บทที่ 270 มีบ้านทองคำอยู่ในหนังสือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 270 มีบ้านทองคำอยู่ในหนังสือ

บทที่ 270 มีบ้านทองคำอยู่ในหนังสือ

ตอนแรกที่ใช้ชีวิตด้วยกันกับหม่านซิ่วก็คิดแค่ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายและอ่อนโยน เหมาะจะใช้ชีวิตด้วย

การที่มีผู้หญิงแบบนี้อยู่ด้วย ทำให้เขารู้สึกสงบได้

เพราะงั้น ถึงแม้ฐานะบ้านซูจะไม่ดี แต่เขาก็ไม่มีความลังเลเลยสักนิด

ตั้งแต่แต่งงาน เขาก็พร้อมจะช่วยบ้านหลักตระกูลซู

ที่จริงเขาก็ทำแบบนี้เลยตั้งแต่แรก

แต่ไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากนั้นมา บ้านซูจะคอยหนุนยิ่งกว่าเดิม

ชีวิตเล็ก ๆ กับสมาชิกสามคนในบ้านเป็นอะไรที่สะดวกสบาย อีกอย่างคือได้ความช่วยเหลือจากบ้านพ่อตาด้วย

สองปีมานี้ อดีตผู้นำพูดมากกว่าหนึ่งครั้งว่าเขาควรช่วยเหลือคนบ้านหลักตระกูลซูเสียหน่อย

ทว่ากลับได้รับความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย

ตอนนี้เฉินจื่ออันมีความรู้สึกหนึ่งคือ แต่งงานกลับผู้หญิงคนนี้แล้วได้รับการตอบแทน

ขณะที่กำลังคิดอยู่เงียบ ๆ เลขาคังก็เดินไปหาเด็ก ๆ บ้านซูแล้ว

ซูเหล่าซานเป็นคนพาพวกเขามาที่นี่

แม้ตัวเขาจะเคยพบกับผู้นำบางคนในอำเภอมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนในระดับเลขา จึงอดขลาดกลัวไม่ได้

เด็กคนอื่น ๆ ยิ่งไม่เคยเห็นผู้นำใหญ่แบบนี้อย่างเลขาคังมาก่อน

โชคดีที่ครูใหญ่กัวอยู่ด้วย พอเห็นอีกฝ่าย เด็ก ๆ ก็สงบมาก

“สวัสดีพวกเธอนะ ได้เห็นแล้วรู้สึกดีใจจริง ๆ เหล่าผู้มีความสามารถในอนาคต!”

เลขาคังเหมือนเห็นแสงสว่างแห่งความหวัง มันทำให้พวกโส่วเวินผงะไปเล็กน้อย

พวกเขาแค่โชคดีสอบได้ดีเท่านั้น จะเป็นเสาหลักขนาดนั้นได้อย่างไร

“ละ… เลขาคังครับ ท่าน… ท่านพูดแบบนี้ พวกเราละอายใจ…” โส่วเวินเป็นคนที่กล้าหาญที่สุด จึงรีบพูดย่างรีบร้อน แต่น้ำเสียงตะกุกตะกัก

ซื่อเลี่ยงยังดีอยู่ อย่างน้อยก็ยังทรงตัวได้ แต่ซานกงเผลอถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่ง

“เลขาคัง พวกเด็ก ๆ ขี้อายนิดหน่อยน่ะครับ” พอเห็นท่าทางหลาน ๆ เฉินจื่ออันก็รีบอธิบาย

ครูใหญ่กัวหัวเราะทันที “เลขาคังอย่าถือสาเลย เด็ก ๆ เพิ่งมาเรียนที่โรงเรียน ยังไม่เคยเห็นโลกมาก่อนน่ะ”

“ไม่ถือสาหรอก เด็กพวกนี้มีความสามารถ เป็นเด็กของเมืองเรา ผมจะรังเกียจได้ยังไง?” เลขาคังโบกมืออย่างใจดี มีความภูมิใจเล็กน้อยในน้ำเสียงของเขา

ไม่ภาคภูมิใจได้ไหมเนี่ย?

