บทที่ 242 ใช่ลูกเราหรือไม่ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 242 ใช่ลูกเราหรือไม่ (1)
อวี้ชินอ๋องเฟยกำลังรออยู่ในห้องอย่างกระวนกระวาย นางเดินวนไปมา ด้วยความประหม่า

ใจก็หนึ่งรู้สึกว่าเด็กคนนั้นจะต้องใช่ลูกของนางแน่ๆ แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าถ้าไม่ใช่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

แล้วก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนท้องฟ้ามืดสนิท โคมไฟถูกแขวนไว้ที่ระเบียงรวมถึงตะเกียงน้ำมันสองสามดวงในเรือนเริ่มสว่างขึ้น

เสียงฝีเท้าข้างนอกประตูดังขึ้น อวี้ชินอ๋องเฟยรีบไปที่ประตูด้วยความอดใจรอไม่ไหว โดยก่อนที่นางจะไปถึงประตู ประตูก็ถูกผลักให้เปิดออกแล้วก็ ปรากฏร่างของอวี้ชินอ๋องขึ้น

อวี้ชินอ๋องเฟยมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้าง เป็นลูกของพวกเราใช่หรือไม่เพคะ”

นัยน์ตาอวี้ชินอ๋องมีแต่ความอ่อนโยน เขาไม่เอ่ยปฏิเสธแต่อย่างใด

อวี้ชินอ๋องเฟยรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนได้กลับเข้าที่เข้าทางแล้ว “ว่าแล้วเชียว! ใช่จริงๆ ด้วย! ลูกชายของพวกเรายังไม่ตาย…เขายังมีชีวิตอยู่…มีคนใจดีช่วยเขาไว้…ข้า…ข้า”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ อวี้ชินอ๋องเฟยก็เริ่มปล่อยโฮออกมาก

หมิงเอ๋อร์จึงตกใจตื่น ก่อนจะขยี้ตาแล้วถามมารดาของตน “ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ”

อวี้ชินอ๋องเฟยเช็ดน้ำตาตัวเองออก แต่น้ำตาก็ยังคงไหลพรากไม่ขาดสาย ซึ่งคือน้ำตาแห่งความปีติ หาใช่ความเศร้าไม่

“หมิงเอ๋อร์…หมิงเอ๋อร์!” อวี้ชินอ๋องเฟยคว้าตัวลูกชายมากอดด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนจะดีใจเกินไปหน่อย นางกอดร่างลูกชายไว้แน่นเสียจนเขารู้สึกเจ็บ

“ขอโทษนะลูก…แม่ขอโทษ” นางจึงรีบผละเขาออก

ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนอวี้ชินอ๋องเฟยรู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างเกินจริงนัก

อีกทั้งนางยังมองว่าเรื่องนี้ควรจะให้หมิงเอ๋อร์ได้รับรู้ หมิงเอ๋อร์เป็นลูกของนาง แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่นางก็รักหมิงเอ๋อร์เหมือนกับลูกของตัวเอง

พวกเขาเป็นแม่ลูกกัน และนั่นคือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าหมิงเอ๋อร์อาจจะรับเรื่องนี้ไม่ไหว

เพราะอย่างไรเสีย หมิงเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เด็กธรรมดา ดูภายนอกเหมือนเขาจะเข้ากับคนง่าย แต่ในใจลึกๆของเขาลึกๆ ต้องการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา เขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร ไม่เช่นนั้นเขาก็จะบันดาลโทสะ อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้

อวี้ชินอ๋องเฟยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าหมิงเอ๋อร์จะรับได้หรือไม่ที่เขากำลังจะได้น้องชายที่ฉลาดกว่าเขา

หลังจากลังเลอยู่นาน สุดท้ายอวี้ชินอ๋องเฟยก็ตัดสินใจว่าจะพูดความจริงออกไป

“หมิงเอ๋อร์ลูกแม่ เจ้าน่ะ มีน้องชายนะ เมื่อสี่ปีที่แล้ว แม่ได้ให้กำเนิดเขา แต่ด้วยความเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง แม่เลยคิดว่าเขาตายไปแล้ว…จนกระทั่งวันก่อน แม้ได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง…”

