บทที่ 275 ฉันเป็นภรรยาของคุณ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 275 ฉันเป็นภรรยาของคุณ

บทที่ 275 ฉันเป็นภรรยาของคุณ

หลังจากต้อนรับพวกเขาให้เข้าไป ซูหม่านซิ่วไม่อยากจะเผชิญหน้ากับหญิงคนนี้อีกจึงปลีกตัวไปเทน้ำ

ตอนเทน้ำ มือไม้ยังอ่อนแรงจนเกือบทำกาน้ำร่วง แต่โชคดีที่เธอคว้าเอาไว้ได้ทัน

“ดื่มน้ำร้อนก่อนนะ ฉัน… ฉันจะไปทำอาหารมาให้!”

หม่านซิ่วออกจากห้องด้วยความตกใจ และวิ่งหายเข้าไปในห้องครัว

ผู้หญิงคนนั้นมองเงาหม่านซิ่วที่วิ่งออกไป แววตาเจือความโศกเศร้าเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนี้สวยจัง สวยกว่าเธอมาก

เสื้อผ้าที่ใส่ยังไม่มีรอยปะแม้แต่นิดเดียว

แล้วมองเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่ จู่ ๆ ก็รู้สึกขยะแขยง

เธออยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้!

เธอกำหมดแน่นราวกับตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว!

หม่านซิ่วมาถึงห้องครัว แล้วในที่สุดน้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดก็ไหลออกมา

เธอปิดหน้า หยาดน้ำตาซึมออกมาที่หว่างนิ้ว ไม่ส่งเสียงสะอื้นออกมาสักนิด

เธอร้องไห้แต่ให้ใครได้ยินไม่ได้ และนี่คือศักดิ์ศรีสุดท้ายของเธอ

ไม่รู้ว่าใช้เวลานานขนาดไหน ในที่สุดเธอก็ร้องไห้จนพอแล้วก็เช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้า

ก่อนจะจุดไฟเพื่อต้มน้ำ

ระหว่างที่รอน้ำในหม้อเดือด หม่านซิ่วหยิบต้นหอมออกมาล้างก่อนสับให้ละเอียด

ทั้ง ๆ ที่ทำมานับครั้งไม่ถ้วน แต่จู่ ๆ ก็เหมือนไม่ชำนาญขึ้นมา ทุกอย่างดูเก้ ๆ กัง ๆ ไปหมด

ด้วยอาการเหม่อลอย ซูหม่านซิ่วจึงบังเอิญทำมีดบาดนิ้วมือซ้ายตัวเองด้วยความไม่ระวัง

เลือดไหลไปตามใบมีดทันที

ความเจ็บปวดทำให้หม่านซิ่วกลับมามีสติ เธอตักน้ำขึ้นมาล้างเลือด และใช้มือขวากดบาดแผลเอาไว้

บาดแผลสร้างความเจ็บปวด แต่บาดแผลในใจเจ็บปวดกว่าบาดแผลบนมือยิ่งนัก

เธออยากจะไปที่ห้องหลักเพื่อไปทำแผล แต่เธอไม่ได้ย่างกรายเข้าไปเมื่อนึกถึงคนที่อยู่ในนั้น

“ซูหม่านซิ่วเอ๊ย อุตส่าห์มีความสุขมาตั้งสองปี ทำไมเปราะบางแบบนี้? ก่อนหน้านี้ยังแย่กว่าอีกยังผ่านมาได้เลย!”

หม่านซิ่วพร่ำบ่น และน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“เธอนี่มันไร้คุณค่าไร้ประโยชน์จริง ๆ เลย!”