ห้าอันดับแรกของจังหวัดมีโรงเรียนเราสามอันดับ ซึ่งเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

เลขาคังยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดในอำเภอได้มาหลายปี และกระแสลมที่ชั่วร้ายไม่สามารถทำให้เขาหมดหวังได้ เดิมทีตนเองก็มีความสามารถอยู่แล้วด้วย

จุดสำคัญที่สุดหนึ่งอย่างคือ มีเมตตาต่อผู้อื่นและไม่ดูหมิ่นใคร

แม้ว่าจะเป็นชาวนาในชนบท เลขาคังก็ยังปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ

ยิ่งไปกว่านั้นคือ เด็ก ๆ เหล่านี้จะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน และเขาอยากจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย

เลขาคังปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นมิตรและสุภาพ ทำให้พวกเด็ก ๆ รู้สึกสบายใจ และพูดคุยกันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขามีความสุขกันมาก

หลังจากการพบเจอกันช่วงสั้น ๆ ซูโส่วเวินก็กลับบ้านพร้อมอาเขย

พวกเขารู้สึกสับสนมึนงงไปตลอดทาง

แถมยังถือเงินมาอีกด้วย พวกเขาได้รับเงินอีกครั้ง?

อีกอย่างคือ ไม่ใช่ห้าหยวนที่หัวหน้าซูมอบให้ หรือยี่สิบหยวนที่ทางชุมชนใหญ่มอบให้

แต่เขากลับให้มาถึงสามร้อยหยวน

สามพี่น้องถือเงินไว้ในมือ เงินปึกนั้นหนามาก

“พี่ใหญ่ ได้ยินว่าถ้าเราไปเรียนจะได้เงินเดือนละสิบห้าหยวนใช่ไหม?” ซื่อเลี่ยงถาม

“ได้ยินอาจารย์เสิ่นบอกว่าสิบห้าหยวนนะ”

“เลขาคังให้เงินช่วยเหลือเราเผื่อถึงยี่สิบเดือนเลยนะ!” ซื่อเลี่ยงพึมพำ

โตมาตั้งขนาดนี้เพิ่งเคยเห็นเงินจำนวนนี้ครั้งแรกเลย เขาสับสนมากไม่กล้าเชื่อเลยว่าตนฝันอยู่หรือเปล่า

ซานกงได้ยินคำพูดพี่รอง สีหน้าก็เคร่งเครียด เขาเอ่ยถามอย่างลังเล “เราได้รับเงินช่วยเหลือจากเลขาคัง อีกสองปีจากนี้จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยใช่ไหม?”

สีหน้าของโส่วเวินและซื่อเลี่ยงก็จริงจังเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้คงไม่มีความหมายแล้ว

“พวกเธอกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?” จื่ออันยิ้ม “นี่เป็นรางวัลที่ทางอำเภอมอบให้เพื่อส่งเสริมให้เธอตั้งใจเรียน ไม่ใช่แค่พวกเธอหรอกนะ แต่เด็กคนอื่น ๆ ที่สอบได้คะแนนดีก็ได้รับเหมือนกัน แต่ไม่เยอะเท่าพวกเธอหรอก!”

ครั้งนี้มีผู้บริจาครายใหญ่จากอำเภอมอบให้เป็นจำนวนเงินทั้งหมดสามพันหยวน

เพื่อจะนำเอกสารธุรกรรมการเงินออกมา จึงมีการประชุมอยู่สามครั้งจึงจะตัดสินใจได้ในที่สุด

เงินรางวัลแบ่งออกเป็นหลายอันดับ รางวัลแรกคือเงินสามร้อยหยวน เป็นรางวัลของคนที่สอบได้สิบลำดับแรกในจังหวัด แต่ละคนจะได้รับเงินคนละสามร้อยหยวน

ในสิบอันดับมีสามพี่น้องบ้านซู

รางวัลที่สองคือ ลำดับที่สิบเอ็ดถึงยี่สิบ จะได้เงินคนละสองร้อยหยวน

มีแค่เสี่ยวเหมยคนเดียวที่อยู่ในลำดับที่สิบเอ็ดถึงยี่สิบ

หรือพูดอีกอย่างคือ เสี่ยวเหมยได้เงินสองร้อยหยวน

ลำดับหลังจากนั้น รางวัลก็จะแตกต่างกันไป

เสี่ยวเหมยกำซองในมือด้วยวามตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

เสิ่นจื่อเจินมารับพวกเธอไปเมืองหลวงด้วยตัวเอง ทั้งยังบอกอีกว่าจากนี้จะดูแลอย่างดี

แต่เสี่ยวเหมยพะวงว่า เธอกับน้องจะทำให้แม่ลำบาก

เพราะพวกเราไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเสิ่นจื่อเจิน แถมอีกฝ่ายก็มีลูกเป็นของตัวเองด้วย

มีใครที่หาเงินแล้วจะไม่เอาให้ลูกตัวเองก่อน จะมาให้ลูกบ้านอื่นทำไม?

