บทที่ 242 ใช่ลูกเราหรือไม่ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 242 ใช่ลูกเราหรือไม่ (2)
เขาวางแผนมาอย่างดีว่าจะพูดกับเซียวลิ่วหลังว่า หลานของเจ้าไม่เลวเลย ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ จะได้แทรกแซงศัตรู…. เอ้ย…เอ่อลูกชายเขาได้

ตกลงเซียวลิ่วหลังเป็นลูกชายแท้ๆ หรือจะเป็นลูกชายนอกสมรสนั้น สักวันความจริงต้องถูกเปิดเผย

แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเซียวลิ่วหลังกลับสงสายตาอาฆาตให้เซวียนผิงโหวหนึ่งทีอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วอุ้มเจ้าตัวเล็กก่อนจะเดินจากไป

ไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้เซวียนผิงโหวได้พูดอะไรสักซักคำ

ทำเอาเซวียนผิงโหวโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“จำไว้นะ ถ้าข้ารู้เมื่อไหร่ว่าเจ้าไม่ใช่ ข้าจะถลกหนังเจ้า!”

แม้ภายนอกเซวียนผิงโหวจะดูอ่อนโยน แต่ข้างในกลับแข็งทื่อ ถ้าเซียวลิ่วหลังเป็นลูกนอกสมรสของเขาจริงๆ ถึงเวลาเขาอาจไม่อยากยอมรับก็เป็นได้!

“เหอะ!”

เซวียนผิงโหวขึ้นรถม้าด้วยความไม่สบอารมณ์

วันต่อมา ทูตจากแคว้นเหลียงแจ้งเลื่อนการเจรจาออกไป

เหล่าทูตของแคว้นเจาพากันตกใจ แต่พอนึกถึงเรื่องที่พระโอรสของอวี้ชินอ๋องถูกองค์ชายเจ็ดและพระสหายกลั่นแกล้ง ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างว่าพระองค์คงทรงกริ้วเพราะเรื่องนี้แน่ๆ

ทว่าเหล่าทูตดูเหมือนจะมองเรื่องราวผิดไป ที่จริงอวี้ชินอ๋องรู้นิสัยใจคอของลูกชายตัวเองดี สมควรแล้วที่จะโดนเด็กคนอื่นเอาคืน

ทีวันนี้อวี้ชินอ๋องเลื่อนการเจรจาออกไป เพราะว่าเขามาที่โรงหมอกับอวี้ชินอ๋องเฟย

“วางตัวกับนางดีๆ ล่ะ นางช่วยพวกเราเลี้ยงดูลูกชายมาตั้งหลายปี…แถมยังช่วยรักษาอาการของหมิงเอ๋อร์ไว้ด้วย…” อวี้ชินอ๋องเฟยกำชับกับพระสวามีของตัวเอง ก่อนที่จะลงจากรถม้า

อวี้ชินอ๋องพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว วางใจเถิดน่า ข้าไม่ทำอะไรเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ หรอก”

อวี้ชินอ๋องเฟยยังคงไม่ปักใจเชื่อ แล้วเอ่ยเตือนอีกครั้ง “แล้วก็อย่าไปชักสีหน้าใส่นางด้วยล่ะ”

“ได้” อวี้ชินอ๋องตอบตกลงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง “แต่ว่า ข้ามีเรื่องอย่างนึงจะขอเจ้า”

“เรื่องอันใดรึ”

อวี้ชินอ๋องเอ่ยตอบ “หากพวกเราพรวดพราดเข้าไปบอกว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นบุตรของเรา เกรงว่าพวกเขาไม่เชื่อแน่ๆ พวกเราเองก็ไม่ได้มีหลักฐานยืนยันอะไร ให้บอกว่ามาขอรับเลี้ยงแทนน่าจะดีกว่าไหม”

อวี้ชินอ๋องเฟยมองว่าไม่เห็นจะต้องแต่งเรื่องให้วุ่นวาย ในเมื่อนางเป็นแม่ของเสี่ยวจิ้งคง ยังจะต้องมีหลักฐานอันใดอีกรึ เป็นถึงจักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงไม่มีความจำเป็นจะต้องสร้างเรื่องหลอกใครทั้งนั้น

อวี้ชินอ๋องเอ่ยต่อ “เจ้าฟังข้านะ ที่ไม่ใช่แคว้นเหลียงของพวกเรา ความสัมพันธ์ของสองแคว้นก็ไม่ได้มั่นคงนัก เรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”