อวี้ชินอ๋องเฟยพยายามถนอมคำพูดให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาความรู้สึกของผู้ฟังอย่างหมิงเอ๋อร์

หมิงเอ๋อร์จำได้ลางๆ ว่าตอนเขาอายุสี่ขวบ ท่านพ่อกับท่านแม่ออกไปนอกวัง เลยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

เขามีน้องชายอย่างนั้นรึ

นี่มันช่าง…น่าประหลาดใจยิ่งนัก

เขาชินกับการเป็นคนสุดท้องในวัง แต่จู่ๆ เขาจะต้องกลายมาเป็นพี่ชาย แน่นอนว่าเรื่องนี้สะเทือนจิตใจของเขาอย่างมาก

การมีน้องชาย นั่นหมายความว่า เขาจะไม่ใช่จุดศูนย์กลางของความสนใจอีกต่อไป

พวกท่านพี่ทั้งหลายเคยเอื้อเฟื้อเขาอย่างไร คราวนี้เขาจะต้องเป็นฝ่ายมาเอื้อเฟื้อให้แก่คนที่เด็กกว่าแทน

อ้อมกอดของท่านแม่ ก็จะไม่ใช่ของเขาแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป

น้องชายตัวเล็กกว่า ไม่เพียงแต่จะได้กอดจากท่านแม่เท่านั้น แต่ยังนอนกับท่านแม่ด้วย

เพราะตอนที่เขาสี่ขวบ เขาเคยนอนด้วยกันกับท่านแม่มาก่อน

“แล้ว…น้องชายของข้า คือผู้ใดหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอึกอัก

เห็นได้ชัดว่าเขาคาดเดาบางอย่างอยู่ในใจแล้ว และภาพความปวดร้าวก็แวบเข้ามาในหัวของเขา และเขาก็ตะโกนสุดหัวใจว่า อย่านะ ไม่ ไม่ ไม่ ต้องไม่ใช่เจ้าเด็กนั่น!

“เจ้าเจอเขาแล้ว” อวี้ชินอ๋องพูดเบา ๆ พลางลูบใบหน้าของหมิงเอ๋อร์

หมิงเอ๋อร์รู้สึกราวกับมีเสียงสายพิณขาดดังขึ้นในหัวของเขา

จะเป็นใครไปไม่ได้อีก นอกจากเจ้าหัวกลมตัวเล็กน่ารำคาญคนนั้น เจ้าเด็กบ้านั่น

ทำไมนะ ทำไมต้องเป็นเจ้านั่นด้วย

อวี้ชินอ๋องเฟยไม่ได้ตั้งใจจะเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ พลางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “แม่รู้ว่ามีความเข้าใจผิดระหว่างพวกเจ้าสองคน แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดีมาก และข้าเชื่อว่าวันหนึ่ง น้องชายเจ้าจะเห็นว่าเจ้าเป็นคนดีขนาดไหน แล้วเจ้าเองก็จะพบความดีในตัวเขาเองเช่นกัน”

ประโยคนี้แน่นอนว่าผ่านการขัดเกล้ามาอย่างดีที่สุดๆ แล้ว หากให้พูดออกไปว่า ‘เขาเป็นน้องของเจ้า อยู่ด้วยกันไปเดี๋ยวก็รู้จักกันเอง’ ล่ะก็ มีหวังได้เรื่องใหญ่กว่าเดิมแน่

แม้ประโยคเมื่อครู่จะทำให้หมิงเอ๋อร์รู้สึกสำคัญขึ้นมาบ้างก็ตาม

อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าท่านแม่จะไม่เห็นน้องดีกว่าตัวเอง

แต่กระนั้น ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจลึกๆ ก็ยังมีอยู่ดี

ทำไมเขาถึงแพ้ให้กับเจ้าหัวกลมนั่นด้วย

น่าโมโหชะมัด!

