บทที่ 273 ไม่เชื่อหรอก

บทที่ 273 ไม่เชื่อหรอก

เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินจื่ออันออกไปซื้ออาหารแต่เช้าตรู่

ตอนที่คนอื่น ๆ ทยอยตื่นขึ้น ก็มีซาลาเปาร้อน ๆ ปาท่องโก๋ และน้ำเต้าหู้วางอยู่บนโต๊ะแล้ว

“ลำบากจื่ออันแล้ว” คุณปู่ซูมองดูอาหารเช้าบนโต๊ะ เขาพึงพอใจกับลูกเขยคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เลย

เพราะพอใจกับจื่ออัน จึงอดมองไปที่ลูกชายไม่ได้

ทำไมไร้แววขนาดนี้นะ?

เหล่าซานถูจมูก เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดโดยไม่ได้ทำอะไรเลยนะ?

ช่างเถอะ ๆ ผิดก็ผิด!

สามีภรรยาเสิ่นก็มากินข้าวด้วย เถาฮวายังพูดอย่างทุกข์ใจเลยว่า “ทำไมซื้ออาหารเช้ามาด้วยล่ะ? พวกเราเอาหมั่นโถวกับแป้งทอดมาด้วยนะ”

จ่ายเงินจ่ายตั๋วไปเยอะขนาดไหนกันเนี่ย?

“พอถึงสถานีรถไฟแล้ว ถ้าอยากจะกินข้าวร้อน ๆ ก็ยากแล้วค่ะ ตอนเช้าเรากินไปก่อนกันดีกว่านะ” หม่านซิ่วยิ้มและยื่นตะเกียบกับซาลาเปาให้เถาฮวา

เถาฮวานึกขึ้นได้ ได้ยินว่าอาหารบนรถไฟราคาแพง แถมรสชาติไม่อร่อยด้วย

“อาเขย ถ้วยกับตะเกียบพวกนี้เอามาจากไหนหรือครับ?” โส่วเวินถาม

“ยืมมาน่ะ มัดจำสองหยวน กินเสร็จแล้วค่อยเอาไปคืน” จื่ออันกินซาลาเปาคำโต “แม่ครับ ซาลาเปาลูกนี้ไม่อร่อยเหมือนที่แม่ทำเลย”

คุณย่าซูได้ยินก็มีความสุข และคลี่ยิ้มกว้าง “ถ้าเธอชอบซาลาเปาที่แม่ทำ เดี๋ยวกลับไปจะทำให้นะ”

เหล่าซานรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก ทำไมพ่อแม่ชอบน้องเขยนัก เห็นชัด ๆ ว่าเขาเป็นลูกแท้ ๆ น่ะ

เสี่ยวเถียนก็คิดว่ามันไม่อร่อยเท่าที่บ้านเราทำเหมือนกัน จึงหยิบปาท่องโก่มาชิ้นหนึ่ง

หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเสร็จ จื่ออันก็เอาถ้วยตะเกียบไปคืน และมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ

ยังไม่ทันได้ออก สามีภรรยาต่งก็มาถึงหน้าประตูบ้านพักแล้ว

เฉินจื่ออันรีบแนะนำทุกคนให้รู้จักกับสองคนนี้

หลังจากทราบตัวตนของเสิ่นจื่อเจิน ต่งหยวนจงก็รู้สึกโล่งใจ

จากนั้นก็เป็นฝ่ายเริ่มถามความรู้ด้านการเกษตรสักหน่อย

“สองปีมานี้ได้ยินว่าผลผลิตของหงซินสูงกว่าที่อื่นเลย ที่แท้ก็มีคุณที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมอยู่ด้วย” ต่งหยวนจงยิ้มสดใส

ถึงจะไม่ได้ไปหงซิน แต่ก็ตามติดชุมชนการผลิตนี้มาตลอด

เสิ่นจื่อเจินละอายใจนัก ที่ผลผลิตหงซินดีไม่ได้เกิดจากเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาแค่คนเดียว

“ท่านผู้นำ ผมรู้สึกอายกับคำชมของคุณเหลือเกินครับ!”