คราวนี้ อวี้ชินอ๋องเฟยมองว่าที่พระสวามีพูดมาก็พอฟังขึ้น เลยลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ ข้าจะฟังท่าน พอกลับไปที่วัง…”

อวี้ชินอ๋องรีบชิงเอ่ย “ข้าจะรีบแจ้งข่าวให้ทราบโดยทั่วกันว่านี่คือบุตรชายของพวกเรา จารึกชื่อของเขาไว้ในพงศาวลี! และจะพาเขาไปเข้าเฝ้าองค์พระเจ้าแผ่นดิน!”

พอได้ยินดังนั้น อวี้ชินอ๋องเฟยก็คลี่ยิ้มออกมา

จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในโรงหมอ

เถ้าแก่รองเคยเจอกับอวี้ชินอ๋องเฟยแล้ว พอเห็นว่าครั้งนี้สายตาและท่าทีของนางดูเป็นมิตรมากขึ้น เถ้าแก่รองจึงเดินเข้าไปทักทาย “มาแล้วหรือขอรับท่านฮูหยิน เอ่อ ส่วนท่านนี้คือ…”

“สามีข้าเอง” อวี้ชินอ๋องเฟยเอ่ยแนะนำ

เถ้าแก่รองคำนับให้ ก่อนจะชะเง้อมองไปทางด้านหลังของทั้งคู่ แล้วเอ่ยถาม “คุณชายน้อยมิได้มาด้วยหรือขอรับ อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ดีขึ้นแล้วหรือยังขอรับ”

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ไม่มีอาการไอแล้ว เขาอยู่ที่เรือนน่ะ ไม่ได้มาด้วยกันกับพวกเรา ว่าแต่…แม่นางกู้อยู่ไหม” อวี้ชินอ๋องเฟยถามถึงกู้เจียว

“อยู่ขอรับ นางน่าจะกำลังทำงานอยู่ ทั้งสองท่านรออยู่ตรงนี้ก่อนนะขอรับ” เถ้าแก่รองเอ่ยตอบ

กู้เจียวที่เพิ่งจะให้น้ำเกลือกับเจียงสือเสร็จ พอได้ยินจากเถ้าแก่รองว่ามีฮูหยินมาหา ก็ครุ่นคิดอยู่นานว่าฮูหยินคนไหนกัน

เถ้าแก่รองเอ่ยต่อ “คนที่มีลูกชายอายุสิบขวบ ที่ไอหนักมากๆ คนนั้นอย่างไรเล่า นางมากับสามีของนาง ข้าเดาว่าคงมาขอบคุณเจ้ากระมัง”

ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ ก็เลยไม่ได้เอะใจอะไร

กู้เจียวเองก็นึกว่าพวกเขาจะมาเอ่ยขอบคุณที่ช่วยรักษาลูกชายพวกเขาไว้ได้เสียอีก

อวี้ชินอ๋องเฟยประสงค์จะคุยกับกู้เจียวเป็นการส่วนตัว กู้เจียวเลยพาพวกเขามานั่งที่สวนหย่อม

พอทั้งสามคนนั่งลงบริเวณข้างๆ สวนดอกไม้ บรรยากาศอันเงียบเชียบชวนอึดอัดก็ถาโถมเข้ามา

อวี้ชินอ๋องพบเจอคนมานักต่อนัก แม้เขาจะไม่ได้สนใจรูปลักษณ์หน้าตาของกู้เจียว

แต่ที่เขาสนใจก็คือภาพลักษณ์ของนาง ที่ดูโตกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับนาง

อวี้ชินอ๋องเฟยเริ่มเปิดประเด็นก่อน “แม่นางกู้ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้อาจกะทันหันไปหน่อย แต่ข้าอยากจะพบเจอกับพ่อแม่ของเจ้า เพื่อเจรจาเรื่องเสี่ยวจิ้งคง พวกเราอยากรับเลี้ยงเสี่ยวจิ้งคงไว้เป็นบุตรบุญธรรมจริงๆ ”

กู้เจียว “เลี้ยงแบบไม่พาตัวไปหรือ”

อวี้ชินอ๋องเฟยอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งพัก แล้วเอ่ยต่อ “พวกเราจะพาเขาไปอยู่ด้วยน่ะ”

