บทที่ 274 หญิงแปลกหน้า

บทที่ 274 หญิงแปลกหน้า

คุณย่าซูหันเหจิตใจไปทุ่มเทกับการทำอาหารเย็น

“ได้สิ หลานรักอยากกินไส้อะไรล่ะ ไส้เนื้อหรือว่าไส้ผักดี?”

หญิงชราเอ่ยก่อนจะคิดออกแล้วว่าจะทำอะไรกินดี และจะทำเกี๊ยวไส้อะไรดี

“หัวไชเท้าเนื้อ? ผักกาดเนื้อ? หรือจะกินผักดองเนื้อดี?” คุณย่าซูถามโดยไม่ให้หลานสาวตอบคำถาม

“หนูอยากกินผักดองเนื้อ คุณย่าทำนะคะ!” เสี่ยวเถียนตอบพร้อมกอดแขนออดอ้อนผู้เป็นย่า

คุณย่าซูเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของหลานจึงตอบอย่างร่าเริ่ง “ได้สิ อากาศร้อน ผักดองน่าจะเสร็จไวนะ”

“คุณย่าใส่ต้นหอมเยอะ ๆ นะคะ อร่อยมาก!” เธอว่าอย่างไม่เกรงใจ

คุณย่าซูมองไปเสี่ยวเถียนด้วยความเอ็นดู “ปากเล็กนี่พูดหยอกล้อเก่งนัก ไม่รู้จริง ๆ ว่าโตมาได้ยังไง”

เสี่ยวเถียนคลี่ยิ้มหวาน “คุณย่าน่าจะชินได้แล้วนะคะ”

หญิงชราไม่พูดอะไรอีก เธอง่วนอยู่กับการเก็บผักดอง นำมาหั่นและผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน

พูดถึงเรื่องของกินแล้ว คุณย่าซูไม่เคยหวงเรื่องอาหารการกิน เพราะตอนนี้สถานการณ์ของบ้านพวกเราดีขึ้นแล้ว เลยหาวิธีทำให้เด็ก ๆ ได้กินมากขึ้น

“ย่าขา… หนูจะช่วยปอกหอมเองค่ะ!” เสี่ยวเถียนเสนอตัว

หลานคนอื่น ๆ มารวมตัวกันช่วยย่า ย่าหลานสามัคคีกันมาก

แต่หลังจากที่พวกพี่ ๆ เข้ามา เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก

แม้แต่งานที่ง่ายที่สุดอย่างปอกหัวหอมก็ยังถูกแย่งชิงไป และเธอก็ทำได้แต่ยืนมองอย่างเบื่อหน่ายอยู่ด้านข้าง

พี่ ๆ มากันเยอะเกินไป เหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร!

“เสี่ยวเถียนไปบอกอาใหญ่ทีว่าให้มากินเกี๊ยวที่บ้านเรา” คุณย่าซูนึกถึงลูกสาวขึ้นมาได้ จึงรีบไหว้วานหลานสาวให้ไปส่งข่าว

ในที่สุด เสี่ยวเถียนก็มีเรื่องต้องทำจึงรีบตอบรับทันที แล้ววิ่งไปบ้านข้าง ๆ ทันที

หม่านซิ่วกำลังอ่านหนังสือ นั่งเงียบ ๆ อยู่ริมหน้าต่าง ท่าทางสงบและสง่างามมากไม่เห็นความตกต่ำเหมือนหลายปีก่อนเลย

เฉินซิ่วหย่วนกำลังนั่งเล่นของเล่นไม้อยู่ด้านข้างมารดา

สองแม่ลูกนั่งนิ่งสงบราวกับภาพวาด

ภาพอันเงียบสงบดังกล่าวโดนทำลายลงด้วยเสียงเคาะประตูของซูเสี่ยวเถียน

“อาใหญ่ขา อาใหญ่!” เสี่ยวเถียนตะโกนลั่นพร้อมทั้งเคาะประตูไม่หยุด ราวกับกลัวว่าซูหม่านซิ่วจะไม่ได้ยิน

“เสี่ยวเถียนมาหรือ?” หม่านซิ่วรีบออกไปเปิดประตู

“อาใหญ่!”