หม่านซิ่วตำหนิตัวเองอย่างแรง น้ำตายังไหลพรั่งพรูมาไม่หยุด

แต่ต่อมน้ำตาที่ไม่พัฒนา ไม่รู้มันแข็งแรงขึ้นตั้งแต่เมื่อไร

เพราะน้ำตามันไหลราวกับทำนบแตก และใช้เวลาเช็ดอยู่นาน

ชีวิตที่แสนสุขในหลายปีมานี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเยาะเย้ยเลย มันทำให้หม่านซิ่วไม่สบายใจนัก

พอน้ำเดือดเธอก็หยิบบะหมี่ใส่ลงไปทั้งน้ำตา

ตอนที่กำลังต้มบะหมี่ เธอมึนงงมากจนเกือบลืมใช้ตะเกียบคน

หากไม่ใช่เพราะเสียงเคาะประตู ใบหน้าของเธอคงจะย่ำแย่มากกว่านี้

หม่านซิ่วไม่รู้ว่าใครมา เธอกำลังใช้ตะเกียบคนเส้นบะหมี่ตรงหน้าต่อไป

เธอเป็นชาวนา และทนไม่ได้ที่จะทิ้งอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์

บะหมี่เส้นบางมากจึงทำให้สุกไว หม่านซิ่วไม่อยากเผชิญกับทุกสิ่งภายนอก จริงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั่น

เธอใส่เกลือ ซอสถั่วเหลือง และน้ำมันงาลงในหม้อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นจึงตักบะหมี่ลงในชามขนาดใหญ่สามชาม

ตามมาด้วยเสียงของเฉินจื่ออันที่ดังขึ้นบริเวณสวนหน้าบ้าน

“ซิ่วเอ๋อร์ เย็นนี้คุณทำบะหมี่หรือครับ? ผมได้กลิ่นหอม คุณใส่น้ำมันงาลงไปด้วยหรือ?”

หม่านซิ่วได้ยินเสียงจื่ออัน แต่ไม่ส่งเสียงตอบกลับไป

เธอไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร นับประสาอะไรกับการเผชิญหน้ากับครอบครัวจื่ออันล่ะ

พอครอบครัวกลับมารวมกัน เธอคือคนที่เป็นส่วนเกิน

เฉินจื่ออันสงสัยมากว่าทำไมหม่านซิ่วถึงไม่ตอบ เพราะปกติเวลาเขากลับมาบ้าน ภรรยาตนเองจะคอยต้อนรับเขาเสมอ

กลิ่นข้าวโชยออกมาจากห้องครัว หม่านซิ่วต้องอยู่ในครัวแน่นอน

เขาเดินตรงเข้าไปในครัว ตั้งใจจะดูว่าภรรยากำลังทำอะไรอยู่

แต่ผลคือ ทันทีที่เข้าประตูไปก็เห็นดวงตาแดงก่ำของเธอ

“ซิ่วเอ๋อร์ คุณเป็นอะไรไป?”

จื่ออันตกใจ เขาโยนถุงไว้ข้างตู้แล้วเอ่ยถามด้วยความร้อนรน

ซูหม่านซิ่วไม่รู้จะตอบอย่างไร

เธอไม่ตอบเพราะไม่อยากเห็นหน้าจื่ออัน

แล้วทำไมต้องมาที่ห้องครัวก่อนด้วย?

เธอส่ายหัว

แล้วเฉินจื่ออันก็เห็นอาการบาดเจ็บอันรุนแรงของหม่านซิ่ว

“ทำไมเจ็บขนาดนี้ล่ะ? เลือดไหลแล้วเนี่ย!” จื่ออันคว้ามือหม่านซิ่ว แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ

“ฉันเพิ่งหั่นต้นหอมไปน่ะ ไม่ทันระวังเลยเผลอทำมีดบาดนิ้ว…”

หม่านซิ่วนึกถึงสามแม่ลูกขึ้นได้ เกราะป้องกันบนร่างก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที

“คุณไปห้องหลักเถอะ อย่ามาสนใจฉันเลย!”

พอรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในตัวภรรยา เขาก็งุนงง หากแต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

“เธอนี่บื้อยิ่งขึ้นอยู่เรื่อยเลยนะ มือโดนบาดแบบนี้จะไม่สนใจคุณได้ยังไง ไปพันแผลกันเถอะ”

จื่ออันจับมือหม่านซิ่วหมายจะพาออกไป

ใครจะรู้ว่าหม่านซิ่วกลับผลักจื่ออันออกไปจนอีกฝ่ายยืนโซเซ

“ไม่ ไม่ต้องมาสนใจฉัน ฉันจะไปที่บ้านข้าง ๆ!”