“ไม่ต้องอาย ๆ คุณเป็นผู้มีบุญคุณนะ!”

“ผลผลิตของหงซินเพิ่มขึ้นก่อนที่ผมจะมาอีกครับ”

ตอนที่พูดออกมา ต่งหยวนจงก็ผงะ จะเป็นไปได้อย่างไร?

“เสี่ยวเถียนเป็นอัจฉริยะด้านการเกษตรเลยครับ” เสิ่นจื่อเจินมองเด็กหญิง จากนั้นก็มองต่งหยวนจง

เรื่องของเขาได้รับการแก้ไข และได้กลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้ว แต่ตู้ถงเหอยังใช้ชีวิตอยู่ที่หงซิน ไม่สามารถกลับไปได้

แต่ต่งหยวนจงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดเลยนะ เขาอาจจะมีวิธีก็ได้?

“อีกอย่างนะครับ ทุกวันนี้ตู้ถงเหอยังอยู่ที่หงซินอยู่เลย แถมยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรอีกด้วย ช่วงแรกเริ่มตระกูลตู้เป็นนายทุนครับ ตอนนี้เขาก็เป็นคนแก่ ๆ ที่อยู่หงซิน”

ประโยคเรียบง่ายแค่นี้ทำให้ต่งหยวนจงเข้าใจทันทีว่า เสิ่นจื่อเจินเรียกร้องแทนตู้ถงเหออยู่

เรียกได้ว่าตู้ถงเหอก็เป็นผู้มีบุญคุณของประเทศเหมือนกัน

“เรื่องนี้ฉันต้องกลับไปคิดแล้วล่ะ แต่ว่าถ้าไม่ใช่คนจังหวัดเราก็คงแก้ไขปัญหาไม่ได้”

ต่งหยวนจงไม่เห็นด้วยในทันที แต่เสิ่นจื่อเจินมีความยินดีไปแล้วจึงรีบกล่าวขอบคุณ

“ท่านผู้นำคงไม่รู้หรอกว่าทั้งเด็กทั้งคนแก่ต่างก็เป็นผู้มีความสามารถอยู่แล้ว และที่ผลผลิตหงซินดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็เพราะพวกเขาปลูกกันเก่ง”

เรื่องนี้มีไม่กี่คนในหงซินที่รู้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องลับลมคมในนี้เลย รู้แค่ว่าผลผลิตหงซินเราเพิ่มขึ้นทุกปี

เสิ่นจื่อเจินไม่ใช่พวกแย่งผลงานคนอื่น และจะไม่ทำเรื่องน่าละอายใจอย่างเอาผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเองด้วย

เขาใช้โอกาสนี้อธิบายให้ต่งหยวนจงฟังอย่างชัดเจน

แต่อีกฝ่ายไม่อยากจะเชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

เสี่ยวเถียนเพิ่งจะอายุเท่าไร? แล้วจะทำฟาร์มได้อย่างไร? ไม่ต้องพูดเรื่องเพาะปลูกเลย

หรือว่าบ้านซูจะได้เสิ่นจื่อเจินดูแล เลยให้ผลงานกับบ้านซู

ต่งหยวนจงเหมือนจะเดาความจริงได้

ตอนนั้นเขาเข้าใจในความสัตย์ซื่อของเสิ่นจื่อเจินเลย

อีกฝ่ายถอนหายใจ เดาว่าต่งหยวนจงอาจเข้าใจผิดจึงอธิบายเพิ่ม

“ท่านผู้นำ เสี่ยวเถียนมีความรู้ด้านการเกษตรสูงกว่าผมอีกนะครับ สองปีมานี้ผมได้ยินความรู้ใหม่ ๆ จากปากเธอนับไม่ถ้วนเลย”

ชื่อเสียงของเสิ่นจื่อเจิน ต่งหยวนจงเคยได้ยินมาบ้าง เขานักวิทยาศาสตร์การเกษตรชั้นนำของประเทศ

ตอนนี้เขากลับพยายามแนะนำสาวน้อยคนหนึ่งอย่างเต็มที่

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้

มันเป็นแค่ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ไม่ว่าเขาจะฉลาดแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะทำสิ่งนั้น จริงไหม?

เดิมทีเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเกษตรมากนักหรอก แต่ก็ไม่ได้รั้งตัวเองไม่ให้ถามคำถามทดสอบเสี่ยวเถียนสองสามข้อ

เสี่ยวเถียนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทดสอบ จึงตอบทีละข้อด้วยความสงบ

คำตอบที่ได้มาล้วนถูกต้อง

ไม่ต้องพูดถึงต่งหยวนจง แม้แต่เสิ่นจื่อเจินยังแอบพยักหน้าเห็นด้วย

“ดูเหมือนว่าคนรุ่นใหม่จะเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าแล้วสินะ!” ต่งหยวนจงพูดด้วยความซาบซึ้ง “พี่ซู ผมคิดว่าพี่จะสอนแค่หลานชายให้โดดเด่นเสียอีก ใครจะรู้เล่าว่าหลานสาวโดดเด่นกว่า”

สิ่งที่หลานสาวพูดนั้นโดดเด่นมาก ไม่ต้องบอกเลยว่าสีหน้าคุณปู่ซูมันน่าภูมิใจมากแค่ไหน

“เสี่ยวเถียนไม่มีงานอดิเรกอื่นน่ะ เธอชอบอ่านหนังสือ”

“ชอบอ่านหนังสือก็ดีนะ เด็กที่ชอบเรียนหนังสือ อนาคตย่อมดีแน่นอน” ต่งหยวนจงยังชื่นชมซูเสี่ยวเถียนอีกเล็กน้อย

ก่อนจะมีความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า ทำไมถึงไม่ใช่ลูกบ้านตัวเองบ้าง

“บอกตามตรง ถ้าไม่ได้เสี่ยวเถียน หลานชายฉันก็คงไม่ได้คะแนนแบบนี้หรอก” คุณปู่ซูพูดด้วยความซาบซึ้ง

ที่หลานชายสอบได้คะแนนดีต้องขอบคุณเสี่ยวเถียนจริง ๆ ที่ทำให้พวกเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

เหลือเวลาพูดคุยไม่มากแล้ว พวกโส่วเวินบอกลาคนที่บ้านอย่างไม่เต็มใจ

แต่ละคนถือกระเป๋าเดินทางตามเสิ่นจื่อเจินตามฝูงชนไป ก่อนจะขึ้นรถไฟและมุ่งหน้าสู่เส้นทางชีวิตครั้งใหม่

คุณย่าซูร้องไห้พอเห็นรถไฟเริ่มเคลื่อนห่างออกไป จนกระทั่งมองไม่เห็นเงา

ตอนนี้หลานชายกำลังจะไปเมืองหลวง แม้ว่าจะเป็นเรื่องดี แต่เราจะไม่ได้เจอกันง่าย ๆ อีกแล้ว

แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกแสบกระบอกตาไปหมด

ฟ่านชูฟางปลอบใจหญิงชรา “พี่สะใภ้ไม่ต้องเสียใจไปนะ เด็ก ๆ มีอนาคตดีที่แล้ว พวกเราควรยินดีกับพวกเขานะคะ จะให้พวกเขาไปโดยไม่สบายใจก็ไม่ได้หรอก”

ช่วงที่เธอไปส่งลูกชายไปเกณฑ์ทหารก็รู้สึกเสียใจเช่นเดียวกัน แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็เริ่มชินแล้ว

เสี่ยวเถียนเกลี้ยกล่อม “พอถึงวันหยุด พี่ ๆ ก็จะกลับมาค่ะ ย่าไม่ต้องเสียใจไปนะ อีกหลายปีข้าง พวกเราจะซื้อบ้านในเมืองหลวงแล้วย้ายไปอยู่กับพวกพี่ ๆ กัน”

คุณย่าซูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดเด็ก ๆ ของหลานสาว

สาวน้อยคนนี้สร้างความสุขให้กับคนอื่นได้

ซื้อบ้านในเมืองหลวงมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?