“ทำไมมาเอาตอนนี้ล่ะ?”

“ย่าให้หนูมาตามอาใหญ่ค่ะ ตอนเย็นที่บ้านทำเกี๊ยวค่ะ เกี๊ยวผักดองที่ย่าทำ”

ตอนที่เสี่ยวเถียนพูดก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

เกี๊ยวที่คุณย่าทำหอมมาก กลิ่นหอมขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงรสชาติเลย

ตอนที่เฉินซิ่วหย่วนได้ยินคำว่าเกี๊ยวก็โยนดาบไม้ในมือลงพื้น ขาเล็กสั้นป้อมวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเถียนฉับไว

“เกี๊ยว เกี๊ยว! กินเกี๊ยว!”

ถึงจะยังสื่อสารได้ไม่มากและพูดได้ไม่กี่คำ แต่ทุกคำที่พูดออกมาล้วนชัดเจน

เสี่ยวเถียนลูบหัวเฉินซิ่วหย่วน และพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปกัน พี่สาวจะพาซิ่วหย่วนไปกินเกี๊ยวเอง”

เด็กชายทิ้งแม่เอาไว้ข้าง ๆ แล้วจูงมือเสี่ยวเถียนเดินไปบ้านตระกูลซู

เด็กสองคนออกไปแล้ว ไม่สนด้วยว่าหม่านซิ่วจะตามมาหรือเปล่า

หม่านซิ่วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

ระยะทางระหว่างสองบ้านใกล้กันมาก เธอจึงไม่ได้สนใจและปล่อยพวกเขาเดินไปกันสองพี่น้อง

หม่านซิ่วเสียบที่คั่นหนังสือก่อนจะปิดหนังสือลง

เธอเพิ่มถ่านใส่เตียงเตาไปหน่อย ก่อนจะปิดประตูมันลง

ก่อนออกไป เธอยังเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนในครัวด้วยติดมือมาด้วย

ที่บ้านมีเด็กหลายคน จะปล่อยให้แม่ทำคนเดียวไม่ได้ เธอเลยต้องไปช่วยทำเกี๊ยวที่บ้านข้าง ๆ

หม่านซิ่วออกจากบ้านอย่างกระฉับกระเฉง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เธอไขกุญแจและล็อกประตูก่อนจะหมุนตัวออกไป ทว่าก็เห็นผู้หญิงวัยสามสิบยืนอยู่ข้างหลัง

ซูหม่านซิ่วตกใจจนแทบจะล้มลง

“สหาย ระวัง!” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่น แต่ยังสามารถฟังเข้าใจได้

ข้างหลังมีเด็กอีกสองคนแต่งตัวซอมซ่ออายุประมาณเจ็ดหรือแปดขวบยืนอยู่

แววตากลมโตทั้งสามจ้องมองมายังซูหม่านซิ่ว ทุกสายตาที่จับต้องมาทำให้หญิงสาวรู้สึกเกร็ง

เธออดสำรวจตัวเองไม่ได้ เสื้อผ้าไม่ได้สกปรก กางเกงยังอยู่ดี รองเท้าก็ไม่มีปัญหา

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มออกมา และถามด้วยเสียงแผ่วเบา “สหาย ฉันอยากสอบถามสักหน่อยว่าเฉินจื่ออันอาศัยอยู่ที่ไหนหรือ?”

หม่านซิ่วผงะ แล้วมองหญิงสาวคนนั้นขึ้นลงอีกครั้ง

ก่อนจะแน่ใจว่าคนตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

ทำไมถึงมาตามหาเฉินจื่ออันล่ะ?

“ขอถามได้ไหมคะว่าคุณเป็นใคร?” หม่านซิ่วถาม

“ฉันเป็นภรรยาเฉินจื่ออันค่ะ! เข้าเมืองมาตามหาเขา” ผู้หญิงพูดด้วยรอยยิ้มเขินอาย

สีหน้าหม่านซิ่วเปลี่ยนไปทันที

ภรรยาเฉินจื่ออันหรือ?

ภรรยาเฉินจื่ออัน!

งั้นเธอล่ะจะเป็นใคร

เฉินจื่ออันมีภรรยา งั้นเธอเป็นอะไรล่ะ? เมียน้อย?