“ไม่ได้” กู้เจียวไม่ถามต่อแม้แต่นิดว่าพวกเขาจะพาเสี่ยวจิ้งคงไปอยู่ที่ไหน และเอ่ยปฏิเสธทันควัน

อวี้ชินอ๋องเฟยเริ่มหน้าซีด “แม่นางกู้…”

“เราไม่มีอะไรจะต้องคุยเรื่องนี้แล้ว ข้าไม่มีทางมอบเสี่ยวจิ้งคงให้พวกท่านแน่นอน หากพวกท่านชอบเสี่ยวจิ้งคง แล้วเสี่ยวจิ้งคงชอบพวกท่านจริงๆ พวกท่านก็มาเยี่ยมเขาบ่อยๆ สิ”

ใช่แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเสี่ยวจิ้งคงชอบพวกเขาหรือไม่

นางไม่มีวันทำให้เสี่ยวจิ้งคงลำบากใจเด็ดขาด

“หากไม่มีอะไรแล้ว เชิญพวกท่านกลับไปเถิด”

กู้เจียวพูดส่งแขก

อวี้ชินอ๋องเริ่มหน้าตึง เขาแทบไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย จนกระทั่งพอเห็นว่ากู้เจียวกำลังลุกเดินออกไป เขาถึงจะเริ่มพูด “เจ้า…ไม่คิดจะถามกันหน่อยหรือว่าพวกเราเป็นใครมาจากไหน”

“ใครหน้าไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น!” กู้เจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“แม่นางกู้!” อวี้ชินอ๋องเฟยรีบลุกขึ้นยืน อวี้ชินอ๋องห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่ นางเดินเข้าไปใกล้ๆ กู้เจียว ก่อนจะเอ่ย “เสี่ยวจิ้งคงเป็นบุตรของพวกเรา! พวกเราคือพ่อแม่ของเสี่ยวจิ้งคง!”

กู้เจียวหยุดฝีก้าวลง ก่อนจะหันกลับมาค้อนใส่ “พ่อแม่ที่ไหนทิ้งลูกไว้ที่วัดคนเดียว”

อวี้ชินอ๋องเฟยเอ่ยทั้งน้ำตา “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ…แม่นางกู้ฟังข้าอธิบายก่อน…พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเขา…พวกเราเข้าใจผิดว่าเขาตายไปแล้ว…”

“เป็นเช่นนั้นรึ” กู้เจียวหันหน้าไปทางอวี้ชินอ๋อง

กู้เจียวนึกในใจ ท่าทีของฮูหยินดูเหมือนจะไม่ได้โกหกจริงๆ แต่เหตุใด แววตาและสีหน้าของสามีนางถึงได้เย็นชาขนาดนั้นล่ะ

อวี้ชินอ๋องมองค้อนกลับ ส่วนอวี้ชินอ๋องเฟยที่อยู่ข้างๆ กลับเป็นลมล้มลงไป

อวี้ชินอ๋องประคองร่างของไว้ทัน

กู้เจียวคว้าข้อแขนของนางแล้ววัดชีพจร ก่อนจะวางมือลง

ไม่เป็นอะไรมาก นางเป็นลมเพราะเครียดเกินเหตุจริงๆ ไม่ใช่การแสดง

อวี้ชินอ๋องประคองร่างที่หมดสติของภรรยา ท่าทีของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่อ่อนโยนเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าอวี้ชินอ๋องเฟย “เจ้าต้องการเงินเท่าไหร่ ว่ามา พูดดีๆ ไม่ชอบ ต้องมีเรื่องกันใช่ไหม แม่หนู เจ้ายังเด็กนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถ้าคิดว่าข้าจะวางมือง่ายๆ บอกเลยว่าเจ้าคิดผิดแล้วล่ะ!”

กู้เจียว “เช่นนั้นท่านก็ลองดูสักตั้งสิ”

อวี้ชินอ๋องถลึงตาใส่กู้เจียว ก่อนจะอุ้มอวี้ชินอ๋องเฟยแล้วเดินออกไป

คืนวันนั้น คนสนิทของอวี้ชินอ๋องเดินทางไปที่วังหลวง พร้อมกับส่งสาส์นให้ทางวังเรื่องการเจรจา แคว้นเหลียงจะยอมหลีกทางให้ แต่มีเงื่อนอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ เด็กคนนั้น