ตัวเองเป็นที่สนใจในสายตาของผู้อื่น
ความจริงแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเป็นกังวลในเรื่องความเจริญรุ่งเรืองของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้านล่าง หลี่ฉางโซ่วจะไม่วุ่นวายใดๆ
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้พูดคุยกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ หลี่ฉางโซ่วเคยเตือนเขาอย่างสุภาพว่า หากเขาต้องการให้สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินรุ่งโรจน์ด้วยการให้มีการครองคู่และเจริญพันธุ์มากขึ้นนั้น จริงๆ แล้ว มันเป็นความพยายามที่ให้ผลลัพธ์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เขาไม่รู้ว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยอมรับการเสนอแนะเล็กน้อยนั้นหรือไม่
จากนั้นเป็นต้นมา หลี่ฉางโซ่วก็ได้มอบตำแหน่งแปะป้ายสีทองอร่ามให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ซึ่งเป็นบุรุษสูงวัยที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้ครองพรหมจรรย์มายาวนานจนพลังหยางเปี่ยมล้นสูงสุดฟ้า!
กล่าวกันว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเป็นมนุษย์คนแรกที่เทพีหนี่วาสร้างขึ้นมา
ตามบันทึกของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ในสมัยนั้น เหล่าจื้อ บรรพชนไท่ชิงได้รับพลังปราณม่วงหงเหมิงแล้ว และต้องบรรลุเต๋าแห่งสามศพ[1] แต่ยังขาดไปหนึ่งก้าว เขาจึงไม่อาจกลายเป็นจอมปราชญ์เทพได้ บางครั้งเขาได้เห็นเทพีหนี่วาสร้างมนุษย์ขึ้นมา หลังจากนั้น เขาก็หยั่งรู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีชะตากรรมพิเศษและมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเขาอย่างล้ำลึก
ดังนั้น เหล่าจื้อจึงก่อตั้งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินขึ้นมาเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ รับบุญจากเต๋าสวรรค์ และกลายเป็นจอมปราชญ์เทพในทันที
หลังจากเป็นจอมปราชญ์เทพแล้ว เหล่าจื้อก็ตั้งใจเลือกปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูในบรรดามนุษย์กลุ่มแรกในวันนี้เพื่อแสดงอำนาจ และนำเขากลับไปที่ภูเขาคุนหลุนเพื่อสั่งสอนและมอบเต๋าให้กับเขา
ดังนั้นตำแหน่งทรงเกียรติแห่งปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ของ ‘ศิษย์พี่ใหญ่’…จึงสมควรอย่างยิ่งแล้ว!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องตลกชวนขบขันเท่านั้น
หลี่ฉางโซ่วรู้มานานแล้วว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเป็นปรมาจารย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสามสำนักบำเพ็ญเต๋า
จนถึงตอนนี้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้เปิดเผยความสามารถต่อหน้าผู้คนสองครั้ง และทุกครั้ง เขาก็สร้างชื่ออันทรงเกียรติให้กับบรรพชนไท่ชิง
หลี่ฉางโซ่วได้เห็นบันทึกโดยละเอียดในตำราโบราณของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน…
ในช่วงสงครามจอมเวท-ปีศาจครั้งที่สองในสมัยโบราณ ด้านหน้าของอารามอู่จวงของเจิ้นหยวนต้าเซียน ซึ่งเป็นบรรพชนของเซียนพิภพ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูมีเจดีย์วิจิตรเทียนตี้เสวียนหวงอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาเผชิญหน้ากับจักรพรรดิปีศาจบูรพาไท่จีที่ต้องการสังหารเผ่าพันธุ์มนุษย์และหลอมกระบี่สังหารจอมเวท
เกิดการต่อสู้นองเลือดเพื่อหยุดยั้งจักรพรรดิปีศาจ
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูได้ปกป้องมรดกส่วนเล็กๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเปิดเผยความสามารถของปรมาจารย์จอมปราชญ์ ทำให้ปีศาจที่อยู่ในสถานะสูงสุดไม่กล้าทำร้ายมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเป็นเพียงศิษย์ที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยปี แต่กลับเผยความแข็งแกร่งได้เหนือกว่าจักรพรรดิปีศาจไท่จีแล้ว