ตอนนี้เธอมีเงินในมือมากกว่าสองร้อยหยวน บวกกับเงินช่วยเหลือรายเดือนของมหาวิทยาลัยอีก เธอไม่จำเป็นต้องใช้เงินของลุงเสิ่นแล้ว

ถ้าไปถึงเมื่อไรแล้วมีวิธีหาเงิน เสี่ยวกังอาจจะช่วยประหยัดเงินลุงเสิ่นได้

เธอไม่มีความต้องการอื่น และคิดว่าการเป็นแม่คงลำบาก เธอจึงอยากให้แม่ใช้ชีวิตโดยไร้ภาระ

เสิ่นจื่อเจินและเถาฮวาไม่รู้ว่าเสี่ยวเหมยคิดเรื่องนี้ และคิดจะหาเงินด้วยตัวเอง

ถ้ารู้… เสิ่นจื่อเจินจะบอกแน่นอนว่าถึงตัวเขาจะหาเงินได้เยอะ แต่มันก็ไม่พอที่จะเลี้ยงดูลูก

แท้ ๆ ของเขาหรอก

กลับกัน โส่วเวินเห็นความผันผวนบนใบหน้าเด็กสาว ถึงกระซิบถาม “เสี่ยวเหมยคิดอะไรอยู่น่ะ?”

อีกฝ่ายยิ้ม “ไม่ได้คิด แค่มองอนาคตข้างหน้าเฉย ๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้เรียนมหาวิทยาลัยกับเขาด้วย”

ตอนนั้นพ่อแท้ ๆ บอกว่าเธอเป็นผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือเยอะหรอก เพราะถ้ามีเรื่องการแต่งงานมันจะเสียเงินเยอะด้วย

แต่ไม่คิดว่าผ่านมาไม่กี่ปี เธอจะสอบเข้ามหาลัยได้

“ลุงเสิ่นเป็นคนดีมาก เขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนลูกสาวตัวเองนะ” โส่วเวินปลอบ

ถึงเสี่ยวเหมยจะไม่พูดอะไร แต่บอกได้เลยว่าเธอกังวลอะไรอยู่

เสี่ยวเหมยเงียบไปชั่วครู่ ก่อนยิ้มตอบ

“ฉันแค่กังวลว่า พอไปถึงแล้วลุงเสิ่นที่คอยดูแลพวกเขาจะกลายเป็นภาระหนัก”

โส่วเวินไม่ได้เอ่ยคำใด ความกังวลนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ

ที่ชนบทเรา ผู้ชายคนเดียวดูแลครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย

อีกอย่างที่เมืองหลวงมีแต่ของแพง ตัวคนเดียวต้องเลี้ยงดูทั้งครอบครัวมันลำบากมาก

“งั้นมีอะไรก็บอกฉันสิ ฉันจะพยายามช่วยเธอเอง!”

โส่วเวินมองเด็กสาวที่โตมาด้วยกัน เขาจะคอยสนับสนุนเอง

เด็กสาวยิ้ม

คนบ้านซูที่เหลือรู้จากหม่านซิ่วว่าเด็ก ๆ ไปพบผู้นำอำเภอ และได้รับรางวัลกลับมา

พอรู้ว่าได้รับรางวัลก้อนใหญ่ ทุกคนตกใจจนอ้าปากค้าง

“ไม่แปลกใจเลยที่คนบอกว่ามีบ้านทองคำอยู่ในหนังสือ*[1] ฉันยังไม่เชื่อเท่าไร แต่ตอนนี้เชื่อ แล้ว!”

หวังเซียงฮวาตบต้นขา และรู้สึกมีความสุขมาก

ลองคิด ๆ ดู เรียนหนังสือก็ดีนะ ได้เงินตั้งสามร้อยหยวน พวกเราทั้งบ้านตรากตรำทำงานตลอดทั้งปีเพิ่งจะได้เงินเท่าไรเอง?

“ฉันสับสนเหลือเกิน พวกเธอที่เข้าเมืองมาทำงานก่อนน่าจะเรียนหนังสือก็คงจะดีนะ!”

หวังเซียงฮวาพึมพำด้วยความดีใจ

ส่วนฉีเหลียงอิงจดจ่อกับจำนวนเงินที่น่าตกใจ

สามร้อยหยวน เธอทำงานหนักที่โรงงานมาทั้งปียังไม่ได้ถึงขนาดนั้นเลย

ไม่คิดว่าซื่อเลี่ยงจะได้รับเงินขนาดนี้

แค่เรียนหนังสือก็ได้เงินตั้งขนาดนี้แล้ว!

