บทที่ 272 ต่งหยวนจง

บทที่ 272 ต่งหยวนจง

ซูซานกงหน้าแดงก่ำ เขาถามตัวเองว่าเขาใช่คนฉลาดหรือเปล่า

เทียบกับพี่ ๆ น้อง ๆ ที่บ้าน เขาแค่ชอบอ่านหนังสือและมีพื้นฐานดีกว่าคนอื่น

“ท่านชมเกินไปแล้ว ที่จริงผมไม่ฉลาดหรอกครับ ก็แค่ขยันเฉย ๆ!”

พอซานกงพูดแบบนี้ ต่งหยวนจงก็หัวเราะอย่างมีความสุข

รอยยิ้มส่งผลไปถึงดวงตา เพียงแค่มองก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยความจริงใจ

“การขยันเป็นเรื่องที่ดีนะ!”

ประโยคเดียว เอ่ยชมไม่คิดปิดปังเลย

เฉินจื่ออันบีบมือภรรยาเพิ่มความมั่นใจ

ต่งหยวนจงจับมือคุณปู่ซู แล้วนั่งบนโซฟาก่อนจะสนทนากัน

“พี่ซู เป็นพี่ที่สอนพวกเด็ก ๆ สินะ”

พวกเด็ก ๆ ไม่เพียงแต่เรียนเก่งเท่านั้น แต่ยังมีนิสัยถ่อมตัวซึ่งหาได้ยาก

“คุณก็ชมเกินไปแล้วละ!” คุณปู่ซูพูดอย่างสุภาพ

แม้จะเป็นคนเก่าคนแก่ แต่เราไม่ได้เจอมาตั้งหลายปี สถานะตอนนี้จึงไม่แตกต่างจากคนแปลกหน้าเลย

ส่วนอีกฝั่งคือฟ่านชูฟางจับมือคุณย่าซูและคุยกันอย่างอบอุ่น

เธอเอาเมล็ดแตงโมและลูกอมให้ซิ่วหย่วนกับเสี่ยวเถียน ทั้งยังชมว่าเด็กชายฉลาดหลักแหลมและมีชีวิตชีวามาก แล้วยังบอกเสี่ยวเถียนอีกว่าเธอทั้งสวยทั้งน่ารัก มีความสุขเหลือเกิน

เมื่อเทียบกับคุณปู่ซูแล้ว คุณย่าซูแข็งแกร่งกว่า

เธอเป็นคนเด็ดเดี่ยว แต่ก็ไม่ใช่คนที่อบอุ่นขนาดนั้น พอเจอคนนิสัยแบบนี้จึงยากที่จะต้านทานไว้ได้

“มีแต่พวกลิงทั้งนั้น จะไปดีอย่างที่พวกคุณพูดได้ยังไงคะ”

คุณย่าซูเสียใจเหลือเกินที่ได้มา มันอบอุ่นเกินกว่าจะทนไว้ได้

“พี่สะใภ้ซู บ้านเรามีมิตรภาพอันเก่าแก่กันมาก วันนี้ได้พบกันแล้ว ควรจะเหมือนคนครอบครัวเดียวกันสิคะ” ตอนนั้นฟ่านชูฟางก็ตระหนักเธอรุกแรงมากเกินไป จึงรีบหาทางแก้ไข

หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศก็ค่อย ๆ อบอุ่นขึ้นในที่สุด

ถึงจะได้ยินจื่ออันพูดถึงอดีตผู้นำบ่อยครั้ง แต่หม่านซิ่วไม่เคยพบมาก่อนและกังวลมาตลอดทางเลย

พอตอนนี้เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เธอพลันโล่งใจ

ขณะนั่นอาหารก็เตรียมเสร็จพอดี ทหารรับใช้บ้านนายก็เชิญทุกคนไปกินข้าว

บ้านต่งเตรียมอาหารเย็นมื้อใหญ่ อาหารจานเนื้อสี่จาน อาหารจานผักสี่จาน มีปลา มีเนื้อสัตว์ด้วย

ในยุคนี้ อาหารเย็นเช่นนี้มาตรฐานสูงมาก

เปลือกตาของคุณปู่ซูกระตุกตอนมองพวกมัน

เพราะเป็นถึงผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัด จึงมีความแตกต่างกันอย่างมาก