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ลงมือโจมตีครั้งที่สองในสงครามจอมเวท-ปีศาจครั้งที่สามในยุคโบราณ ในระหว่างการโต้กลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์…
ในขณะนั้นปรมาจารย์เผ่าเวทได้ต่อสู้อย่างสุดกำลังและเข่นฆ่าปรมาจารย์แห่งศาลปีศาจ แต่ศาลปีศาจยังไม่ล้มลง และปรมาจารย์เผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็ฉวยโอกาสนี้โจมตีพิฆาตเหล่าปีศาจ
ในการต่อสู้ครั้งนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเคยได้ปรากฏตัวขึ้น
เขาก้าวขึ้นไปบนสมบัติชั้นยอด แผนภาพไทจี๋ และเจดีย์วิจิตรเทียนตี้เสวียนหวงที่อยู่เหนือเขาพร้อมกับถือคทาเฉียนคุน บุกทะลวงเข้าไปในศาลปีศาจเพียงลำพัง แล้วทำร้ายจักรพรรดิปีศาจบูรพาไท่จีอย่างรุนแรงก่อนจะบังคับเอาสมบัติเซียนเทียน และไล่จักรพรรดิปีศาจบูรพาลงไปในทะเลโกลาหล เขาไม่ยอมปล่อยให้จักรพรรดิปีศาจบูรพาไท่จีส่งต่อสมบัตินี้ให้กับผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!
ในการต่อสู้ครั้งนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์เดิมพันด้วยโชคแห่งเผ่าพันธุ์ของพวกเขา
ไม่ว่าพวกเขาโค่นล้มศาลสวรรค์ของเผ่าปีศาจและกลายเป็นผู้โดดเด่นในใต้หล้าโดยได้รับการยอมรับจากเต๋าสวรรค์หรือถูกบังคับให้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครั้ง!
หลังจากนั้น เรื่องนี้ก็กลายเป็นตำนาน และบุรุษผู้นั้นก็ไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย…
ในโลกบรรพกาล มีคนไม่มากนักที่ค่อยๆ กล่าวถึงนามของเขาทีละน้อย
และมนุษย์ผู้ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือศิษย์พี่ใหญ่นิรนามแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน…
เวลานี้ เขาเป็นเพียงนักพรตเต๋าเยาว์วัยที่ดูธรรมดา ผู้ชอบหรี่ตาและแย้มยิ้ม เขาทุ่มเทอย่างเต็มกำลังใน ‘แผนการหมื่นปีแห่งการเจริญพันธุ์มนุษย์ครั้งใหญ่ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน’!
ขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ เขาก็มาถึงหน้าหอไป่ฝานแล้ว
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วย่อมไม่กล้าบอกผู้ใดถึงตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เขามอบให้ศิษย์พี่ใหญ่จากใจ…
ขณะนี้ ยังมีเวลาอีกครึ่งปีก่อนที่สำนักตู้เซียนจะออกเดินทางสู่ดินแดนเทวะมัชฌิมา
ความถี่ในการเรียกศิษย์สี่สิบแปดคนไปยังหอไป่ฝานก็เปลี่ยนจากปีละครั้งมาเป็นสามเดือนครั้ง
ตามประเพณีของดินแดนเทวะมัชฌิมาและดินแดนเทวะบูรพาแล้ว การประชุมเช่นนี้ ย่อมต้องมีการต่อสู้แลกเปลี่ยนทักษะระหว่างเหล่าศิษย์ด้วยอย่างแน่นอน
ในเวลานั้น ยิ่งศิษย์เหล่านี้มีอายุน้อย แต่มีฐานพลังปราณสูง และความสามารถมากเท่าใด แน่นอนว่า ฝ่ายเต๋าที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาก็จะยิ่งได้รับการยกย่องมากขึ้นเท่านั้น
เฉกเช่นโหย่วฉินเสวียนหย่า ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่บรรลุไปถึงขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นแปด มีทักษะวิทยายุทธ์ และพลังเวทสูง ทั้งยังเป็นศิษย์สาวที่มีรูปโฉมล้ำเลิศซึ่งกำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เพื่อกลายเป็นเซียน นางย่อมจะนำความรุ่งโรจน์มาสู่สำนักตู้เซียน ทว่าในทางกลับกัน หลี่ฉางโซ่วได้ปลอมตัวเป็นศิษย์ที่มีอายุเกือบสองร้อยปีและแทบไปไม่ถึงขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นสาม เขามีรูปโฉมไม่เลว แต่นอกเหนือจากค่ายกลและเวทหลบหนีแล้ว ความสามารถของเขาในด้านอื่นๆ ก็ถือว่าธรรมดาเท่านั้น เขาเป็นเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ที่ใช้เวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย…
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ถูกจัดให้ลงสู่สนามประลอง!
ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงฉวยประโยชน์จากสถานการณ์นี้พายเรือตามน้ำและวางตัวเองให้อยู่ในฐานะศิษย์รับใช้ที่คอยดูแลรับผิดชอบในการทำงานต่างๆ
ทุกครั้งที่มีการเรียกบรรดาศิษย์มาร่วมหารือกัน หลี่ฉางโซ่วไม่เคยเผยความคิดเห็นใดๆ และยืนกรานที่จะมีคุณสมบัติสามประการด้วยกัน
“ศิษย์น้องโหย่วฉินพูดถูก”
“ศิษย์น้องโหย่วฉินกล่าวได้สมเหตุผล”
“ข้าจะจดจำคำสั่งสอนของท่านผู้อาวุโสทั้งหมด”
หลี่ฉางโซ่วจะมั่นคงและธรรมดามากขึ้น แล้วจะได้รู้แจ้ง!
เมื่อ ‘หายดีแล้ว’ หลี่ฉางโซ่วจึงจัดการกับสถานการณ์ในลักษณะเช่นนั้นหลายครั้งติดต่อกันด้วยการโป้ปดและปกปิดตัวเองจากผู้คนในระดับสูง… แค่กๆ เขาดูแลสิ่งต่างๆ ได้อย่างชำนาญมากขึ้นและสะสมประสบการณ์ต่างๆ มากมายเพื่อการทำงานในศาลสวรรค์ในอนาคต
ในเรื่องนี้ หลี่ฉางโซ่วรู้ขอบเขตจำกัดของเขาในด้านนั้นเสมอ
เขารักษาระยะห่างจากเหล่าเมล็ดพันธุ์เซียนและศิษย์ที่โดดเด่นของยอดเขาต่างๆ ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยกันดีจึงต่างเพียงพยักหน้าให้กันอย่างไม่ใส่ใจนัก
ยามนี้ แน่นอนว่า การปลอมตัวอยู่ในสำนักของหลี่ฉางโซ่วได้บรรลุสู่ขั้นที่สามแล้ว
ขั้นแรกคือต้อง ‘ใสซื่อ’ และทำตัวให้ต่ำไร้ความสำคัญ แต่นอกจากเงินสนับสนุนรายเดือนของเขาแล้ว เขาก็สามารถไปที่หอพระสูตรเต๋าเพื่อค้นหาขยะเท่านั้นซึ่งและไม่ได้พบทรัพยากรมากนัก
ขั้นตอนที่สองคือการปลอมตัวตามธรรมชาติและคงภาพของเมล็ดพันธุ์เซียนด้อยคุณภาพเอาไว้เพื่อลดความโดดเด่นลง แต่ปรากฏการณ์หลายอย่างก็อาจสมเหตุผลมากกว่า
ขั้นตอนที่สาม คือ บัดนี้ การทำตามตัวอย่างที่ดี และเป็น ‘รองหัวหน้า’ ผู้ถ่อมตน มั่นคง และไม่สร้างปัญหา…
…………………………………………………………..
[1] สามศพหรือหนอนสามตัว คือ ละวางสามสิ่ง ความต้องการของตัวเรา ความรู้สึก เช่นอิจฉาริษยา ลุ่มหลง โมโห โกรธ ความโง่งมของตัวเรา ซึ่งต้องกำจัดออกไปเพื่อให้จิตใจบริสุทธิ์