คิด ๆ ดู โส่วเวินกับซานกงของครอบครัวเหล่าต้าได้เงินรวมกันตั้งหกร้อยหยวนเลยนะ เธอรู้สึกว่าบ้านตัวเองกำลังเสียเปรียบ

แต่เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้

ตอนนั้นฉีเหลียงอิงมุ่งมั่นให้ลูกที่เหลือทั้งสามตั้งใจเรียนอย่างหนัก

“ก่อนหน้านี้ยังพูดกับพี่สะใภ้รองอยู่เลยว่าพวกเด็ก ๆ ไปเรียนหนังสือ พวกเราจะทำงานหาเงิน ไม่อยากให้เขาลำบาก แต่ใครจะรู้เล่าว่าเด็ก ๆ หาเงินได้ด้วยตัวเองแล้ว” เหลียงซิ่วหัวเราะคิกคัก รอยยิ้มจริงใจประดับบนใบหน้า

ถึงลูก ๆ เธอจะไม่ได้เงิน แต่ก็มีความสุขกับหลาน ๆ อย่างแท้จริง

หลาน ๆ บ้านหลักตระกูลซูมีความสามารถ เวลาออกไปข้างนอก คนอื่นก็จะมองพวกเขาต่างออกไปเลย

เหลียงซิ่วไม่รู้ และคิดว่าเงินพวกนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลูกเธอ

ยกเว้นเสี่ยวเถียน ไม่มีใครรู้ว่าเธอได้รับประโยชน์จากมันไม่น้อย

ตอนนี้ประหลาดใจมากที่รู้ว่าตนเปิดใช้งานภารกิจลับ

ชื่อของภารกิจนี้คือ “หม้อทองใบแรก”

เนื้อหาหลักคือ พี่ชายของเสี่ยวเถียนได้รับเงินก้อนแรกจากการตั้งใจเรียนอย่างหนัก

ขอบเขตที่กำหนดจากระบบคือ ได้รับเงินหนึ่งร้อยหยวนในวันเดียว

อัตราความสำเร็จสูงสุดถึงสองร้อยเปอร์เซ็นต์

เธอทำสำเร็จได้ในคราวเดียวสามคน

นอกจากนี้ อัตราความสำเร็จของภารกิจทั้งสามคนนี้อยู่ที่สองร้อยเปอร์เซ็นต์ และมันจึงจะได้รับรางวัลสูงสุด

เพราะแบบนี้เธอจึงได้แต้มถึงสามพันคะแนน

เมื่อมองไปที่แต้มในระบบร้านค้า เสี่ยวเถียนถึงกับสับสน

ปัจจุบันเธอมีแต้มเกือบสี่พันคะแนนจากภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมแต้มจำนวนมากในครั้งนี้

แต่ในร้านค้าไม่มีอะไรเลย

แล้วจะเอาแต้มพวกนี้ไปทำอะไร? ปล่อยแบบนี้ไว้ไม่ได้หรือเปล่า?

ก็มันปล่อยไปไม่ได้นี่ จะทำอย่างไรดีเนี่ย?

“แอนนา บอกฉันทีว่าไอ้ระบบนี้ตัวนี้มันคืออะไร? แล้วร้านจะเปิดตอนไหน แต้มที่ได้จะคุ้มไหมเนี่ย?”

ระบบแอนนาไม่ตอบคำถามของซูเสี่ยวเถียน เหมือนเธอกำลังหลับ

เมื่อเสี่ยวเถียนไม่ได้รับคำตอบ จึงไม่ได้สนใจสิ่งนี้อีก

เด็กหญิงปิดอินเตอร์เฟซของระบบอย่างไม่เต็มใจ ก่อนออกไปเดินเล่นกับน้องชายคนเล็ก

เพราะระบบมันมอบให้มาแล้ว ไม่ว่าเท่าไรก็ได้รับมาแล้ว

ตอนนี้เฉินซิ่วหย่วนกำลังจะอ้วนท้วมสมบูรณ์ เสี่ยวเถียนมองใบหน้าอ้วนกลมสีชมพูที่แสนน่ารักนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอามือมาหยิกแก้ม

น่าแปลก ซิ่วหย่วนมีนิสัยไม่ค่อยสนใจใคร เขาไม่ชอบให้ใครมาหยิกแก้ม และไม่อยากจะให้มือใครมาโดนด้วย

แต่กับเสี่ยวเถียน เขากลายมาเป็นซาลาเปาตัวน้อยที่แสนนุ่มนิ่มในทันที

ถึงเสี่ยวเถียนจะหยิกแก้มเขาเสมอ แต่เขาก็ไม่ขัดขืนเลยสักนิด

ยิ่งไปกว่านั้น พอเสี่ยวเถียนหยิกแก้มซ้ายเสร็จก็ย้ายไปแก้มขวา ท่าทางของน้องชายเหมือนแมวลายตัวอ้วนแสนน่ารักที่อยู่ข้างบ้าน

เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วมองท่าทางน้องชายคนเล็กที่อยู่ต่อหน้าเสี่ยวเถียน เหมือนโดนโจมตีอย่างแรง

ทำไมเด็กคนนี้ไม่มีความเท่าเทียมเลย?