“เด็กคนนี้ พูดจาไร้สาระอีกแล้วนะ”

“คุณย่า นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ หนูพูดจริง รอหนูโตขึ้นจะหาเงินไว้เยอะ ๆ เพื่อให้ปู่กับย่ามีชีวิตที่ดีนะ!”

พอต่งหยวนจงได้ยิน เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “พี่ซู หลานสาวพี่มีความทะเยอทะยานนะ ถ้าฝึกฝนดี ๆ เธอจะมีอนาคตอันสดใสแน่นอน”

คุณปู่ซูส่ายหัว “เด็กคนนี้ ฉันแค่อยากให้เธอมีชีวิตที่ราบรื่น ขอแค่ไม่ทนทุกข์ก็พอแล้ว!”

นี่ก็เรื่องจริง และก็เป็นคำพูดเกรงใจ

คุณปู่ซูและคนอื่น ๆ อยากจะกลับแล้ว แต่ต่งหยวนจงและภรรยาพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาอยู่ต่อ

“พี่ซูมาทั้งที ผมยังไม่บรรลุการเป็นเจ้าบ้านเลยครับ จะปล่อยพี่ไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก!”

“พวกคุณอุตส่าห์ลำบากมากัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องอยู่ที่นี่อีกสองวันนะคะ” ฟ่านชูฟางง่วนอยู่กับการเกลี้ยกล่อมคุณย่าซู

แต่หญิงชราปฏิเสธอย่างเฉียบขาด เมื่อคืนเธอไปนอนที่บ้านอีกฝ่ายแล้วอึดอัดใจมาก ถ้าอยู่ต่ออีก เธอจะตายไหม?

“เราปล่อยบ้านไว้ไม่ได้หรอก เหล่าต้ากับเหล่าเอ้อร์ก็ยุ่งอยู่กับฟาร์มไก่ฟาร์มหมู พวกเขาไปไหนมาไหนไม่ได้ แถมยังทิ้งหลานอีกหลายคนไว้ที่อำเภออีก ส่วนเสี่ยวเถียนก็ใกล้จะไปโรงเรียนด้วย ต้องกลับไปเตรียมตัวน่ะ!”

คุณปู่ซูยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาเหตุผล

เสี่ยวเถียนเห็นคนจำนวนมากกำลังทำธุรกิจขนาดเล็กในตัวเมืองจังหวัด และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างไปจากเมื่อก่อน เพราะงั้นจึงเริ่มสงสัยว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า

เธอเรียนหนังสือ พี่ ๆ ก็เหมือนกัน ถึงจะได้เงินกับตั๋ว แต่ของพวกนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด และมันไม่ได้ทำให้บ้านเรามีชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

ถ้าอยากจะมีชีวิตที่ดีก็ต้องทำธุรกิจ เพราะก่อนหน้านี้มีคนอื่นได้รับมาถึงได้รับภารกิจหม้อทองใบแรก

เสี่ยวเถียนสะบัดหัวอย่างไว และคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะหาเงินให้เร็วที่สุด แต่คิดวิธีดี ๆ อันอื่นไม่ออก

พอกลับมาที่อำเภอ เสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ กำลังจะเปิดเรียน

ก่อนหน้านี้มาเรียนหนังสือกันหลายคน แต่ตอนนี้เหลือห้าคนเอง คุณย่าซูถอนหายใจแล้วมองลานบ้านที่ว่างเปล่า

“ไม่รู้ว่าพวกโส่วเวินถึงเมืองหลวงหรือยัง เสี่ยวเถียนคิดว่ากี่วันจึงจะถึง?” คุณย่าซูนับนิ้ว

“คุณย่าไม่ต้องห่วงนะ ถ้าไปถึง ลุงเสิ่นจะโทรหาอาเขยเอง เดี๋ยวเราก็รู้” เสี่ยวเถียนปลอบใจ “คุณย่า หนูอยากกินเกี๊ยวที่ย่าทำ ตอนเย็นเราห่อเกี๊ยวกินดีไหมคะ?”

ซูเสี่ยวเถียนพบวิธีเบี่ยงความสนใจคุณย่าซูอย่างชาญฉลาดแล้ว