บทที่ 271 สหายเก่าเราพบกันอีกครั้ง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 271 สหายเก่าเราพบกันอีกครั้ง

บทที่ 271 สหายเก่าเราพบกันอีกครั้ง

อาหารวันนี้เป็นการพบปะของบ้านเถาฮวาและสามพี่น้องบ้านซู

แม่สอง แม่สาม และอาใหญ่ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า แต่ก็เตรียมการเอาไว้อย่างดี

ตอนนี้มีเนื้ออยู่สี่จาน ทุกอย่างใส่ลงในจานกระเบื้องใบใหญ่

พวกโส่วเวินไม่รอคนอื่นต้อนรับ ทุกคนเริ่มลงมือกินทันที ปากเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน กินกันอย่างอิ่มหมีผลีมัน!

เห็นเด็ก ๆ แต่ละคนกินเหมือนหมาป่าเหมือนเสือ หวังเซียงฮวาเริ่มกลัวว่าพอไปถึงตัวจังหวัดจะหิวแบบนี้หรือเปล่า

เธอจึงถามออกไปด้วยความสงสัย

คุณย่าซูยิ้ม “พวกเขามีทั้งตั๋วเนื้อตั๋วธัญพืช แถมยังมีเงินเป็นของตัวเองอีก ไม่ต้องกังวลหรอก”

“อาหารที่โรงเรียนอร่อยนะ มีเงินช่วยเหลือทุกเดือนด้วย พวกเขาไม่หิวหรอกครับ” เสิ่นจื่อเจินให้คำมั่น

หวังเซียงฮวาเชื่อในคำพูด เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยนะ

เสี่ยวเหมยเป็นลูกสาว มีความละเอียดอ่อนกว่า ถึงจะไม่ได้กินอย่างเชื่อช้า แต่ก็ดีกว่าพวกโส่วเวินมาก

เสิ่นจื่อเจินคิดว่าเด็กคนนี้ไม่เลวเลย

แถมยังสอบติดมหาวิทยาลัยการเกษตรด้วย พอถึงตอนนั้นจะสอนเธอด้วยตัวเองเลย!

เสี่ยวเหมยไม่เห็นความภาคภูมิใจและความพึงพอใจของพ่อเลี้ยง เธอมัวแต่คิดเรื่องเงินในมือที่จะให้แม่อยู่

พอไปถึงที่นู่น ในมือแม่ก็จะมีเงิน แล้วแม่ก็จะยืนหยัดได้ด้วย

อีกด้านหนึ่ง จื่ออันกำลังพูดคุยอยู่กับพ่อตา

เขาบอกว่าได้รับโทรศัพท์จากอดีตผู้นำเมื่อเช้า อีกฝ่ายได้ยินว่าเขาจะส่งเด็ก ๆ ไปที่จังหวัด จึงให้เชิญคุณปู่คุณย่าซูไปด้วย

พอได้ยินเรื่องนี้ ผู้อาวุโสจึงได้แต่ตกใจเป็นอย่างมาก

ถึงจะเคยช่วยต่งหยวนจงมาก่อน แต่อีกฝ่ายก็จำบุญคุณครั้งนี้ได้ ถ้าไม่ได้ช่วยเหลือไว้ในตอนนั้น ชีวิตเขาคงจบแห่แล้ว

ตอนนั้นส่งของไปให้พวกเขาไม่น้อย แต่แค่นั้นก็พอแล้ว

หลังจากนั้นหลายปีก็ไม่มีข่าวคราวจากฝ่ายต่งหยวนจงเลย เขาแค่คิดว่าพัสดุในคราวนั้นก็เพียงพอแล้ว

แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำกันได้

ตอนนั้นคิดว่าอาจจะนึกถึงได้เพียงชั่วคราว หลังจากที่ตอบแทนก็จะลืมไปเลย

ตอนนี้พอได้ยินจากปากจื่ออัน จะไม่ตกใจได้อย่างไร?

“จริงหรือ?” คุณปู่ซูถามพลางลูบเครา

“จริงสิครับคุณพ่อ!” จื่ออันหัวเราะ

ไม่เคยเห็นพ่อตาไม่มีความมั่นใจแบบนี้มาก่อน

“เธอตอบตกลงแล้วหรือ?” คุณปู่ซูถามอีกครั้ง

ต่งหยวนจงไม่ใช่เด็กน้อยไม่รู้ความอีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นผู้นำสูงสุดในจังหวัด ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่าข้าราชการสุงสุดทางการทหาร

พวกขาจุ่มโคลนแบบพวกเราเอื้อมไม่ถึงหรอก!