หม่านซิ่วรู้สึกวิงเวียนศีรษะ จะเป็นลมล้มพับเอาเสียตรงนั้นให้ได้

“คุณบอกว่า คุณเป็นอะไรกับเฉินจื่ออันนะคะ?”

เธอคิดว่าตัวเองคงได้ยินผิด เฉินจื่ออันจะมีภรรยาอยู่แล้วได้อย่างไร?

แต่เขาบอกชัดเจนแล้วว่าตัวเองไม่มีภรรยา

เขาโกหกตัวเองไม่ได้หรอก ไม่สามารถโกหกตัวเองไม่ได้ด้วย

ผู้หญิงคนนั้นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังตอบว่า “ฉันมาจากบ้านเกิดเฉินจื่ออัน เป็น… เป็นภรรยาของเขาค่ะ!”

เธอได้ยินไม่ผิดแน่ ผู้หญิงคนนี้บอกว่าตัวเองเป็นภรรยาเฉินจื่ออัน

หม่านซิ่วไว้วางใจในตัวเฉินจื่ออันมาก หากแต่ก็ยังเกิดความสงสัยในใจ

และจู่ ๆ ก็รู้สึกหายใจลำบาก

เหอะ ๆ!

เธอทำในสิ่งที่ตัวเองดูถูกมากที่สุด

“สหาย คุณรู้ไหมว่าเฉินจื่ออันอาศัยอยู่ที่ไหนคะ?”

ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าหม่านซิ่วต้องรู้จักเฉินจื่ออันเลยสอบถามเพิ่มเติม

คนในชุมชนการผลิตบอกว่าเฉินจื่ออันอาศัยอยู่ที่นี่ ได้ยินว่าอีกฝ่ายยังเป็นข้าราชการด้วย

แววตาไม่งดงามของอีกฝ่ายเฝ้ามองหม่านซิ่วอย่างใจจดใจจ่อ

เธอมองผู้หญิงคนนั้นนิ่ง ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แค่มองตรวจสอบเท่านั้น

แววตาอีกฝ่ายสั่นไหว ทันใดนั้นก็หยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋า ด้วยความกลัวว่าหม่านซิ่วจะไม่เชื่อจึงส่งมาให้ดู

“สหาย คุณดูนี่สิ ฉันมีรูปถ่ายกับเฉินจื่ออันด้วยนะ”

หม่านซิ่วเห็นแล้วว่าคนในรูปถ่ายใบนั้นคือเฉินจื่ออันจริง ๆ

แต่น่าจะเป็นเฉินจื่ออันเมื่อหลายปีก่อน เหมือนจะเด็กกว่า และไม่ได้มีกลิ่นอายนิ่งสงบเหมือนตอนนี้

แต่คนคนนั้นคือจื่ออันอย่างไม่ต้องสงสัย

หม่านซิ่วร่างกายสั่นเทิ้ม รีบพิงกำแพงเมื่อร่างกายเหมือนจะยืนไม่อยู่

พอเห็นรูปถ่ายก็รู้สึกว่า แม้จะอยากเชื่อมั่นในตัวสามี แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้

ผู้หญิงที่ถือรูปถ่ายกับเฉินจื่ออัน ไม่มีทางไม่มีความสัมพันธ์กันหรอก

และจู่ ๆ ก็คิดว่าความสุขที่เคยมีมามันเป็นเรื่องตลก

แต่เธอเป็นคนแข็งแกร่ง แม้รู้ว่าตัวเองจะเป็นเรื่องตลก แต่ก็ยังไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแอ

แม้ว่าเธอจะต้องเป็นคนถอนตัว แต่ก็ต้องทำในสิ่งที่สมควร

“เขาอาศัยอยู่ที่นี่ค่ะ!”