พี่สาวหยิกแก้มได้ แต่พี่ชายหยิกแก้มไม่ได้เนี่ยนะ?

เสี่ยวจิ่วไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้ เขาฉวยโอกาสทีเผลอแอบหยิกแก้มน้องชายตัวเล็กทันที

ยังไม่ทันชักมือกลับ ซิ่วหย่วนหันกลับมาเจอพอดี

“พี่ชายนิสัยไม่ดี พี่ชายตัวเหม็น!”

เสี่ยวเถียนตกใจตอนน้องชายเจอพี่เก้า

เมื่อเสี่ยวเถียนเห็นท่าทางน่ารักของน้องชายและท่าทางงุนงงของพี่เก้าก็อดหัวเราะไม่ได้ ท่าทางที่เด็กคนนี้ทำหน้าบึ้งตึงและว่าคนอื่นมันตลกมากเลย

พี่เก้าก็ด้วย ทำอะไรก็ไม่ดี แต่ก็ยังชอบไปแกล้งน้องตลอดเวลา

“เสี่ยวเถียนหยิกได้ ทำไมไม่เรียกเขาว่าพี่สาวตัวเหม็นล่ะ” เสี่ยวจิ่วน้อยใจ

“พี่สาวก็คือพี่สาว!” เฉินซิ่วหย่วนทำหน้าเหมือนอีกฝ่ายโง่มาก

เอาเถอะ เหตุผลแบบนี้มันไม่มีใครอีกแล้วจริง ๆ

เสี่ยวปาหัวเราะลั่น ส่วนเสี่ยวจิ่วก็อดหัวเราะไม่ได้

ขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะเฮฮา พวกเฉินจื่ออันก็กลับมาพอดี

“กำลังคุยอะไรกันอยู่ ดูมีความสุขกันจังเลย?” เฉินจื่ออันกำลังอารมณ์ดี พอเข้าบ้านไปก็ยกยิ้มขึ้นแล้วถามลูกชาย

“พี่ชายไม่ดี ๆ หยิกผม ๆ!” เฉินซิ่วหย่วนตัวน้อยทำหน้าโกรธจัด แล้วชี้ไปที่พี่เก้าก่อนจะบ่นพึมพำ

โอ้ คนเป็นพ่อมองลูกชาย แล้วหันไปมองเสี่ยวจิ่ว

“ให้พี่รองหยิกคืนนะ!”

ซื่อเลี่ยงมีความสุขในทันที แล้ววิ่งไปหยิกแก้มน้องเก้าโดยไม่มอง

ถึงแก้มของเสี่ยวจิ่วจะไม่นิ่มเท่าซิ่วหย่วน แต่มันก็ยังนุ่มอยู่ดี

พอโดนหยิก เสี่ยวจิ่วรู้สึกว่าที่ซิ่วหย่วนพูดว่า “พี่ชายไม่ดี พี่ชายตัวเหม็น” มีเหตุผลจริง ๆ!

ซิ่วหย่วนเห็นว่าแก้มของพี่เก้าโดนหยิก เขาก็มีความสุขมาก ปรบมือส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

ต้องแบบนี้ซี่!

“กลับมาแล้วก็รีบกินข้าวเถอะ กินเสร็จจะได้ไปกัน” หม่านซิ่วตะโกนเรียก

พอได้ยินว่ากินข้าว เด็ก ๆ ก็วิ่งอย่างเริงร่าเข้าไปในบ้านอย่างมีความสุข

ได้กลิ่นอาหารอบอวลไปทั่วสวน และมันเป็นกลิ่นของเนื้อ

แม้ว่าบ้านเราจะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีอยู่ ช่วงเดือนหนึ่งก็ไม่ได้กินเนื้อน้อยลงเลย และยิ่งได้กลิ่นเนื้อก็รู้สึกดีมาก

เด็กพวกนี้อยู่ในวัยกำลังโต กินหมดถ้วยหนึ่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เริ่มหิวขึ้นอีกครั้ง

*[1] ผู้ใดมุมานะ ขยันมั่นเพียร ความมั่งมีศรีสุขก็จะตามมาเอง