จื่ออันว่า “ผมบอกว่าจะถามพ่อกับแม่ก่อนครับ”

ตอนที่พูดจบก็เห็นความลังเลของพ่อตา เขาจึงรีบเอ่ยขึ้นทันที

“อันที่จริง หลายปีมานี้อดีตผู้นำคิดถึงท่านนะครับ แต่ช่วงนั้นสถานการณ์ไม่ค่อยดี มีหลายครั้งที่ต้านไว้ไม่ไหวจึงไม่ได้มาหาท่าน”

แต่ช่วงนี้สถานการ์ดีขึ้นแล้ว อดีตผู้นำจึงอยากเจอผู้มีพระคุณ

แต่ทุกอย่างกำลังจะสูญเปล่า ในฐานะผู้นำของจังหวัดมันทำให้เขายุ่งมาก

ครั้งนี้จื่ออันจึงเป็นฝ่ายบอกว่าที่บ้านจะส่งเด็ก ๆ ไปที่ตัวเมืองจังหวัด เพื่อที่จะขึ้นรถไฟกัน

แน่นอนว่าอดีตผู้นำเชิญผู้อาวุโสทั้งสองทันที โดยบอกว่ากำลังจะไปตัวเมืองจังหวัดเพื่อไปพักผ่อนหย่อนใจ

“พ่อครับ ในเมื่อเขาเชิญเราแล้ว พ่อไปหาสักหน่อยเถอะ” เหล่าซานแนะนำ

คุณปู่ซูอยากเจอคนที่เคยช่วยไว้ในตอนนั้นด้วย จึงตอบตกลงทันที

เดิมทีคุณย่าซูไม่อยากไป แต่เสี่ยวเถียนบอกว่าอยากจะไปที่ตัวเมืองจังหวัดด้วย

เห็นแก่หลานสาว คุณย่าซูจึงตอบตกลง

ก็เด็กหญิงไม่เคยไปที่ตัวเมืองจังหวัดมาก่อน จะต้องอยากรู้อยากเห็นแน่นอน

ตอนนั้นคุณย่าซูลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองก็ไม่เคยไป

ก็เราอยู่หงซิน คนที่เคยไปก็มีหยิบมือเดียว หลังจากตัดสินใจก็ไม่รอช้า จัดการตัวเองแล้วรีบออกเดินทางทันที

“ถึงนั่งรถจะไว แต่หนทางลำบากอยู่นะ!” คุณย่าซูยังคงพึมพำตอนขึ้นรถ

“พอไปถึงแล้วถนนจะดีกว่าหงซินอีกครั้ง แม่นอนสักหน่อยเถอะ” เหล่าซานปลอบใจ

แม่เมารถ แต่ว่าไม่ต้องกังวลหรอก เพราะถนนหนทางที่จะไปเป็นถนนดี

คนที่เหลือส่งคนที่จะต้องเดินทางไปตัวจังหวัดขึ้นรถ

นอกจากคนที่ต้องขึ้นรถไฟแล้ว มีแค่คุณปู่คุณย่าที่ไปหาอดีตผู้นำเท่านั้น

จื่ออันพาภรรยาและลูกชายตัวน้อยติดตามไปด้วย

ส่วนเด็กคนอื่น ๆ คุณย่าซูให้สะใภ้ใหญ่ดูแลไปก่อน

หวังเซียงฮวาผูกพันธ์กับฟาร์มไก่มาหลายปีก็จริง อันที่จริงที่คุณย่าซูหมายถึงคือ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่ แต่ก็ไม่คิดจะกลับไปให้อาหารไก่ แต่เดินเล่นรอบเมืองแทน

ก่อนที่คุณย่าซูจะไป ยังให้ตั๋วเธอเป็นพิเศษเพื่อให้หวังเซียงฮวาได้ซื้อของให้ตัวเองสักหน่อย

ที่แรกเธอไม่ต้องการ แต่แม่สามียืนกรานจึงรับมันมาในที่สุด

เรื่องนี้ฉีเหลียงอิงกับเหลียงซิ่วไม่ได้ค้าน แถมยังบอกอีกว่าจะไปด้วย และซื้อม้วนผ้าใหม่ ๆ ให้พี่สะใภ้ใหญ่