หลังจากที่ผลักก็วิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก

พอเห็นเงาที่หลบหนีไป ดวงตาของจื่ออันเต็มไปด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้น? ไม่มีเหตุผลเลย ทำไมถึงวิ่งไปแบบนั้นล่ะ?

แล้วเฉินซิ่วหย่วนล่ะ?

เจ้าตัวเล็กไปไหนแล้ว?

แต่หม่านซิ่วไปบ้านข้าง ๆ แล้ว ก็น่าจะพาลูกชายไปด้วยสิ

เขายืนอยู่ที่ประตูครัว ตั้งใจจะเรียกลูกชาย แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสามแม่ลูกอยู่ในสวน

บ้านเขามีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านตั้งแต่เมื่อไร? น่ากลัวมาก!

“พวกคุณเป็นใคร” ใบหน้าของจื่ออันเปลี่ยนไปทันที

“จื่ออัน ฉัน… ฉันคือชุนนีไง!”

อีกฝ่ายรีบใช้มือเช็ดหน้าเช็ดตาราวกับว่าอยากจะเช็ดฝุ่นออกไป และฝืนยิ้ม

“ชุนนี?”

เขารู้จักคนคนนี้ด้วยหรือ? จื่ออันครุ่นคิด

เขาจ้องอยู่นาน ก่อนจะจำได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร

“ทำไมคุณถึงมาที่นี่?” สีหน้าของจื่ออันไม่ดีนัก

แม้ว่าตอนนั้นจะกลับไปและรับรู้ว่าภรรยาเก่าแต่งงานใหม่ แต่เขาพูดอะไรไม่ได้ แต่จะบอกว่าไม่ขุ่นเคืองก็คงไม่ใช่

“ฉัน ฉัน…” ชุนนีก้มหน้า ไม่รู้จะพูดอะไร

ทันใดนั้น ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบดึงลูกออกมาข้างหน้าแทบจะผลักให้เข้าไปแล้ว

“สองคนนี้เป็นลูกชายของฉัน รีบเรียกพ่อสิ!”

จื่ออันอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

ตอนนั้นหม่านซิ่วกลับมาพอดี

ตอนที่วิ่งไปบ้านซูก็นึกคำถามขึ้นได้

ถ้าคนที่มาวันนี้คือภรรยาเก่าจื่ออันล่ะ?

เธอก็แค่เอาทะเบียนสมรสไปให้ก็พอแล้วนี่ จะวิ่งหนีทำไม?

ในเมื่อสุดท้ายจะต้องถอยออกมา อย่างไรเสียเธอก็ต้องได้คำอธิบาย

จะหนีไปอย่างคลุมเครือไม่ได้!

ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลือกเผชิญหน้า และกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง

แต่พอมาถึงกลับได้ยินประโยคที่ฝ่ายหญิงให้เด็ก ๆ เรียกจื่ออันว่าพ่อ

ความกล้าหาญที่รวบรวมไว้ได้หายไปหมดสิ้น

โชคเล็กน้อยในใจหายไปอย่างสมบูรณ์

เรียกว่าพ่อ…

ในใจเธอมีแค่ความคิดเดียว

หม่านซิ่วไม่อยากเข้าไปอีก

ไม่รู้ว่าจะขอคำอธิบายแบบไหนหลังจากที่เข้าไปแล้ว

เธอโซเซไปที่บ้านข้าง ๆ ทำให้พวกย่าหลานตกใจกันมาก

“ซิ่วเอ๋อร์ เป็นอะไรไป?”

คุณย่าซูทิ้งเกี๊ยวที่ทำอยู่แล้ววิ่งไปหาลูกสาว

หม่านซิ่วไม่เอ่ยสิ่งใด แต่น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ต้องกระตุ้นอะไรเลย

ลูกชายกำลังเล่นกับพี่ ๆ พอเห็นแม่วิ่งเข้ามาก็ตระหนกตกใจ

สหายตัวน้อยเม้มปาก เบะปากร้องไห้ตามแม่ไปด้วย

เสี่ยวจิ่วกอดน้องชายตัวเล็กแล้วเอ่ยปลอบ “ซิ่วหย่วนไม่ต้องร้อง ไม่เป็นไรแล้ว ๆ”