“พี่ซู พี่สะใภ้ซู เดิมทีคิดจะเชิญครอบครัวพี่ไปกินข้าวข้างนอก แต่เพราะพวกเราเป็นคนตระกูลต่ง พอคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจทำกินเองที่บ้านค่ะ” ฟ่านชูฟางยิ้มอย่างจริงใจ

“คุณสุภาพเกินไปแล้ว!” คุณย่าซูตอบ

ซูเสี่ยวเถียนเฝ้ามองต่งหยวนจงและฟ่านชูฟาง

แต่เพราะสถานะทางบ้านที่แตกต่างกันมากเกินไป ไม่ว่าจะมีมิตรภาพอันใด เสี่ยวเถียนคิดว่ามันค่อนข้างคลุมเครือ

หลังจากเฝ้ามองอยู่นาน กลับรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองจริงใจ และอยากตอบแทนบุญคุณจริง ๆ

ต่งหยวนจงไม่ทันได้สังเกตถึงความคิดของเด็กหญิง

ที่โต๊ะอาหาร เขาให้ความสนใจกับการเรียนของเด็ก ๆ ทั้งยังถามคำถามทดสอบด้วย

เด็กทั้งสามตอบอย่างคล่องแคล่ว

ต่งหยวนจงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า สุภาพกับคุณปู่มากยิ่งขึ้น

“พูดถึงเรื่องนี้ ผมอายุน้อยกว่าพี่ซูไม่เท่าไรเอง แต่หลานชายพี่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่ลูกชายผมยังไม่โตเลย!” ต่งหยวนจงกล่าวด้วยแรงอารมณ์

ฟ่านชูฟางมองสามีด้วยสายตาตำหนิ “ดูคุณซิ ไม่กลัวพี่ซูกับพี่สะใภ้ซูหัวเราะเยาะเอาหรือไง”

ต่งหยวนจงหัวเราะลั่น “ในตอนที่ชีวิตฉันตกต่ำที่สุด พี่ทั้งสองยังไม่หัวเราะเยาะฉันเลย”

คุณปู่ซูถามว่า “ไม่ทราบว่าลูกของพวกคุณ…”

“ตอนนี้ลูกชายทั้งสองอยู่ในกองทัพครับ ที่บ้านเหลือแค่สองตายายเท่านั้นครับ”

ว่าจบก็ถอนหายใจ “สองปีมานี้ไม่มีช่วงเวลาดี ๆ เลย ทำได้แค่ไปกองทัพเท่านั้น ถ้าปีนี้ไล่ตามได้ทันอาจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นะ”

ความเสียใจในชีวิตนี้คือไม่ได้เรียนหนังสือเยอะ หลายปีมานี้จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยบทเรียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แต่ไม่คิดว่าลูกชายก็จะพลาดมันไปเหมือนกัน

ซูเสี่ยวเถียนสัมผัสได้ถึงความเสียใจในคำพูดของต่งหยวนจง ก่อนจะกล่าวอย่างเฉียบขาด “สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารก็ได้รับใช้ประเทศนะคะ!”

ประโยคนี้ดึงความสนใจของทุกคนมาที่เธอ

เด็กหญิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย และรีบก้มหน้างุด

ต่งหยวนจงหัวเราะ “สาวน้อยก็รู้เรื่องโรงเรียนเตรียมทหารด้วยหรือ?”

ซูเสี่ยวเถียนพูดเช่นนี้เพราะเธอจำคอลัมน์เรื่องทหารที่เคยอ่านเมื่อชาติที่แล้วได้

พิธีกรสัมภาษณ์ข้าราชการทหารคนหนึ่งที่ชื่อต่งหมิงต๋า ตอนอยู่หน้ากล้อง เขาเคยพูดว่าเสียดายที่พลาดโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัย และยังเสียใจที่พลาดโอกาสเข้าโรงเรียนเตรียมทหารด้วย

เสี่ยวเถียนพยักหน้าแล้วกินต่อ

ต่งหยวนจงยิ้ม “สาวน้อย แล้วเธอรู้ไหมว่าโรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้เรียนดีถึงจะสอบเข้าได้นะ แต่ต้องได้รับการแนะนำถึงจะเข้าได้น่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้ม “คุณปู่ต่ง ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยก็ต้องได้รับการแนะนำถึงจะเข้าได้นะคะ!”

ประโยคเดียวเตือนสติต่งหยวนจง ทำให้เขาฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา

อีกฝ่ายหัวเราะ “ฉันอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต ไม่บริสุทธิ์เหมือนเด็กแล้วล่ะ!”