ฝั่งนี้ค่อยว่ากัน ไปพูดถึงฝั่งคนที่จะไปตัวเมืองจังหวัดดีกว่า

คนกลุ่มหนึ่งเร่งรีบเดินทาง กว่าจะถึงก็หกโมงกว่าแล้ว

จื่ออันค่อนข้างคุ้นเคย เขาพาคนทั้งกลุ่มไปหาที่พักดี ๆ เพื่อค้างคืน

ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว แต่ตัวเมืองคึกคักมาก

จากนั้นเสิ่นจื่อเจินพาภรรยาและลูก ๆ ไปเดินเล่น แล้วพาไปทานอาหารด้วย

คนบ้านซูไม่ได้ไปด้วย แต่ติดตามจื่ออันไปแทน

เพราะต่งหยวนจงเป็นผู้นำของจังหวัด สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้

และทุกครั้งที่จื่ออันมาตัวจังหวัด เขาจะมาเยี่ยมอดีตหัวหน้าเสมอ และในมือจะมีบัตรผ่านด้วย

หลังจากลงทะเบียนที่ประตูก็จะเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย

ต่งหยวนจงอาศัยอยู่ที่อาคารหลังเล็กสไตล์ตะวันตกใกล้กับสวน

อาคารลักษณะแบบนี้มีไม่เยอะหนัก

สำหรับคนบ้านหลักตระกูลซูที่ไม่เคยเห็นอาคารแบบนี้ แม้แต่โส่วเวินที่เป็นคนที่เยือกเย็นก็ยังอดพูดออกไม่ได้

เพราะแบบนี้บ้านซูถึงกระวนกระวายยิ่งขึ้น แม้แต่ซื่อเลี่ยงที่ไม่คิดอะไรเยอะแยะยังรู้สึกว่าขาของตนเองกำลังสั่นสะท้าน

จื่ออันพาครอบครัวที่กระสับกระส่ายไปยังอาคารหลังเล็กสไตส์ตะวันตกที่ต่งหยวนจงอาศัยอยู่ จากนั้นก็หยุด

“พ่อครับแม่ครับ ที่นี่แหละครับ”

“จื่ออัน พวกเรามาบ้านเขากันเยอะแบบนี้ดีเหมาะสมหรือ?” คุณปู่ซูรู้สึกไม่สบายใจ จึงเดินมาถามลูกเขย

จื่ออันยิ้ม “พ่อ สบายใจเถอะ อดีตหัวเราเขาเป็นคนรำลึกนึกถึงบุญคุณจริง ๆ”

“ฉันรู้ว่าเขาคิดถึง แต่สถานะเขาในตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะ!” คุณปู่ซูพูดพร้อมกับถอนหายใจ

จากที่ชายชรารู้ มีแค่สถานะทางครอบครัวที่เท่าเทียมกันเท่านั้นจึงจะสานสัมพันธ์กันได้

บ้านซูกับต่งหยวนจงราวกับมาจากคนละโลก

จื่ออันรู้ว่าพ่อตาหวาดกลัว แต่มาถึงประตูบ้านแล้ว จะไม่เข้าก็ไม่ใช่เรื่อง

เขาไม่เปิดโอกาสให้ได้กลัว ตรงไปเคาะประตูเลย

“จื่ออัน เคาะประตูทำไมเนี่ย เดี๋ยวก่อน ๆ…”

ขณะที่คุณปู่ซูพูด ประตูก็ถูกเปิดออก

คนที่เปิดประตูเป็นชายหนุ่มสวมชุดรักษาความปลอดภัยสีน้ำเงินดูเรียบร้อย ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา

“หัวหน้าเฉิน คุณมาแล้วหรือครับ?”

เขามีจิตวิญญาณอันดีงาม ตอนทักทายจื่ออันก็มีความเคารพอย่างยิ่ง

“เสี่ยวหม่า อดีตผู้นำอยู่บ้านหรือเปล่า?” จื่ออันถาม

ชายหนุ่มที่ถูกเฉินจื่ออันถามพลันพยักหน้า

“หัวหน้าบอกว่าวันนี้ท่านจะมาหา เลยให้ผมรออยู่ที่ประตูครับ ผมรออยู่นานพอเข้าไปข้างในท่านก็มาพอดีเลย!”