ขณะเดียวกัน ตัดภาพมาที่ราชเลขาสวี่ หลังจากเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงวานให้บ่าวไปแจ้งข่าวให้คนที่เรือนของเสี่ยวจิ้งคงได้ทราบ

บ่าวของราชเลขาสวี่ไม่รู้ว่าเสี่ยวจิ้งคงพักอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าทั้งสามชอบมาเล่นที่โรงหมอบ่อยๆ และดูเหมือนพี่สาวของเสี่ยวจิ้งคงเป็นหมอประจำที่โรงหมอแห่งนี้

แน่นอนว่าม้าของบ่าวเร็วไม่เท่าม้าของเซวียนผิงโหว พอวิ่งไปได้ครึ่งทาง ก็เจอเข้ากับเซวียนผิงโหว

“เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว” เซวียนผิงโหวเอ่ยบอกกับบ่าวเบาๆ

บ่าวของตระกูลสวี่พอเห็นหน้าเซวียนผิงโหว ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเด็กที่นั่งกินขนมอยู่ข้างๆ เซวียนผิงโหวคือเสี่ยวจิ้งคง ก็ตกใจชนิดที่ว่าถ้าเป็นไก่คงออกไข่ไปแล้ว

นี่มันอะไรกันนี่

นี่ นี่ นี่หรือว่า…เป็นรับสั่งของไท่จื่อเฟยที่ให้เซวียนผิงโหวดูแลเสี่ยวจิ้งคงอย่างนั้นรึ

บ่าวไม่กล้าคิดลงลึกขนาดว่าเสี่ยวจิ้งคงมีความเกี่ยวข้องลับๆ กับเซวียนผิงโหวอย่างแน่นอน อย่างมากเขาก็แค่มองว่าที่วังคงมีรับสั่งให้เซวียนผิงโหวไปช่วยสั่งสอนผู้ปกครองของเสี่ยวจิ้งคง

ทว่า เจ้าเด็กคนนี้ก็กล้าพอตัวนะ

นั่งกินขนมอยู่ข้างๆ เซวียนผิงโหวอย่างสบายใจเฉิบได้อย่างไรกัน

ไม่เพียงเท่านั้น เสี่ยวจิ้งคงยังมีนิสัยอีกอย่างที่ชอบทำหลังกินข้าวเสร็จอีกด้วย

นั่นก็คือยื่นปากเพื่อให้คนเช็ดปากให้

บ่าวของตระกูลสวี่คิดว่าเซวียนผิงโหวจะไม่ยอมเช็ดปากให้เจ้าตัวเล็กแน่ๆ แต่ผิดคาด เซวียนผิงโหวหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขึ้นมาเช็ดปากให้เสี่ยวจิ้งคงหน้าตาเฉย

บ่าวคิดในใจ นี่เขาเป็นบ้าหรือตาบอดไปแล้วรึเปล่านะ

พอเสี่ยวจิ้งคงทานเสร็จ ก็เรอออกมาพร้อมกับแกว่งขาไปมา เป็นภาพที่ดูแล้วน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง

ด้วยความที่เซวียนผิงโหวต้องออกไปประจำการและสู้รบเป็นเวลาหลายปี เลยไม่มีเวลาอยู่กับลูกๆ พอมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าลูกของเขาทุกคนก็โตกันหมดแล้ว

คนเราเวลาอยู่ด้วยกันนานเข้า มักจะซึมซับนิสัยของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย

เสี่ยวจิ้งคงเองก็มีนิสัยบางอย่างที่คล้ายกันกับเซียวลิ่วหลัง ทั้งการขมวดคิ้ว และการหัวเราะแห้ง

แต่นี่ก็เป็นความเคยชินของเซียวลิ่วหลัง หาใช่เซียวเหิงไม่

เซียวลิ่วหลังแทบไม่มีกลิ่นอายความเป็นเซียวเหิงหลงเหลืออยู่แม้แต่นิด

จนเซวียนผิงโหวก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเซียวลิ่วหลังคือลูกของเขากับเฉินอวิ๋นเหนียง ไม่ใช่เซียวเหิง ไม่ใช่ลูกของเขา

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงก้อนกลมๆ แข็งๆ กระทบเข้าที่ร่างของเขา

เจ้าตัวเล็กเอนหัวหลับนี่เอง

เซวียนผิงโหวมุ่งหน้าไปที่กั๋วจื่อเจียน นั่งรอเซียวลิ่วหลังเป็นเวลานานสองนาน จนในที่สุด เซียวลิ่วหลังเดินออกมา

เซวียนผิงโหวอุ้มร่างหลับปุ๋ยของเจ้าตัวเล็กลงจากรถม้า