หม่านซิ่วลำคอแห้งผาก บรรยายกาศรอบกายพลันอึดอัด หากแต่ก็ต้องพูดเช่นนี้ออกมา

เธอรู้สึกเห็นใจผู้หญิงและเด็กที่อยู่ตรงหน้า

เธอเข้าอกเข้าใจ

เพราะตอนนั้นก็โดนสามีทิ้งเหมือนกัน

ถึงจะผ่านไปหลายปี แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นยังฝังลึกอยู่ในใจ

การปรากฏตัวของผู้หญิงตรงหน้าทำให้ความเจ็บปวดราวกับฝันร้ายปรากฏขึ้นอีกครั้ง

แต่มันยากที่จะเชื่อเหลือเกิน

เฉินจื่ออันโกหกเธอ

ตอนนั้นเธอถามจื่ออันแล้ว แต่ชายหนุ่มบอกว่าตนเองโสด

ภรรยาที่แท้จริงของเฉินจื่ออันมาที่บ้าน เธอควรจะทำอย่างไร?

เธออยากจะหนี แต่รู้ดีว่าหนีไม่ได้

เรื่องบางเรื่องถ้าไม่หนีก็อยู่ไม่ได้

“อาศัยอยู่ที่นี่หรือคะ?” ผู้หญิงคนนั้นมองหม่านซิ่ว แล้วมองไปที่ประตูที่เพิ่งถูกล็อก

ปากขยับราวอยากจะเอ่ยถาม แต่ก็ไม่กล้าถามออกมา

พอเห็นท่าทางหดหู่ หัวใจหม่านซิ่วอ่อนลง

เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวก็คงไม่คิดว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับภรรยาอีกคนของเฉินจื่ออัน

หัวใจของเธอเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด!

“เชิญเข้ามาก่อนค่ะ!”

หม่านซิ่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมการเป็นผู้หญิงถึงลำบากยากเย็นนัก?

เธอเปิดประตูอีกครั้ง และให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาพร้อมกับลูก

“เขาอาศัยอยู่ที่นี่ค่ะ แต่ตอนนี้ไปทำงาน ไม่อยู่บ้าน!”

ขาของหม่านซิ่วราวกับมีตะกั่วฝังอยู่ทั่ว ทุกย่างก้าวเป็นไปด้วยความยากลำบาก

แต่เธอยังคงเปิดประตูให้อีกฝ่าย และเชิญพวกเขาเข้าไปในบ้าน

ตอนนี้ตรงหน้าเธอไม่มีกระจก หากตรงหน้าเธอมีกระจกคงเห็นว่าใบหน้าตัวเองน่าเกลียดขนาดไหน

“ในเมื่อเขาไม่อยู่ งั้นพวกเราก็ไม่เข้าไปค่ะ!” หญิงสาวคนนั้นลังเล

แต่เด็กที่ยืนอยู่ข้างกายดึงเสื้อมารดาไม่หยุด “แม่จ๋า หนูหิว!”

ตามด้วยเด็กอีกคนที่กระซิบว่า “หนูก็หิวเหมือนกันแม่!”

เด็กทั้งสองยืนตะโกนว่าหิว ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หม่านซิ่วก็เช่นกัน

เด็กสองคนนี้เป็นลูกของเฉินจื่ออันหรือ?

เธอมองอย่างระวัง แต่พวกเขามีใบหน้าเหมือนแม่

ไม่มีเค้าโครงที่เหมือนกับเฉินจื่ออันเลยสักนิด

ตอนนั้นเธอเสียใจ ทำไมเด็กสองคนนี้ถึงไม่ได้เฉินจื่ออันมาบ้าง?

ตอนนั้นเองที่เธอจำได้ว่าเธอยังมีหัวใจที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ภรรยาเดิมของจื่ออันมาแล้ว ทั้งยังพาลูกมาด้วย แล้วเธอกับลูกชายจะทำอย่างไร?

เธอคิดจะเก็บข้าวของและย้ายไปบ้านข้าง ๆ ด้วยซ้ำ หรือไม่ก็กลับบ้านที่หงซิน

และจะไม่กลับมาอีก ไม่ต้องเผชิญหน้ากับมันอีก

“สหาย?” ผู้หญิงคนนั้นเหมือนมองเห็นความผิดปกติ จึงเอ่ยเรียกเสียงผะแผ่ว

“กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่น่ะเลยวอกแวกนิดหน่อย พวกคุณเข้าไปนั่งในบ้านก่อนนะ เฉิน… เขาจะกลับมาในอีกครึ่งชั่วโมงค่ะ”