จื่ออันเปิดทางให้ครอบครับซูเข้าไปข้างใน

ต่งหยวนจงและภรรยากำลังคุยอยู่ในห้องนั่งเล่น พอได้ยินเสียงแขกจากด้านนอกก็รีบลุกขึ้นจากโซฟา

พอเห็นคุณปู่ซู เขาตื่นเต้นมากและรีบเข้าไปทักทาย

“ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้งนะครับพี่ซู!”

ต่งหยวนจงจับมือชายชราด้วยความกระตือรือร้น น้ำเสียงมีความคุ้นเคยกันอย่างมาก

ไม่เหมือนคนที่ไม่ได้พบกันมานานสิบปีเลย เหมือนห่างกันแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น

ส่วนคุณปู่ซูกลับรู้สึกเขินอายมาก ตอนที่โดนต่งหยวนจงจับไว้ เขาไม่ได้ชักมือกลับและเขย่าตอบ แต่ยืนอย่างงุ่มง่าม

ตอนนั้นเองที่ผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าเดินเข้ามาพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าต่ง ดูคุณสิ ให้แขกเข้ามาก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากัน”

“ชูฟาง นี่คือคนที่ฉันพูดถึงบ่อย ๆ พี่ซูกับพี่สะใภ้ซูเคยช่วยฉันไว้ตอนหนุ่ม ๆ” ต่งหยวนจงพูดกับผู้หญิงคนนั้นด้วยความตื่นเต้น

“พี่ซู พี่สะใภ้ซู สวัสดีค่ะ ฉันชื่อฟ่านชูฟางค่ะ เป็นภรรยาของต่งหยวนจง”

ฟ่านชูฟางเป็นผู้หญิงที่ดูภูมิฐาน ใจกว้าง เธอรีบแนะนำตัวและจับมือคุณย่าซูด้วยความเป็นกันเอง

เห็นท่าทางแบบนั้น หญิงชรายิ่งเขินอาย และเสียใจว่าทำไมตนถึงมาที่นี่

นี่คือตระกูลข้าราชการระดับสูงในเมืองเลยนะ คนอย่างพวกเราไม่คู่ควรด้วยหรอก!

“คุณ… คุณสุภาพเกินไปแล้วค่ะ!” ในที่สุดก็หาเสียงเจอเสียที

“พี่สะใภ้คะ ฉันได้ยินผู้เฒ่าตงพูดถึงคุณเสมอ เลยอยากจะไปพบคุณแต่ก็ไม่มีโอกาสเลย ครั้งนี้ได้เจอกันแล้ว เลยอยากจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันค่ะ”

น้ำเสียงของฟ่านชูฟางจริงใจมาก ไม่มีความดูถูกที่หญิงชราเป็นคนชนบท

“เร็วเข้าเถอะ รีบเข้าบ้านกันเถอะครับ ผมให้คนเอาอาหารมาเตรียมที่โต๊ะแล้ว กำลังรอพวกคุณอยู่น่ะ!” ต่งหยวนจงว่าแล้วเดินจับมือชายชราเข้าไปข้างใน

ในที่สุดอารมณ์ของคุณปู่ซูก็คงที่

ทุกคนมาถึงแล้ว และตามเข้าไปด้วยกัน

บ้านซูมาถึงที่ห้องนั่งเล่นอย่างเอิกเกริก

“อดีตผู้นำครับ คุณรู้จักพ่อแม่ผมแล้ว อย่างนั้นผมจะไม่แนะนำแล้วกัน ท่านนี้คือพี่สาม ทางนี้คือภรรยาของผม แล้วก็เด็ก ๆ ผมอยากจะแนะนำให้รู้จักสักหน่อยครับ!” จื่ออันเป็นฝ่ายเริ่ม

“ให้ฉันเดานะว่าเด็กทั้งสามคนนี้ใครเป็นอันดับหนึ่งของจังหวัดเรากัน!” ต่งหยวนจงเริ่มให้ความสนใจแล้วมองเด็ก ๆ ทั้งสามด้วยรอยยิ้ม

โส่วเวินและซื่อเลี่ยงมองซานกงโดยไม่รู้ตัว

ชายคนนั้นหัวเราะลั่น “เด็กคนนี้สินะ ใช่หรือเปล่า? เขาดูฉลาดจริง ๆ นั่นแหละ!”