“สาวน้อย บอกปู่ต่งทีว่าเธอชื่ออะไร”

เสี่ยวเถียนตอบ “หนูชื่อซูเสี่ยวเถียนค่ะ เด็กที่สุดในบ้าน”

หลังจากคิดอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เธอจึงชี้ไปที่ซิ่วหย่วน “แต่ตอนนี้เขาเด็กที่สุดค่ะ”

ฟ่านชูฟางสนใจเสี่ยวเถียนยิ่งขึ้น ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่า เธอจะเป็นคนช่างคิดแบบนี้

“พี่สะใภ้ซู หลานบ้านพี่เก่งกันจริง ๆ ถ้าฉันมีหลานชายหลานสาวแบบนี้บ้าง คงจะตื่นมาพร้อมกับรอยยิ้มแน่เลยค่ะ”

เหล่าซานมองลูกสาว แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่

ลูกสาวของเขาโดดเด่นจริง ๆ

หลังกินข้าวเสร็จ คุณปู่คุณย่าซูบอกว่าเริ่มเหนื่อยแล้ว และต้องการกลับไปพักผ่อน

ต้องอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ลานกว้างขวางขนาดนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองอึดอัดใจจริง ๆ

ต่งหยวนจงยืนกรานที่จะให้พวกเขานอนพักที่นี่

“ตอนที่เสี่ยวเฉินมาก่อนหน้านี้ก็พักที่นี่เหมือนกัน ที่บ้านเรายังมีห้องว่างเหลือสองสามห้อง อยู่ได้ครับ”

“อดีตผู้นำครับ วันนี้พวกเรามากันเยอะแยะ แถมยังจองห้องพักไว้แล้วด้วยครับ” จื่ออันรีบตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่งหยวนจงก็หยุดรั้ง

“พรุ่งนี้เช้าผมจะไปหาพี่ซูนะครับ จะไปส่งนักศึกษาที่สถานีรถไฟเป็นเพื่อนพี่ซูกับพี่สะใภ้ซูเองครับ”

พวกคุณปู่ซูไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนี้

ผู้นำจังหวัดมาส่งด้วยตัวเอง ลำบากใจจริง ๆ

แต่ว่า…

“คุณอย่าสุภาพนักเลย พวกเราไปแค่นี้ก็พอแล้ว จะรบกวนคุณด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ทำไม!” คุณปู่ซูรีบปฏิเสธ

“พรุ่งนี้เช้าผมไม่ยุ่งพอดีเลยครับ หลังจากส่งเด็ก ๆ แล้วก็จะพาพี่ไปรอบ ๆ เมืองสักหน่อย หาได้ยากจริง ๆ ครับที่บรรยากาศจะดีขนาดนี้”

ถึงหลายปีมานี้ต่งหยวนจงจะเป็นผู้นำ แต่เพราะรอบข้างรายล้อมไปด้วยผู้คน จึงไม่เคยรู้สึกผ่อยคลายเช่นนี้มาก่อน

เขาเองก็อยากจะขโมยเวลามาพักผ่อนสักหน่อย

“พ่อครับไม่เป็นไรหรอก ให้อดีตผู้นำไปเถอะ ตั๋วรถครั้งนี้ก็ได้เขาให้คนไปช่วยซื้อไว้” จื่ออันว่า

คุณปู่ซูคิดว่าจื่ออันให้คนไปซื้อเสียอีก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นผู้นำใหญ่คนนี้ช่วยไว้

เขารู้สึกขมขื่นในใจจนไม่รู้จะพูดอะไร

“เสี่ยวเฉิน พูดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือ จะซื้อตั๋วนอนเยอะขนาดนี้ได้ยังไงครับ ไปเมืองหลวงใช้เวลาตั้งสองวัน เราจะซื้อตั๋วนั่งไปไม่ได้หรอกนะครับ!” จื่ออันยิ้ม

หลังจากที่กำลังวุ่นกับการขอบคุณ พวกเขาถึงค่อยออกจากบ้านตระกูลต่ง

ตอนออกประตูใหญ่ ในที่สุดบ้านซูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในตอนที่กลับไปถึง ครอบครัวเสิ่นจื่อเจินก็กลับมาแล้ว

เสิ่นจื่อเจินไม่ได้ถามอะไรมาก แค่พูดไม่กี่ประโยคก่อนจะกลับห้องไปพักผ่อน