“แม่ร้องไห้ แม่ร้องไห้อยู่!” เด็กชายสะอึกสะอื้น ไม่ลืมชี้นิ้วไปที่มารดา

คุณย่าซูประคองให้ลูกสาวนั่งลง “เป็นอะไรไป? ดูตัวเองสิ ทำลูกกลัวไปหมดแล้ว”

เสี่ยวเถียนเองก็รู้สึกสับสน ตอนไปหายังดี ๆ อยู่เลย

เธอเดินมากับน้องก่อน คิดว่าอาใหญ่เจอเรื่องจึงทำให้มาช้าอยู่ แต่มันก็แค่ไม่นานนะ ทำไมถึงร้องไห้ได้ล่ะ?

เธอมองดวงตาของอาใหญ่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นมือที่บาดเจ็บของผู้เป็นอา

“อาใหญ่ มือไปโดนอะไรมาคะ” เสี่ยวเถียนร้องออกมา

หญิงชราเห็นแล้วว่ามือของลูกสาวบาดเจ็บจริง ๆ

เธอรีบไปหาผงยา ก่อนจะหาผ้าสะอาด ๆ มาพันแผล

หม่านซิ่วร้องไห้เงียบ ๆ ปล่อยให้มารดาจัดการกับแผลบนมือของตน

คุณย่าซูบ่นพึมพำ “อายุเท่าไรแล้ว ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้ อายไหมเนี่ยร้องไห้เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้!”

หม่านซิ่วได้ยินที่มารดาพูดพร่ำ แล้วจู่ ๆ ก็ร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ ก่อนโผเข้าสู่อ้อมแขนของแม่ แล้วร้องไห้กระจองอแงเป็นเด็ก ๆ

เฉินซิ่วหย่วนที่กำลังร้องไห้อยู่ พอเห็นแม่ร้องไห้ออกมาเสียงดังก็หยุดชะงักแล้วยืนมองด้วยความงุนงง

แต่ดูออกว่าเขาตกอยู่ในอาการหวาดกลัว

คุณย่าซูก็งุนงงเช่นกัน เธอกอดลูกสาวไว้แน่นโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

หม่านซิ่วเป็นคนมีเหตุผล และไม่เคยสูญเสียความเยือกเย็นแบบนี้มาก่อน

“ซิ่วเอ๋อร์ไม่ต้องร้อง ซิ่วหย่วนตกใจหมดแล้ว แม่ก็กลัวด้วยเนี่ย!” คุณย่าซูปลอบใจเสียงเบา

หญิงชรามองหลานสาว หมายจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เสี่ยวเถียนไม่รู้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“อาใหญ่อย่าร้องนะ เดี๋ยวตาจะเจ็บเอา หนูกำลังจะร้องตามแล้วนะ” เสี่ยวเถียนลูบหลังอย่างอ่อนโยน

คุณย่าซูถอนหายใจ

ก่อนหน้านี้คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเจ็บมือ แต่มาคิดอีกทีแล้วไม่น่าจะใช่

หม่านซิ่วไม่ใช่คนอ่อนแอ เธอจะต้องไปเจอเรื่องที่ไม่สบายใจมาแน่นอน

แต่บ้านหม่านซิ่วมีกันแค่สามคน ลูกก็ยังเล็ก ไม่น่าจะมีเรื่องให้ไม่สบายใจนะ

ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่จื่ออัน

“หลานไปดูข้างบ้านซิ!” คุณย่าเอ่ยปากไหว้วานซูเสี่ยวเถียน

เสี่ยวเถียนเข้าใจและรีบวิ่งไปบ้านข้างในทันที

พอมาถึงที่ประตู ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงในสวน

นี่มันสถานการณ์อะไรเนี่ย?

มีผู้หญิงมาคุยในบ้านอาได้อย่างไร?

หรืออีกฝ่ายจะทำให้อาของเธอไม่พอใจ?

เสี่ยวเถียนไม่ได้เข้าไป ทำเพียงแค่เฝ้ามองอยู่ตรงนั้น

“ชุนนี คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง?”

น้ำเสียงมั่นคงของจื่ออันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้? ก็ฉันเป็นภรรยาของคุณอยู่แล้วนะ!” น้ำเสียงของชุนนีเต็มไปด้วยความโกรธเคือง